บทที่ 448
ล้วนเป็นเพียงเมฆาเลื่อนลอย 3
กู้ซีจิ่วสีหน้าอึมครึม หยกนภาจึงกล่าวอีกว่า ‘คนผู้นี้ช่างใจแคบเสียจริง ต่อให้มองร่างเดิมของเขาออกแต่ไม่พูดแล้วจะทำไมเล่า? ไม่เปิดโปงการเสแสร้งของเขาก็กลายเป็นความผิด คุมค่าพอให้เขาโกรธเกรี้ยวหรือ? คนผู้นี้ประสาทแท้ๆ! ก่อนหน้านี้ยังเกาะติดผู้อื่นไม่ยอมปล่อย พริบตาเดียวก็กลายเป็นคนไม่รู้จักกัน สะบัดหน้าจากไปเลย!’
กู้ซีจิ่วเคาะมันด้วยปลายนิ้ว ‘เอาน่า ข้ายังไม่พูดอะไรเลย แล้วหยกเช่นเจ้าจะบ่นไปทำไม? ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้นมิใช่คนที่จะปล่อยให้ผู้อื่นว่ากล่าวได้ตามอำเภอใจ ระวังเขาทราบแล้วจะโยนเจ้าแตก เป็นเสี่ยงๆ’
‘เจ้านาย ประเด็นหลักคือข้าคิดไม่ตกว่าเหตุใดเขาถึงเปลี่ยนท่าทีได้รวดเร็วปานนี้?’
‘อาจเป็นเหมือนที่เขาพูด เขาเข้ามาเพื่อทดสอบอุปนิสัยและคุณสมบัติของข้ากระมัง? คนผู้นี้กระทำการไร้ขอบเขตและคาดเดาได้ยาก ดังนั้นอย่าคาดเดาส่งเดชอีกเลย เอาละ พวกเราควรเตรียมลงจากเขาได้แล้ว’
ซือเฉินเป็นฐานะจอมปลอม ความอบอุ่นที่พ่วงมาด้วยเหล่านั้นก็เป็นของปลอมเช่นกัน ทุกอย่างคือของปลอม เป็นเพียงการละเล่นเสแสร้งฉากหนึ่งเท่านั้น
เธอก็คือนักแสดงสมทบในภาพยนตร์อันงดงาม ต่อให้ฉากในภาพยนตร์อบอุ่นอ่อนโยนอีกเท่าใดก็เป็นสิ่งจอมปลอม ความอ่อนโยนในภาพยนตร์เหล่านั้นเธอไม่ควรอาลัยอาวรณ์และไม่ควรเก็บมาใส่ใจ
ดังนั้นการที่ยามนี้จิตใจเธอย่ำแย่ ก็เป็นเพราะเธอเข้าถึงบทบาทเกินไป จึงยังเดินออกมาไม่ได้ชั่วขณะ
เพียงแต่เธอต้องเดินออกมาได้แล้ว ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นกลายเป็นเมฆาเลื่อนลอยไป
กู้ซีจิ่วรวบรวมสติ สั่งให้เจ้าหอยยักษ์เปลี่ยนร่างให้มีขนาดเท่ากำปั้นอีกครั้งแล้วเอาใส่ไว้ในถุงเก็บของ
จากนั้นก็ลูบเขาของเพรียกวายุเบาๆ “เจ้าอยากตามข้าไปไหม?”
เพรียกวายุตัวนี้เข้าใจภาษามนุษย์ มันรีบผงกหัว ซ้ำยังส่งสัญญาณไปทางหลังตนให้แก่กู้ซีจิ่ว สื่อว่าเธอสามารถขึ้นมาขี่ได้
‘เจ้านาย แบบนี้คือมันอยากเป็นพาหนะให้ท่าน! ดีเหลือเกิน!’ จิตใจหยกนภาก็ฮึกเหิมขึ้นมาเช่นกัน นํ้าเสียงชื่นมื่นยิ่งนัก ‘ถ้าท่านขี่มันจะออกจากป่าทมิฬได้ง่ายยิ่งขึ้น! ยามนี้เป็นเช้าวันที่สี่นับจากท่านเข้าสู่ป่าทมิฬ ท่านยังเหลือเวลาอีกสี่วันในการออกไปภายนอก ระยะเวลาเพียงพอแล้ว’
หยกนภากล่าวไม่ผิด หนนี้การออกไปสู่ภายนอกของกู้ซีจิ่วราบรื่นยิ่งนัก
เพียงแต่มิใช่เพราะเพรียกวายุที่เธอขี่เดินทางได้รวดเร็วดุจสายลม แต่เป็นเพราะลู่อู๋สัตว์วิเศษที่หมอบอยู่บนข้อมือเธอตัวนี้ต่างหาก เจ้าตัวน้อยรูปร่างเล็กจ้อย ทว่าดุดันอย่างยิ่ง ยามกู้ซีจิ่วเดินทางอยู่ในป่า บางครั้งจะพบเจอสัตว์ร้ายกีดขวางเส้นทางบ้าง ไม่ทันรอให้เธอได้ลงมือ สัตว์วิเศษลู่อู๋ที่หมอบอยู่บนข้อมือตัวนี้ก็จะร้องอย่างยินดีแล้วพุ่งออกไป…
ด้วยเหตุนี้สัตว์ร้ายที่กีดขวางเส้นทางจึงมิได้กลืนกินกู้ซีจิ่ว แต่กลับถูกสัตว์วิเศษลู่อู๋สูบกินจนเหลือแต่ซากสัตว์แทน
ระหว่างสัตว์ร้ายกับสัตว์ร้ายก็มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน หลังจากสัตว์หลายตัวรู้เห็นถึงพฤติกรรมอันเหี้ยมหาญของลู่อู๋ ก็รีบกลับไปบอกกล่าวแก่ญาติสนิทมิตรสหายของพวกมัน ให้พวกมันอย่ามากีดขวางเส้นทางรนหาที่ตายเด็ดขาด…
ดังนั้นทุกพื้นที่ที่กู้ซีจิ่วไปเยือน สัตว์ทั้งหมดล้วนหลบหนีหัวซุกหัวซุน วิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่ายถูกศรเสียอีก!
ด้วยเหตุนี้ ไม่ทันข้ามวัน กู้ซีจิ่วก็เดินทางผ่านยอดเขาที่ห้า ยอดเขาที่สี่ มาจนถึงพรมแดนระหว่างยอดเขาที่สามกับยอดเขาที่สี่แล้ว
แม่น้ำสลายกระดูกไหลรินเงียบเชียบ ก้อนกรวดริมแม่น้ำยังกลมเกลี้ยงเช่นเดิม แต่เด็กหนุ่มที่นั่งตกเบ็ดอยู่ริมแม่นํ้ากลับหายไปแล้ว และกู้ซีจิ่วก็เชื่อว่าเธอจะไม่ได้พบเด็กหนุ่มผู้นั้นอีก…
เธอหยุดอยู่ริมแม่น้ำ มองแม่น้ำสายนั้นแล้วใจลอยอยู่ครู่หนึ่ง
วันนี้วิ่งเต้นทั้งวัน เธอรู้สึกหิวอยู่บ้าง จึงล้วงเข้าไปในถุงเก็บของตามสัญชาตญาณ คิดจะหยิบผลไม้ออกมาบรรเทาความหิวสักลูก เมื่อหยิบผลไม้ออกมากลับมีเจ้าหอยตัวนั้นหมอบอยู่ด้านบน…
ผลไม้ลูกนั้นถูกมันแทะกินไปครึ่งหนึ่งแล้ว