บทที่ 393
ตงซือขมวดคิ้วเลียนอย่าง 4
มู่เฟิงแอบถอนหายใจอยู่ในใจ โชคดีที่พลังวิญญาณของหลงซือเย่บรรลุขั้นเก้าแล้ว เป็นหมอที่มีฝีมือและมีชื่อเสียงที่สุด ซ้ำยังเป็นสานุศิษย์สวรรค์ที่เด็ดเดียวที่สุดด้วย ไม่เช่นนั้น…ไม่เช่นนั้นเกรงว่าเจ้าสำนักผู้นี้พักฟื้นครึ่งปีก็ยังไม่ดีขึ้น!
เขาเอ่ย “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์โปรดวางใจ ถึงแม้หนนี้เจ้าสำนักหลงจะได้รับบาดเจ็บถึงพลังชีวิต แต่วรยุทธ์ของเขากลับพัฒนาขึ้นอย่างยิ่ง เชื่อว่าอีกครึ่งปีให้หลังวรยุทธ์เขาจะก้าวขึ้นไปอีกขั้นขอรับ”
ถึงแม้สถานที่สองแห่งนั้นจะเป็นแหล่งลงทัณฑ์ แต่ด้านในก็มีพลังวิญญาณมากเป็นพิเศษ เป็นสถานที่ดีต่อการบำเพ็ญเพียร
โดยทั่วไปการฝึกฝนอยู่ด้านในสามวันจะเทียบได้กับการฝึกฝนด้านนอก 1 เดือน
เพียงแต่…เพียงแต่การถูกกักตัวอยู่นานๆ จะทำให้พลังชีวิตบอบช้ำเท่านั้น…
ตี้ฝูอีเอนกายพิงอยู่ตรงนั้น ปลายนิ้วเคาะกราบเรือเบาๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ลืมตาขึ้นแล้วแย้มยิ้ม “เขาช่างดื้อรั้นเสียจริง!”
เทาทูตทั้งส่งีนงง ไม่ทราบว่าเจ้านายตนกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
“เคลื่อนเรือไปทางตะวันออก 30 ลี้” จู่ๆ ตี้ฝูอีก็ออกคำสั่งกะทันหัน
“ขอรับ!”
เรือลำนี้ของตี้ฝูอีค่อนข้างรวดเร็ว ระยะทาง 30 ลี้เพียงชั่วพริบตาก็ถึงแล้ว
“คอยอยู่ตรงนี้” ตี้ฝูอีสั่ง
“ขอรับ” เทาทูตทั้งสี่ตอบรับอีกครา นำเรือไปซ่อนในหมู่เมฆหนาทึบอย่างเชี่ยวชาญ
ฝานไปครู่หนึ่ง กระเรียนมงกุฎแดงตัวหนึ่งก็บินมาจากสุดขอบทิศตะวันออก
ความเร็วในการบินของกระเรียนมงกุฎแดงรวดเร็วยิ่งนัก
พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้เรือของตี้ฝูอีแล้ว
มีคนนั่งอยู่บนหลังของนกกระเรียนมงกุฎแดง คนผู้นั้นเกศาดำ อาภรณ์ขาว สวมหน้ากากเงิน เผยเพียงคางงามได้รูปและริมฝีปาก บางที่ค่อนข้างซีดเซียว เห็นได้ชัดว่าเขามีเรื่องเร่งด่วน กระเรียน มงกุฎแดงใต้ร่างบินได้เร็วพอแล้ว ทว่าเขากลับคอยกระตุ้นกระเรียนอยู่เนืองๆ
หลงซือเย่!
มู่เฟิงเบิกตากว้างมองคนที่อยู่บนหลังนกกระเรียนมงกุฎแดงราวกับเห็นผี!
ระหว่างที่หลงซือเย่กำลังขี่กระเรียนโบยบินอยู่ เบื้องหน้าพลันมีเรือลำหนึ่งปรากฎขึ้นกะทันหัน เขาไม่ทันระวัง เกือบจะพุ่งชนแล้ว!
กระเรียนมงกุฎแดงกู่ร้องเสียงยาว ในที่สุดก็ชะลอตัวได้ทันเวลา หยุดอยู่เบื้องหน้าหัวเรือ
“เจ้าสำนักหลง ไม่ได้พบกันเสียนาน สบายดีหรือไม่?” ตี้ฝูอีที่อยู่บนเรือทักทายเขาอย่างหน้าชื่นตาบาน
หลงซือเย่นิ่งงัน
“เจ้าสำนักหลงจะไปที่ใดรึ? ถึงได้รีบร้อนปานนี้?” ตี้ฝูอีเอ่ยถามประโยคที่สอง
หลงซือเย่เม้มปากนิดๆ ตอบอย่างเรียบเฉยว่า “แซ่หลงจะไปที่ใด ไม่จำเป็นต้องรายงานท่านกระมัง?”
ตี้ฝูอียิ้มบางๆ “แน่นอน เจ้าสำนักหลงมีอิสระเสรี ขอเพียงเจ้าสำนักหลงมิได้ไปป่าทมิฬ ข้าย่อมไม่ก้าวก่าย”
หลงซือเย่พูดไม่ออก
ตี้ฝูอีมองเขายิ้มๆ “เจ้าสำนักหลงคงทราบกระมัง? ตามหลักแล้วผู้ที่แอบอ้างว่าได้รับความสามารถจากสวรรค์จะถูกโยนเข้าป่าทมิฬ มีแต่ต้องพึ่งพาตัวเองเพื่อออกมา ไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนช่วยเหลือทั้งสิ้น มิฉะนั้นไม่เพียงแต่ผู้ถูกช่วยจะได้รับโทษ ผู้ให้ความช่วยเหลือก็ต้องรับโทษเช่นกัน ถึงขั้นต้องรับโทษหนักหนากว่าด้วย”
ริมฝีปากบางของหลงซือเย่เม้มแน่น ในที่สุดก็ถามออกมา “นางถูกโยนไว้ส่วนไหนของยอดเขาที่สาม?”
“รอนางออกมาได้ท่านค่อยถามนางด้วยตัวเองไม่ดีกว่าหรือ?”
หลงซือเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วบ่ายหน้ากระเรียนมงกุฎแดงคิดจะจากไป
“เจ้าสำนักหลง ข้าติดตั้งเขตแดนไว้รอบๆ ป่าทมิฬ นับตั้งแต่นางเข้าสู่ยอดเขาที่สาม ที่แห่งนั้นก็ไม่อนุญาตให้เข้าออกแล้ว ท่านยังจะไปจริงๆ หรือ?”
หลงซือเย่หันกลับมาทันที มองเขาด้วยแววตาโกรธขึ้ง “ตี้ฝูอี ท่านคิดจะสังหารนางจริงๆ ใช่ไหม?!”
“ข้าแค่ไม่อยากลำเอียง และไม่อยากให้เจ้าสำนักหลงต้องรับโทษทัณฑ์อีก” สีหน้าตี้ฝูอีแสนจริงใจ
“ขอบคุณสำหรับความหวังดี!” หลงซือเย่แทบจะกัดฟันกรอด เขาไม่อยากพูดจาไร้สาระกับตี้ฝูอีต่อ จึงบังคับนกกระเรียนจากไป
“นายท่าน เขายังจะไปที่ป่าทมิฬอีกหรือไม่ขอรับ?” มู่เฟิงมองหลงซือเย่ที่จากไปไกล อดเอ่ยถามเจ้านายตนไม่ได้