บทที่ 294
ชะตาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน
กู้เทียนเฉาบุตรชายของนางออกไปทำธุระต่างถิ่น หากเป็นตอนที่เขาอยู่บ้านคงดีกว่านี้
ชะตาหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ในที่สุดก็ถึงคราวนางลิ่มรสความทุกข์ตรมที่หลัวซิงหลานได้รับในปีนั้นแล้ว
ที่แตกต่างกันก็คือ ตอนนั้นกู้เซี่ยเทียนรักหลัวซิงหลานอยู่ตลอด เหตุผลที่กักบริเวณนางคืออยากให้นางรู้จักเชื่อฟังว่าง่าย ในใจยังคงใส่ใจนางอยู่
ต่อให้อยู่กับเหลิ่งเซียงอวี้ ในฝันก็ยังเพรียกหานามของหลัวซิงหลานเป็นครั้งคราว กล่าวว่า ‘ซิงเอ๋อร์ขอเพียงเจ้ายอมก้มหัวให้ข้า ข้าก็จะปล่อยเจ้าออกมาทันที’ เช่นนี้ ทำให้เหลิ่งเซียงอวี้ไนยามนั้นลอบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดแค้นชิงชัง
แต่เหลิ่งเซียงอวี้ที่ถูกกักบริเวณในยามนี้ กู้เซี่ยเทียนไม่ได้รักนางเลยสักนิด สายตาที่มองนางเต็มไปด้วยความรังเกียจ…
ตกดึก เหลิ่งเซียงอวี้นั่งปล่อยผมสยายอยู่บนเตียงเล็กๆ ของตน เป็นอีกหนึ่งคืนที่หลับไม่ลง นางนอนไม่หลับมาโดยตลอด
“หลัวซิงหลาน ยามนี้เจ้าคงมองแล้วหัวเราะเยาะอยู่กระมัง?! วิญญาณเจ้าที่อยู่ในปรภพคงดีใจมากสินะ?! เจ้าดีใจแล้วอย่างไรเล่า? เป็นข้าที่ครอบครองเขามาแล้วยี่สิบกว่าปี แต่เจ้า…เจ้าอยู่ข้างกายเขาไม่ถึงสิบปี…เขาเป็นของข้า! และไม่มีทางเปลี่ยนกลับไปเป็นของเจ้าอีก ภายภาคหน้าลูกชายของข้าจะได้เป็นเจ้าของจวนแม่ทัพ แต่ลูกชายเจ้ากลับหนีเข้าป่าทมิฬหายสาบสูญไปแล้ว…ไม่สิ เขาต้องตายแล้วแน่ๆ กลายเป็นปุ๋ยต้นไม้ไปนานแล้ว คนเก่าคนแก่ ของกู้เซี่ยเทียนตามหาตั้งเนิ่นนานปี แม้แต่กระดูกของเขาก็ยังหากลับมาไม่ได้เลย ฮ่าๆๆ เขาตายแล้ว!ข้าถูกคุมขังไว้ที่นี่แล้วอย่างไรเล่า? รอจนลูกชายข้ากลับก็จะรีบมาปล่อยข้าออกไปทันที จวนแม่ทัพแห่งนี้ยังอยู่ในเงื้อมมือข้าเหลิ่งเซียงอวี้…”
แรกเริ่มนางพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ประโยคหลังๆ กลับเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็หัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
มีเสียงดัง ‘ตึง’ เบาๆ ลอดเข้ามาจากหน้าต่าง มีลมพัดบานหน้าต่างที่ปิดงับไว้จนอ้าออกครึ่งหนึ่ง เหลิ่งเซียงอวี้หันมองด้านนอกแวบหนึ่ง ร่างกายพลันแข็งค้าง!
ความมืดมิดยามราตรีดั่งผืนผ้าม่าน แสงจันทร์เสี้ยวส่องสลัว บนศาลาเล็กในสวนของนาง สตรีชุดแดงนางหนึ่งยืนลอยละล่องอยู่…
“อ๋า…” เหลิงเซียงอวี้กรีดร้องเสียงแหลมบาดหู “ผีหลอก…”
……………………..
เสียงกรีดร้องของเหลิงเซียงอวี้สะเทือนไปทั่วทิศ ดังกังวานทั้งจวนแม่ทัพ กู้ซีจิ่วที่เพิ่งจะเข้านอนสะดุ้งตื่นขึ้นมา
เธอเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าด้านนอกค่อนข้างอลหม่านวุ่นวาย เธอหยิบเสื้อคลุมมาสวม สั่งสาวใช้ที่อยู่ด้านนอก ให้ไปสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่งสาวใช้ก็กลับมารายงาน กล่าวว่าเหลิ่งเซียงอวี้ที่ถูกคุมขังไว้ในเรือนอื่นไม่รู้ว่าตกใจอะไร กรีดร้องอย่างคลุมคลั่งไม่หยุด เรียกชื่อหลัวฮูหยินอยู่ตลอด แถมยังบอกว่ามีผี…
เมื่อสาวใช้คนนั้นกล่าวถึงช่วงสุดท้ายก็อดคาดเดาไม่ได้ “คุณหนู ท่านว่าวิญญาณหลัวฮูหยินมาเอาชีวิตนางจริงหรือไม่เจ้าคะ?”
กู้ซีจิ่วหัวเราะเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร
ตอนกู้ซีจิ่วอายุได้ขวบกว่า หลัวซิงหลานก็กระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายแล้ว นับตั้งแต่นั้นมาเรื่องของหลัวซิงหลานก็กลายเป็นสิ่งต้องห้ามของจวนแม่ทัพ ไม่มีผู้ใดกล้ารื้อฟื้น
ดังนั้นความทรงจำเกี่ยวกับมารดาของกู้ซีจิ่วคนเดิมจึงน้อยนิดจนน่าเวทนา แทบไม่มือยู่เลย
เมื่อกู้ซีจิ่วมารับช่วงต่อร่างนี้ย่อมได้รับความทรงจำของนางมาด้วย เรื่องของหลัวซิงหลานที่เธอทราบห่างไกลจากคำว่าฉาบฉวยด้วยซ้ำ เพียงแต่เธอก็คร้านจะไปสืบเสาะหาความจริงแล้ว
ในมุมมองของเธอ รู้สึกว่าคงจะเกิดเรื่องราวชิงรักหักสวาทที่ค่อนข้างโหดร้ายขึ้น และหลัวซิงหลานคือผู้แพ้…
เพียงแต่เธอค่อนข้างดูแคลนเรื่องที่กล่าวว่าวิญญาณตามเอาชีวิต หลัวซิงหลานตายไปสิบกว่าปีแล้ว หากนางเกลียดแค้นเหลิ่งเซียงอวี้ต้องการมาเอาชีวิตจริงๆ ก็คงมาตั้งนานแล้ว ไม่รอถึงสิบกว่าปีหรอก…
กู้ซีจิ่วสอดตัวกลับเข้าไปในผ้าห่ม ครุ่นคิดเล็กน้อย หัวใจพลันเต้นแรง!
หรือว่าหลัวซิงหลานยังไม่ตาย?!
ในที่สุดนางก็กลับมาแล้วหรือ?
……………………….
[1] กระจกร้าวหวนประสาน หมายถึง สามีภรรยาที่เลิกรากันแล้วหวนกลับมาคืนดี
[2] ปลามองหาปลา กุ้งมองหากุ้ง คางคกมองหากบ อุปมาถึง คนประเภทเดียวกันจะอยู่ร่วมกัน