บทที่ 389
เธออยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก 4
พืชพรรณบนยอดเขาแต่ละลูกล้วนเป็นสีเดียวกันหมด เมื่อมองลงมาจากนภา จะเห็นเพียงสีแดงดุจเพลิง สีส้มดุจแสงอรุโณทัย สีเขียวเข้มดุจแป้งวาดคิ้ว สีม่วงดุจแพรต่วน…
ยอดเขาทุกลูกคล้ายมีไอหมอกจางๆ ที่มีสีเดียวกับยอดเขาแผ่ออกมา แล้วไหลไปรวมตัวกันตรงยอดเขาที่แปดซึ่งอยู่ตรงใจกลาง เห็นได้ชัดเจนมากว่าเมฆหมอกหลากสีบนยอดเขาที่แปดมีที่มาเช่นนี้เอง
นี่คือการรังสรรค์อันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ และเป็นสถานที่ซึ่งเมื่อเอ่ยถึงแล้วคนทั้งหลายในทวีปนี้ล้วนหน้าเปลี่ยนสี
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะเคยฟังหรงเจียหลัวเล่าถึงสภาพภูมิประเทศของที่นี่มาก่อนแล้ว แต่พอได้มาเห็นกับตาก็ยังตกตะลึงมากอยู่ดี โดยเฉพาะยามได้เห็นยอดเขาที่แปดยิ่งตกตะลึงกว่าเดิม!
หัวใจเต้นรัวยิ่งนัก คล้ายว่าตะลึง และคล้ายรู้สึกอย่างอื่นด้วย ความรู้สึกเช่นนี้แม้แต่ตัวเธอเองก็วิเคราะห์ออกมาไม่ได้
อวิ๋นซิงหลัวก็มองอย่างตกตะลึงยิ่งนักเช่นกัน จ้องด้านล่างด้วยสายตาที่ส่องประกาย “ท่านทูตสวรรค์ไอหมอกที่แผ่ออกมาจากยอดเขาสีเหลืองลูกนั้นใช่หมอกพิษหรือไม่เจ้าคะ?”
เสียงตี้ฝูอีเย็นชา “เจ้าลองเดาไหมล่ะ?”
อวิ๋นซิงหลัวชะงัก
กู้ซีจิ่วหยักยิ้มน้อยๆ ท่านทูตสวรรค์ผู้นี้อมพะนำอยู่ชัดดๆ หรือจะกล่าวว่าความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย…
“ข้าเดาว่าเป็นหมอกพิษเจ้าค่ะ” อวิ๋นซิงหลัวตอบ แล้วหันมาถามกู้ซีจิ่วบ้าง “แม่นางกู้ ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?”
กู้ซีจิ่วมองลงไปด้านล่าง ใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วตอบ “น่าจะมิใช่หมอกพิษ เป็นไอพิสุทธิ์ของหุบเขา ไอพิสุทธิ์ของยอดเขาทั้งเจ็ดล้วนมุ่งไปรวมตัวตรงยอดเขาที่แปด”
“ไอพิสุทธิ์ของยอดเขาทั้งเจ็ดหรือ? ไม่ใช่กระมัง? ยอดเขาอื่นๆ ล้วนไม่มีไอหมอก มีเพียงยอดเขาที่ห้าซึ่งเป็นสีเหลืองเท่านั้นที่มีไอหมอก” อวิ๋นซิงหลัวกล่าว
กู้ซีจิ่วมุ่นหัวคิ้วโดยพลัน
มีเพียงยอดเขาสีเหลืองเท่านั้นที่มี? แล้วเธอมองเห็นว่ายอดเขาอื่นก็มีเช่นกันได้อย่างไร?
เธอจึงมองอีกครั้ง เมื่อมองก็เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น ยอดเขาทุกลูกล้วนมีไอหมอกแผ่ออกมา
แล้วไอหมอกที่แผ่ออกมาจากทุกลูกก็มีลักษณะแตกต่างกัน พอเธอได้เห็นลักษณะของไอหมอกเหล่านี้ชัดๆ หัวใจก็สั่นไหวอีกครั้ง
สีแดงดุจหงส์เพลิง สีม่วงดั่งมังกรวารี สีส้มดุจเสือโคร่ง สีเหลืองดั่งเต่าดำ สีเขียวดุจมังกรเกล็ด…และอื่นๆ
ไอหมอกเช่นนี้ไม่ใช่หมอกพิษเด็ดขาด ทว่าค่อนข้างเหมือนไอวิญญาณสัตว์’
จะเป็นไปได้ไหมว่ายอดเขาทั้งเจ็ดลูกนี้จะกลายร่างมาจากเหล่าสัตว์ในตำนาน? ไอหมอกที่แผ่ออกมาดูเหมือนจะเป็นพลังวิญญาณที่เล็ดรอดออกมาของพวกมัน
ขณะที่เธอใคร่ครวญอยู่ อวิ๋นซิงหลัวกลับดูเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จู่ๆ ก็ยิ้มอย่างลุแก่โทษให้กู้ซีจิ่ว “แม่นางกู้ ข้าลืมไปว่าท่านมิใช่ศิษย์สวรรค์เบื้องบน จึงมองไม่เห็นไอหมอก”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “หือ?”
อวิ๋นซิงหลัวกล่าว “ท่านพ่อข้าเคยเล่าให้ข้าฟังว่า ยอดเขาทั้งแปดของป่าทมิฬมีพลังวิญญาณ แต่มีเพียงสานุศิษย์สวรรค์เท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ คนทั่วไปจะมองไม่เห็น ต่อให้เป็นศิษย์เทพศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่ต่างกัน ข้าลืมนึกถึงข้อนี้ไปชั่วขณะ ไม่ควรพูดเรื่องพวกนี้กับท่านเลย”
นางหันไปถามตี้ฝูอี “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ซิงหลัวพูดถูกไหมเจ้าคะ?”
สายตาของตี้ฝูอีหยุดอยู่บนร่างกู้ซีจิ่ว “เจ้ามองเห็นพลังวิญญาณของยอดเขากี่ลูก?”
สายตาเขาลึกลํ้า จ้องเธอเขม็ง เสมือนตื่นเต้นกับคำตอบของเธอยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมองเห็นกี่ลูก?”
“ข้าถามเจ้าอยู่!”
กู้ซีจิ่วยิ้มน้อยๆ ทว่าวาจาที่เอ่ยกลับเฉียบคมนัก “ท่านถามข้าก็จำเป็นต้องตอบรึ?”
ตี้ฝูอีชะงักงัน เขาลืมไปเลยว่าเด็กสาวผู้นี้คือเม่นน้อยหนามคม ยิ่งบีบบังคับหนามก็จะยิ่งชูขึ้นทิ่มแทงคน
“ข้ามองเห็นทั้งหมด” ในที่สุดตี้ฝูอีก็ตอบเธอ แล้วถามกลับ “เจ้าล่ะ?”
กู้ซีจิ่วเม้มปากนิดๆ “มองไม่เห็นเลยสักลูก”
ไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรเธอก็กล่าวเสริมอีกประโยค “เมื่อกี้ที่ข้าพูดไปเช่นนั้นก็เป็นการคาดเดาตามที่แม่นางอวิ๋นกล่าว”
เธอรู้สึกอยู่เสมอว่าสถานที่แห่งนี้มีความลึกลับอะไรอยู่ แต่กำลังของเธอในตอนนี้ยังอ่อนแอเกินไป ไม่ควรให้ผู้อื่นรู้ว่าเธอแตกต่าง…