Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 392

ตอนที่ 392

ตงซือขมวดคิ้วเลียนอย่าง 3

ดังนั้นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายต้องชอบประเภทนี้แน่นอน!

การต่อต้านเขาอย่างพอเหมาะอาจจะบรรลุผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่าเดิม

ตี้ฝูอียิ้มแล้ว เขาสวมหน้ากากเอาไว้ เพียงหยักยิ่มมุมปากเล็กน้อย ก็งามหยาดเยิ้ม “ดียิ่ง!”

เขาพลันสะบัดแขนเสื้อ อวิ๋นซิงหลัวหวีดร้องเสียงแหลม ตัวคนหล่นลงไปจากเรือ ร่วงลงไปเหมือนดาวตกแล้ว…

ซ้ำยังมีเสียงตี้ฝูอีติดตามนางที่ร่วงลงไปด้วย “ข้ามีหน้าที่ตรวจสอบศิษย์สวรรค์เบื้องบนและดำเนินการลงโทษ ถ้าไม่บรรลุเงื่อนไขภายใน 20 ปี 20 ปีให้หลังหากเจ้าไม่บรรลุเงื่อนไข ข้าจะมาหาเจ้าเอง!”

 

เฟิง อวิ๋น เหลย เตี่ยน เทวทูตทั้งสี่ลอบส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง อาศัยฐานะศิษย์สวรรค์เบื้องบนมาข่มขู่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องการชีวิตแล้วกระมัง!

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ แม่นางอวิ๋นผู้นี้คงไม่ตกลงไปตายใช่ไหมขอรับ?” มู่เหลยมองลงไปด้านล่างอย่างเห็นใจยิ่งนักแวบหนึ่ง นี่คือระดับความสูงกว่า 300 จั้ง ถ้าคนธรรมดาตกลงไปต้องเละตุ้มเป๊ะแน่นอน

เนื่องจากบนเรือไม่มีคนนอกแล้ว เทวทูตทั้งสี่จึงไม่จำเป็นต้องเรียกขานเจ้านายตนว่า ‘ทูตสวรรค์’ฝ่ายซ้าย’ อีก แต่เรียกขานฐานะที่แท้จริงของเขาได้เลย

ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีก็คือเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถู

ตี้ฝูอีคือตัวตนที่เทพศักดิ์สิทธิ์ใช้เป็นประจำยามเดินทางบนโลกนี้

เทพศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาคือเทพศักดิ์สิทธิ์พันหน้า มีตัวตนมากมายนับไม่ถ้วน แต่ที่ใช้เป็นประจำก็คือฐานะทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอี

ส่วนเทวทูตทั้งสี่ก็เปลี่ยนแปลงไปตามฐานะของเทพศักดิ์สิทธิ์ ยามอยู่ข้างกายทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย พวกเขาคือสี่ผู้พิทักษ์ นามก็เป็นนามที่แท้จริงของพวกเขา มู่เฟิง มู่อวิ๋น มู่เหลย มู่เตี่ยน

แต่ยามที่อยู่ข้างกายเทพศักดิ์สิทธิ์และรับคำสั่งจากเขา คนนอกจะรู้จักพวกเขาในนามเทวทูตทั้งสี่ ‘เฉิง ส่าง เจี่ยง สื่อ’

ทูตบาป ทูตบุญ ทูตคุณ ทูตโทษ

ไม่มีใครทราบว่าสี่เทวทูตข้างกายท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่แท้ก็คือสี่ผู้พิทักษ์ข้างทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย

อวิ๋นซิงหลัวหล่นลงไปจนไร้ร่องรอยแล้ว สี่เทวทูตพร้อมใจกันมองลงไปด้านล่าง

มู่เฟิงส่ายหัว “ด้านล่างคือหนองนํ้า หากนางตกลงไปแล้วตาย จะคู่ควรเป็นสานุศิษย์ของสวรรค์เบื้องบนได้อย่างไร? ไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก”

มู่เหลยถอนหายใจอย่างโล่งอก “เช่นนั้นก็ดี”

มู่เฟิงหยอกเยาเขา “มู่เหลย เจ้าหวั่นไหวกับนางหรือ? ถึงได้รักหยกกนอมบุปผาเพียงนี้”

“เหลวไหล! ข้าเพียงคิดว่ากว่าเทพศักดิ์สิทธิ์ตรวจพบสานุศิษย์สวรรค์สักคนมิใช่ง่ายๆ ถ้านางตกตายไปเช่นนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะสิ้นเปลืองกำลังโดยเปล่าประโยชน์เกินไป! เพียงแต่แม่นางอวิ๋นผู้นี้ช่างใจกล้าเหนือสามัญจริงๆ กล้าข่มขู่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เคราะห์ดีที่นางเป็นสานุศิษย์ของสวรรค์เบื้องบน มิเช่นนั้นชีวิตของนางคงปลิดปลิวไปแล้ว!”

“เหตุใดข้ารู้สึกว่านางกำลังลอกเลียนแบบแม่นางกู้?” มู่อวิ๋นที่นิสัยค่อนข้างเถรตรงพูดโพล่งออกมา

ด้วยเหตุนี้ สายตาทั้งสี่คู่จึงพร้อมใจกันมองไปทางท่านเทพศักดิ์สิทธิ์

เทพศักดิ์สิทธิ์ยืดเหยียดขา กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ตงซือขมวดคิ้วเลียนอย่าง!”

สี่เทวทูตไม่กล่าวอันใด ทว่าในใจลอบพยักหน้าเห็นด้วย

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ถึงอย่างไรแม่นางกู้ก็เพิ่งจะมีพลังวิญญาณขั้นสี่ ด้วยพลังวิญญาณของนางเข้าสู่ยอดเขาที่หนึ่งยังพอจะถูไถไปได้ ทว่ายอดเขาที่สามอันตรายนัก ต้องการให้ข้าน้อยส่งคนไป ประสานงานเตรียมการเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินที่ยอดเขานั้นอย่างลับๆ หรือไม่ขอรับ?”

มู่เฟิงผู้ละเอียดรอบคอบถามออกมา

“ไม่ต้อง” ตี้ฝูอีพริ้มตาลงเล็กน้อย “ด้วยสติปัญญาและวรยุทธ์ของนาง เข้าสู่ยอดเขาที่สามน่าจะไม่มีปัญญาอะไร ในเมื่อเป็นการลงโทษก็ไม่ควรผ่อนปรน”

“ขอรับ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ช่างปราดเปรื่องนัก!”

“ตอนนี้หลงซือเย่เป็นอย่างไรบ้าง?”

“เรียนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ การลงโทษเขาครบกำหนดแล้ว ข้าน้อยส่งเขากลับไปที่สำนักถามสวรรค์เมื่อวันก่อนแล้วขอรับ”

“เขาเป็นเช่นไร?”

“ข้าน้อยคาดว่าเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีถึงจะสามารถฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติขอรับ” มู่เฟิงรายงาน

ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง “บาดเจ็บหนักปานนั้นเชียว?”

มู่เฟิงพูดไม่ออก

เจ้าสำนักถามสวรรค์ผู้นั้นเริ่มแรกถูกแผดเผาจนปางตาย แล้วถูกส่งไปแช่แข็งในแดนเหมันต์จนปางตายอีกรอบ เจอทั้งร้อนทั้งเย็นติดๆ กัน ยังรักษาชีวิตน้อยๆ ไว้ได้ก็นับว่าเขาโชคดีมากแล้ว ได้รับ บาดเจ็บสาหัสก็เป็นธรรมดามิใช่หรือ?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version