บทที่ 180
เสี่ยวซีจิ่ว เจ้าขอพรให้ตัวเองด้วย
ด้วยเหตุนี้ เสียงไชโยโห่ร้องของฝูงชนจึงหยุดชะงักลง ทั้งลานกว้างเงียบกริบ!
กู้ซีจิ่วเหลือบมองด้านล่างแวบหนึ่ง มองเห็นสายตาเจิดจ้าเป็นโขยง ในสายตานั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึง ซุบซิบนินทา และเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
เธออดยกมือขึ้นมานวดคลึงหว่างคิ้วไม่ได้ เหมือนว่าเธอจะทำให้ผู้คนตกตะลึงอีกแล้ว อันที่จริงหนนี้เธอคิดน้อยไปจริงๆ…
เธอหันกลับไปมองตี้ฝูอีแวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าบนใบหน้าเขามีหน้ากากปีศาจอันหนึ่งที่ดูน่าเกรงขามยิ่งนักเพิ่มขึ้นมา
ดูเหมือนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้คงไม่อยากให้ผู้คนมากมายรู้ใบหน้าที่แท้จริงของเขา
พอมองเทียนจี้เยวี่ยกับหลงซือเย่ต่อ ใบหน้าของสองคนนี้ก็มีสิ่งของเพิ่มขึ้นมาเหมือนกัน
หน้ากากบนหน้าทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเป็นสีดำ ประกอบกับชุดดำของเขาแล้วดูราวกับอสูรรัตติกาล
หลงซือเย่สวมหมวกสานสีเขียวใบหนึ่ง มีผ้าคลุมหน้าสีเขียวอ่อนห้อยลงมา ปิดบังใบหน้าหล่อเหลาของเขาทั้งหมด
ดูเหมือนสองคนนี้ก็ลึกลับต่อหน้าฝูงชนมากเช่นกัน
ผู้ยิ่งใหญ่ล้วนชมชอบทำตัวลึกลับเหมือนกันหมด…
กู้ซีจิ่วยกมือขึ้นเคาะกราบเรือเล่น คล้ายว่าเธอจะเป็นคนเดียวที่เผยหน้าจริง…
ในที่สุดตี้ฝูอีก็เปิดแท่นเบิกสวรรค์แล้ว ยามที่แท่นแก้วสูงตระหง่าน ลึกลับปรากฏออกมาจากอากาศ สุดท้ายฝูงชนก็โห่ร้องขึ้นมาอีกครั้ง
ชั่วชีวิตกู้ซีจิ่วเคยเห็นสิ่งปลูกสร้างแปลกๆ มามากมาย ทว่าสิ่งปลูกสร้างเช่นแท่นเบิกสวรรค์นี้กลับเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก
รูปทรงของมันคล้ายกับพีระมิดกลับหัว ด้านล่างแคบ ด้านบนกว้าง หากมองจากด้านล่างขึ้นไป ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าแท่นเบิกสวรรค์นี้จะล้มมิล้มแหล่
แต่มันกลับมั่นคงอย่างยิ่ง เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าลานกว้างแห่งนี้มีเสียงลมดังกระหึ่ม พัดจนหน้าต่างของอาคารที่อยู่ไม่ไกลส่งเสียงดัง แต่แท่นเบิกสวรรค์นี้กลับตั้งตระหง่านมั่นคงอยู่ตรงนั้น ไม่มีวี่แววจะ สั่นคลอนเลยสักนิด
บนแท่นเบิกสวรรค์มีเสาแก้วผลึกสีแดงเพลิงอยู่สามต้น ทอแสงเรืองรองน่าตื่นตะลึงอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์
บนเสาเหมือนจะมีลวดลายซับซ้อนอยู่ คล้ายตัวอักษรอีกทั้งคล้ายบุปผา เมื่อแสงอาทิตย์ส่องสะท้อน จะเคลื่อนไหวดุจเกลียวคลื่น… มองแล้วทั้งขลังทั้งลึกลับ
พื้นของแท่นเบิกสวรรค์ก็ปูด้วยอิฐแก้วผลึก สีขาวสลับกับสีดำ ลวดลายตรงกลางคล้ายกับสัญลักษณ์หยินหยางของลัทธิเต๋าอยู่บ้าง และรอบๆ สัญลักษณ์หยินหยางก็คล้ายกับผังแปดทิศ ในผังแปดทิศมีแสงประหลาดแลบออกมาเป็นระยะๆ สะท้อนหักเหอยู่บนแท่นสูง มองไกลๆ แล้วดูเหมือนแสงเหนือที่ขั้วโลกเหนือ…
แท่นเบิกสวรรค์นี้ดูแล้วมีลูกเล่นอยู่มากมายจริงๆ ไม่เหมือนแค่เอาไว้หลอกลวงผู้คนเท่านั้น เธอถูกพามาที่นี่ จะได้รับการตรวจสอบแบบไหนกันนะ?
“ไม่มีใครสามารถตบตาแท่นเบิกสวรรค์แห่งนี้ได้…” ตี้ฝูอีที่อยู่ข้างๆ เธอกล่าวเนิบๆ น้ำเสียงเขาไพเราะเสนาะหู แต่วาจาที่กล่าวออกมา กลับชวนให้ตกใจ
“เสี่ยวซีจิ่ว เจ้าขอพรให้ตัวเองด้วย เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าไม่สามารถเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวได้”
หลังจากเขาทิ้งวาจาที่แฝงความหมายลึกซึ้งเช่นนี้ไว้ ก็พลันหมุนกายหายตัวไปจากเรือ เมื่อกะพริบตาอีกครั้ง เขาก็ไปโผล่บนแท่นเบิกสวรรค์แล้ว
ตำแหน่งที่เรือลำนี้ลอยอยู่สูงจากแท่นเบิกสวรรค์ ระดับความสูงเท่าตึกหกชั้น หากกระโดดลงไปโดยตรง ถึงแม้เธอจะมีวิชาตัวเบา ตกลงไปไม่ถึงตาย แต่ตกลงไปแล้วเป็นไปได้มากว่าจะต้องแขนหักขาหักแน่
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้นทะยานลงไปด้วยตัวเองแล้ว แม้กระทั่งเด็กหนุ่มสาวหั้งแปดคนที่พายเรือเบิกทางให้เขาก็ทะยานตามไปจนเสื้อผ้าปลิวไสว ก่อให้เกิดเสียงชื่นชมขึ้นมาอีกระลอก
ตอนนี้บนเรือลำใหญ่เหลือแค่ตัวเธอ
เธอจะลงไปได้ยังไง?
ฝูงชนที่อยู่บนพื้นแปดในสิบส่วนทราบว่ากู้ซีจิ่วเป็นสวะไร้พลังวิญญาณ หากปราศจากพลังวิญญาณหนุนนำ วิชาตัวเบาก็ย่อมไปได้ไม่ถึงไหน
ความสูงระดับนี้ จะให้เต็กสาวผู้นี้กระโดดลงมาด้วยตัวเองเห็นได้ชัดว่ายากมาก…
เกือบทุกคนล้วนกลัดกลุ้มแทนว่าเธอจะทำอย่างไร