บทที่ 394
เด็กน้อย ที่แท้เจ้าก็ชอบแบบนี้ 1
“น่าจะไม่แล้ว” ตี้ฝูอีพ่นลมหายใจเบาๆ “เขาไม่ได้โง่งมขนาดนั้น ด้วยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ฝ่าเขตแดนข้าเข้าไปไม่ได้หรอก จะเป็นการสิ้นเปลืองกำลังไปเปล่าๆ เท่านั้น เอาละ สายมากแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องจัดการ”
“ขอรับ…”
พวกมู่เฟิงทราบสถานการณ์ภายในดี เมื่อหลายวันก่อนได้กวาดล้างป่าทมิฬไว้ล่วงหน้าแล้ว ขับไล่บุคคลภายนอกทั้งหมดออกไป ยามนี้ภายในป่าทมิฬมีเพียงกู้ซีจิ่วผู้เดียวจริงๆ
นอกเสียจากนางจะออกมาได้ด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นคนอื่นก็อย่าฝันว่าจะได้เข้าไป!
นี่คือกฎเกณฑ์การจัดการเรื่องราวของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ผู้ถูกลงโทษทุกคนล้วนได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกัน เที่ยงธรรมไม่ลำเอียง
มู่เฟิงยังนึกว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะปฏิบัติต่อกู้ซีจิ่วแตกต่างจากผู้อื่น คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเป็นแบบนี้
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ช่างเลือดเย็นเด็ดขาดโดยแท้!
ปิดกั้นโอกาสการลอบให้ความช่ายเหลือของทุกคน
ไม่ว่าจะเป็นการกวาดล้างหรือติดตั้งเขตแดนรอบป่าทมิฬ ล้วนต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณมหาศาล หลายวันมานี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยุ่งยิ่งนักและอ่อนล้าจริงๆ ควรจะกลับไปพักผ่อนให้ดี
แม่นางกุ้ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวท่านแล้ว
แต่หวังว่าจะได้พบท่านในอีกเจ็ดวันให้หลัง…
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หายไปจากเรือแล้ว ไม่มีใครทราบว่าเขาจะไปไหน
เคราะห์ดีที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ มู่เฟิงและคนอื่นๆ จึงไม่เก็บมาใส่ใจ ลากมู่เหลยที่รูปร่างคล้ายคลึงกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ่งนักเข้ามาอย่างคล่องแคล่ว ให้เขาเปลี่ยนมาสวมชุดและหน้ากากของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เอนกายอยู่บนเรือ แล้วมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง
………………………………..
บนฟ้าเหนือป่าทมิฬ ตี้ฝูอียืนลอยละล่องท้าสายลม หลุบตามองด้านล่าง มีเสียงคำรามของสัตว์สารพัดชนิดแว่วมาจากส่วนลึกของป่าทึบ ราวกับถูกอะไรบางอย่างรบกวน
ชัดเจนมากว่ากู้ซีจิ่วใช้ลูกเล่นต่างๆ อยู่ด้านในแล้ว
“เติบโตมาด้วยกัน เผชิญความเป็นความตายด้วยกัน…เด็กน้อย ที่แท้เจ้าก็ชอบแบบนี้…” มุมปากเขายกขึ้นนิดๆ หยักเป็นรอยยิ้ม “ง่ายดายนัก!”
เขาหมุนพลิ้วอยู่กลางอากาศ จู่ๆ เรือนกายสูงโปร่งก็หดเล็กลง จากเดิมที่สูง 185 เซนติเมตร บัดนี้กลับสูงไม่ถึง 180 เซนติเมตรแล้ว…
รูปลักษณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล จากเดิมที่งามเย้ายวนจนน่าตะลึง ยามนี้กลับสุภาพอ่อนโยนดุจไผ่เขียวต้นอวี้ สวมชุดหรูซานสีเซียวประดุจบัณฑิตผู้อ่อนน้อมซึ่งกำลังเดินทางไปสอบไล่ที่เมืองหลวง เขาเหินทะยานกาย โถมเข้ช้าไปในป่าทมิฬอย่างไร้สุ้มเสียง…
……………………………….
บนเนินเขาแห่งหนึ่งนอกป่าทมิฬ สตรีชุดแดงผู้หนึ่งยืนท้าลมอยู่ นางสวมผ้าคลุมหน้าไว้ จึงมองไม่เห็นว่ารูปโฉมเป็นเช่นใด เห็นเพียงนางจับจ้องไปทางป่าทมิฬ ริมฝีปากค่อนข้างซีดเซียว
“หัวหน้า พวกเราเข้าไปไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ!” ดรุณีชุดเขียวสองนางพุ่งทะยานเข้ามา ค้อมกายรายงานต่อสตรีชุดแดงผู้นั้น “ครานี้คนของวังคํ้านภาเข้มงวดเป็นพิเศษ เขตแดนที่ติดตั้งก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เส้นทางทั้งหมดถูกปิดตาย ออกได้แต่เข้าไม่ได้ สายลับของพวกเราที่เดิมทีแฝงกายอยู่ด้านในก็ถูกขัมไล่ออกมาเช่นกัน”
สตรีชุดแดงกำมือแน่น “หากรู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงเข้าไปรอตั้งแต่วันก่อน”
ดรุณีเชุดเขียวส่ายหน้า “หัวหน้า ข้าน้อยขอกล่าววาจาล่วงเกินอย่างใหญ่หลวง ถึงท่านเข้าไป วันนี้ก็จะถูกกวาดล้างออกจากป่าทมิฬอยู่ดี คนของพวกเราเห็นกับตาว่ายอดยุทธ์พลังวิญญาณขั้นเจ็ดผู้หนึ่งก็ถูกกวาดต้อนออกมา ได้ยินว่าหนนี้มีแต่ต้องเป็นชาวพื้นเมืองที่ใช้ชีวิตอยู่ด้านในมาเนิ่นนาน มิเช่นนั้นย่อมหลบหนีการติดตามกวาดล้างของวังคํ้านภาไม่พ้น…”
สตรีชุดแดงขมวดคิ้ว “เห็นทีครานี้จิวเอ๋ออ์ต้องเผชิญอยู่ด้านในเพียงลำพังแล้ว นางมีพลังวิญญาณเพียงขั้นสี่เท่านั้น ข้าเกรงว่าจ มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน…”
“ถึงแม้วรยุทธ์ของคุณหนูจะไม่สูงส่ง แต่นางมีปฏิกิริยาตอบสนองว่องไว ใช้ความอ่อนแอสยบความแข็งแกร่งได้เสมอ ครั้งนี้ย่อมเอาตัวรอดได้แน่นอนเจ้าค่ะ” ดรุณีชุดเขียวปลอบใจนาง