Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 390

บทที่ 390

ตงซือขมวดคิ้วเลียนอย่าง[1] 1

หากเธอพูดความจริงออกไปเกรงว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายใหญ่โตขึ้น ดังนั้นเธอจึงโกหกไป

ตี้ฝูอีเงียบงันไร้วาจา

สายตาเขามองนาง “มองไม่เห็นจริงหรือ?”

“นางย่อมมองไม่เห็นอยู่แล้ว ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่สานุศิษย์ของสวรรค์เบื้องบน เพียงแต่ว่า ท่านทูตสวรรค์เหตุใดท่านถึงมองเห็นได้ทั้งหมดล่ะเจ้าคะ? ท่านมีพลังวิญญาณธาตุทอง ว่ากันตามเหตุผลแล้วท่านน่าจะมองเห็นเช่นเดียวกับซิงหลัว เห็นเพียงสีเหลือง…” อวิ๋นซิงหลัวที่อยู่ด้านข้างลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลางถามข้อสงสัยที่อยู่ในใจออกมา “หรือท่านพ่อของข้าจะหลอกข้าเสียแล้ว?”

ตี้ฝูอีเหลือบมองนางแวบหนึ่งด้วยท่าทียิ้มคล้ายมิยิ้ม “เจ้าคิดว่าเจ้าเทียบกับข้าได้งั้นรึ?”

อวิ๋นซิงหลัวใจเต้นระรัว รู้ตัวว่าตนพลั้งปากไปแล้ว “ซิงหลัว…ซิงหลัวไม่ได้หมายความเช่นนั้น ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเข้าใจผิดนะเจ้าคะ ซิงหลัว…”

ตี้ฝูอียกมือขึ้นทันที เป็นสัญญาณให้นางหุบปาก แล้วกล่าวอย่างเรียบเฉย “ข้าเชิญเจ้ามาเพียงให้เจ้ามาเป็นสักขีพยาน ยืนยันว่าข้านำนางมาหย่อนที่ยอดเขาที่สามจริงๆ เรื่องอื่นเจ้าไม่ต้องก้าวก่าย และไม่ต้องถาม”

“เจ้าค่ะ ซิงหลัวเข้าใจแล้ว “อวิ๋นซิงหลัวไม่กล้าพูดจาเป็นอื่นอีก

ช่วงที่สนทนากันอยู่ เรือของตี้ฝูอีก็แล่นมาถึงด้านบนยอดเขาที่สามแล้ว ยอดเขาลูกนี้เป็นสีนํ้าเงิน ราวกัมภูเขาน้ำแข็งอันลึกลับในมหาสมุทรลึก

กู้ซีจิ่วค่อนข้างมีปมกับความหนาวเย็น พอเห็นพืชพรรณที่ดูเหมือนยอดนํ้าแข็งเช่นนั้น หัวใจก็บีบรัดทันที ที่นี่คงมิใช่แดนเหมันต์ที่หนาวเหน็บยิ่งนักกระมัง?

เรือเริ่มลดระดับลง ทิวทัศน์ด้านล่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกู้ซีจิ่วได้ เห็นชัดๆ ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

พืชพรรณสีน้ำเงินเช่นนี้เธอเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ทิวทัศน์เบี้องล่างคล้ายฉากทิวทัศน์ในภาพยนตร์เรื่อง ‘อวตาร’ ที่เธอเคยดูเมื่อหลายปีก่อน ทุกสิ่งเป็นสีนํ้าเงินดั่งภาพฝัน…

เรือหยุดอยู่กลางอากาศเหนือหน้าผาสีนํ้าเงิน ตี้ฝูอีมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง “กระโดดลงไปซะ!”

กู้ซีจิ่วมองลงไปด้านล่าง ระยะห่างจากพื้นดินที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ 30 เมตร! ความสูงใกล้เคียงกับตึก 10 ชั้น!

แล้วด้านล่างยังเป็นเนินลาดชันที่เต็มไปด้วยโขดหินแหลมคม กรวดหินสีนํ้าเงินจำนวนมหาศาลดุจคมหอกคมดาบที่ตั้งชี้ชัน

หากเป็นคนธรรมดากระโดลงไปจากความสูงระดับนี้ ต้องถูกโขดหินด้านล่างเสียบเหมือนถังหูลู่[2] แน่นอน!

ที่แท้ไม่เพียงแต่เป็นการโยนทิ้งเท่านั้น ยังเป็นการโยนทิ้งแบบส่งๆ อีกด้วย!

เธอสงสัยอย่างหนักว่าตี้ฝูอีล้างแค้นเธออยู่ ล้างแค้นที่เธอไม่ยอมเชื่อฟัง!

เพียงแต่เธอก็ไม่ได้พูดจาให้มากความ แทบจะในจังหวะเดียวกันกับที่ตี้ฝูอีเพิ่งจะกล่าวจบ เธอก็เหินร่างขึ้น กระโดดออกไปแล้ว!

วันนี้เธอสวมชุดสีฟ้า ตอนที่ลอยละลิ่วลงไปดุจภูตสายลมที่ร่วงหล่นก็มิปาน

ยามที่ใกล้จะถึงพื้นดิน เชือกสีฟ้าเส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อเธอ พันโขดหินก้อนหนึ่งไว้ทันที จากนั้นเกิดแรงฉุดรั้งระหว่างสองด้าน แรงเสียดทานถ่ายเทสู่ด้านล่าง ร่างกายของเธอพลันพุ่งเฉียง แล้วร่อนลงบนโขดหิน

ทุกการเคลื่อนไหวคล่องแคล่วเฉียบขาด ไม่ลีลาเลยสักนิด และไม่มีการเคลื่อนไหวที่เกินความจำเป็น ท่วงท่าสง่างาม

ตี้ฝูอีคล้ายจะนึกไม่ถึงว่านางจะกระโดดลงโดยไม่พูดอะไรเลย สายตาไล่ตามการร่อนสู่พื้นของนางอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่

หลังจากนางลงสู่พื้นก็ไม่แม้กระทั่งจะเงยหน้ามองด้านบนเลย พุ่งทะยานไป เพียงพริบตาเดียวก็เลือนหายไปในป่าสีนํ้าเงินที่อยู่ไกลๆ หายลับไปไม่เห็นเงา

เต็กสาวผู้นี้รู้จักปลงได้วางเป็นอย่างเหนือธรรมดาจริงๆ!

“กลับได้แล้ว” ตี้ฝูอีเอนกายพิงกราบเรือพลางสั่งการสานุศิษย์ทั้งสี่

“ขอรับ” สานุศิษย์ทั้งสี่ตอบรับอย่างพร้อมเพรียงแล้วหันหัวเรือกลับ

“ท่านทูตสวรรค์ตี้ พวกเราจะไปไหนหรือเจ้าคะ?” อวิ๋นซิงหลัวถาม

“กลับเมืองหลวง”

ดวงตาอวิ๋นซิงหลัวเปล่งประกายแวบหนึ่ง

ป่าทมิฬอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงยิ่งนัก ขามาพวกเขาโดยสารเรือนี้เดินทางเป็นเวลาสองชั่วยามเต็มๆ ก่อนหน้านี้ที่กู้ซีจิ่วอยู่บนเรือ อวิ๋นซิงหลัวรู้สึกไม่ค่อยสะดวกนัก

บัดนี้กู้ซีจิ่วลงไปแล้ว บนเรือมีแค่นางกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสองคน เนื่องด้วยนางมองข้ามสานุศิษย์ทั้งสี่คนไปแล้ว

……………………

[1] ตงซือขมวดคิ้วเลียนแบบ อุปมาถึง การพยายามเลียนแบบผู้อื่น แต่สุดท้ายนอกจากจะไม่เหมือนแล้ว ยังเลวร้ายกว่าต้นฉบับด้วย

[2] ถังหูลู่ คืออาหารทานเล่นของชาวจีน โดยนำผลไม้ชนิดต่างๆ มาเคลือบนํ้าตาลแล้วเสียบบนไม้ยาวๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version