บทที่ 282
ฉวยโอกาสเอาคืน?
กู้ซีจิ่วมองเขาอย่างสุขุมเยือกเย็น
ตี้ฝูอียกยิ้ม “เจ้าจะรีบร้อนทำไม? แค่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น…”
เขามองพวกเชียนเยวี่ยหร่านทั้งสองคนอีกครั้ง “พวกเจ้ามือะไรจะกล่าวหรือไม่?”
ฮวาอู๋เหยียนชะงักเล็กน้อย ส่ายหน้าช้าๆ “ไม่มี อู๋เหยียนเป็นแค่ผู้ช่วยทดสอบ ต้องฟังคำฝูอีทุกประการ”
ทันใดนั้นเชียนเยวี่ยหร่านก็ก้าวออกมา เดินมาเบื้องหน้ากู้ซีจิ่ว “เด็กน้อยเจ้าช่างกล้าหาญเหลือเกิน เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าแอบอ้างเป็นศิษย์ของสวรรค์เบื้องบนต้องรับโทษทัณฑ์ใด?”
เสียงเขาดังไม่เบา ผู้ชมทั้งหมดได้ยินกันทั่ว
กู้ซีจิ่วมองเขาเงียบๆ ไม่เอ่ยวาจาใด
เชียนเยวี่ยหร่านจึงกล่าวต่อ “ต้องถูกทำลายวรยุทธ์ทั้งร่างแล้วโยนเข้าป่าทมิฬ ผ่อนผันไม่ได้แม้แต่น้อย ผู้ใดก็ขอความเมตตาให้ไม่ได้ ถึงแม้ยามปกติพี่ตี้จะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างอ่อนโยน แต่เขายึดมั่นในหลักการมาตลอด ไม่เคยทุจริต และไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด”
ดวงตาของเขาฉายแววเวทนา “ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเด็ก หากเจ้าเป็นสวะไร้พลังไปตลอด ก็ไม่จำเป็นต้องทำลายวรยุทธ์เจ้าทิ้ง เอาไปปล่อยในป่าทมิฬได้เลย แต่ยามนี้เจ้ามีพลังวิญญาณเล็กน้อยแล้ว ถึงแม้จะต่ำนักแต่อย่างไรก็มีแล้ว เมื่อพิสูจน์พบว่าเป็นตัวปลอมจะถูกทำลายทิ้ง ต่อให้ฝูอีค่อนข้างชื่นชอบเจ้า แต่ยามนี้เขาไม่อาจลงมืออย่างปรานีได้ เด็กน้อยเจ้าช่างขวัญกล้าเหลือเกิน เหตุใดต้องพูดว่าสวรรค์ประทานความสามารถให้ด้วย? ความสามารถที่สวรรค์ประทานให้มิใช่สิ่งที่ผู้ใดก็จะได้รับ…”
เสียงของเชียนเยวี่ยหร่านดังก้องไปทั่วลานกว้าง ใช้การได้ดีกว่าลำโพงเสียอีก ทุกคนได้ยินกันถ้วนทั่ว
สีหน้าแต่ละคนแตกต่างกันไป
กู้เซี่ยเทียนหน้าเปลี่ยนสีทันที
สีหน้าจักพรรดิซวนเปลี่ยนไป ดวงตาฉายแววประหลาดใจแวบหนึ่ง เดิมทีเขายังคิดว่าจะกล่าวขอความเมตตาให้กู้ซีจิ่วสักหลายประโยค ยามนี้ถูกวาจาของเชียนเยวี่ยหร่านดักทางไว้ตรงนี้ ถ้อยคำขอความเมตตาของเขาจึงกล่าวออกไปไม่ได้แล้ว
ดวงตาของกู้ซีจิ่วมืดมนลง
คำพูดเหล่านี้ของเชียนเยวี่ยหร่านดูเหมือนจะคิดเพื่อเธอ แต่ความจริงแล้วต้องการส่งเธอสู่ความตาย กีดกันให้ผู้อื่นไร้หนทางขอความเมตตา และทำให้ตี้ฝูอีลำเอียงไม่ได้…
คิดไม่ถึงว่าเจ้าสำนักเก้าดาราที่ดูซื่อตรงเปิดเผยจะมีความคิดเช่นนี้!
กู้ซีจิ่วย่อมไม่ลืมเลือนว่ากู้เทียนเฉาพี่ชายรองชั้นต่ำของเธอก็เป็นลูกศิษย์สายในของสำนักเก้าดารา แถมตอนอยู่ในวังหลวงเธอก็เล่นลูกไม้ทำให้ผู้ทรงศีลคนหนึ่งของสำนักเก้าดาราคันคะเยอไปทั้งวัน ได้ยินว่าผู้ทรงศีลคนนั้นเป็นศิษย์รักของเจ้าสำนักเก้าดาราผู้นี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็นับได้ว่าเธอมีข้อพิพาทกับสำนักเก้าดาราแล้ว หรือเขาคิดจะฉวยโอกาสเอาคืนในยามนี้?
แต่วิธีเอาคืนเช่นนี้ออกจะต่ำไปหน่อย
สายตาของกู้ซีจิ่วหันไปที่ตี้ฝูอีอีกครั้ง
เธอไม่อยากตีความเขาผิดๆ แต่ทุกเหตุการณ์ที่เธอพบเห็นกลับทำให้เธอต้องตีความดังนี้…
ตี้ฝูอีช่วยคลายผนึกเธอเล็กน้อยให้เธอฟื้นฟูพลังวิญญาณบางส่วน เพื่อจะได้มีเหตุผลทำลายวรยุทธ์เธอในวันนี้ใช่หรือไม่?
เขาทำร้ายทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ยจนบาดเจ็บสาหัส ลากหลงซือเย่เข้าไปในวังวน ก็เพื่อปลดทั้งสองคนออกแล้วให้เซียนเยวี่ยหร่านเจ้าสำนักเก้าดาราที่มีความแค้นกับเธอมาพูดจาเช่นนี้ใช่ไหม? เพื่อหาเหตุผลมาทำลายวรยุทธ์ของเธอให้สิ้นซากหรือ?
เธอหลงนึกว่าหลังจากร่วมทางกันมาเมื่อคืน ถึงขั้นร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ระหว่างเธอกับเขาจะมีไมตรีต่อกันบ้างแล้ว ต่อให้เขาไม่เอนเอียง แต่คงไม่ถึงขั้นคิดร้ายกับเธอแล้ว ทว่ายามนี้…
ในมือตี้ฝูอีหมุนขลุ่ยหยกเลาหนึ่งอยู่ ตอนที่เชียนเยวี่ยหร่านพูดจ้อ เขาไม่ได้เปิดปากเอ่ยเลย ถึถึงขั้นมีรอยยิ้มมุมปากบางๆ อยู่ตลอด เมื่อเชียนเยวี่ยหร่านกล่าวจบ เขาก็ยิ้ม สายตาตกลงบนใบหน้าเชียนเยวี่ยหร่าน “เชียนเยวี่ยหร่าน เจ้ากำลังตักเตือนข้าอย่างกรายๆ อยู่หรือ?”
นํ้าเสียงเขาอ่อนโยนดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิ ทว่าเชียนเยวี่ยหร่านกลับหนาวสะท้านในใจทันที!