บทที่ 479
กลางวันคิดคำนึง กลางคืนใฝ่ฝันหา 2
มิน่าเล่า ยามเขาจากมานางยังแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าอยู่เลย แต่พอออกจากป่าทมิฬภายในร่างกลับมีพิษตกค้าง ซ้ำยังบาดเจ็บหนัก…
เขาหลุบตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยกมือถอนเขตแดนที่ริมสระนํ้าพุร้อนออก แล้วเรียกคนทันที “มู่เหลย ไสหัวเข้ามา!”
มู่เหลยรีบเข้ามาทันที เมื่อเห็นเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ตกตะลึง
อาภรณ์ของเทพศักดิ์สิทธิ์หลุดลุ่ย เรือนผมดำเปียกชุ่ม หยาดนํ้าหยดลงมาจากเส้นผม หยดซึมเข้าไปในสาบเสื้อที่แบะอ้าออก ชุดสีม่วงของเขาก็เปียกชื้น เขาที่เป็นเช่นนี้ทั้งทรงเสน่ห์และเย้ายวนแฝงความเฉยเมยฉื่อยชาไว้ ยั่วยวนเหลือเกิน!
เมื่ออยู่ต่อหน้าบริวารอย่างพวกเขา ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะแต่งกายเรียบร้อยหมดจดอยู่เสมอ เสื้อผ้าหน้าผมเป็นระเบียบ ไม่ยับย่นเลยสักนิด
การที่เป็นเช่นยามนี้…
ถือเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์!
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์นั่งเอื่อยเฉื่อยมองเขาอยู่บนม้านั่งหินริมสระ ทำให้หัวใจมู่เหลยเต้นกระหน่ำอย่างมิอาจควบคุมได้!
รู้สึกเพียงว่ากลิ่นอายท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ช่างสะกดข่มผู้คน โดยเฉพาะยามที่ดวงตาคู่นั้นตวัดขึ้นนิดๆ ดั่งมีประกายแสงล่องลอยอยู่ ทำให้คนมองเพียงแวบเดียวก็รู้สึกหลงใหลเคลิบเคลิ้ม
ให้ตายเถิด! ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นอะไรไป?
ราวกับ…ไม่พอใจอยู่…
จู่ๆ มู่เหลยก็นึกขึ้นได้ว่าระยะนี้มีข่าวลือแพร่อยู่ในวังว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นต้วนซิ่ว พอได้เห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายในยามนี้อีก…
เขารู้สึกหนาวสะท้านอย่างน่าประหลาด
คงมิใช่ว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คิดจะเรียกเขามาช่วยคลายความต้องการหรอกกระมัง?!
ถึงท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะงดงามแต่ก็เป็นชายชาตรีนะ! และด้วยนิสัยของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ต่อให้เขาเป็นต้วนซิ่วก็ต้องเป็นฝ่ายที่อยู่ด้านบน ไม่มีทางอยู่ใต้ผู้อื่นเด็ดขาด…
ดังนั้นการที่ท่านทูตสวรรค์ ‘งามเย้ายวน’ เช่นนี้ ก็เพราะคิดจะ ‘กด’ ลูกน้องอย่างเขา?
ไม่เอานะ! เขาเป็นบุรุษปกติ ทั้งยังคิดจะแต่งภรรยา ไม่อยากถูกกด…
เขาหนาวสะท้านขึ้นมาอีกครา!
ใบหน้าหล่อเหลาเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีดขาว ถึงขั้นหน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กน้อยด้วย
คิดเพ้อเจ้ออยู่ครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกได้ว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่เรียกเขาเข้ามาเงียบงันอยู่ตลอด จึงเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ หัวใจพลันเต้นรัวอีกครั้ง!
ท่านตี้ฝูอีใช้มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะไว้ มองดูเขาด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม เมื่อสายตาของคนทั้งสองประสานกัน มู่เหลยตัวสั่นเทาทันที ขาสองข้างพลันอ่อนยวบ คุกเข่าลงไปเสียงดังตุบ “ท่านเทพ ศักดิ์สิทธิ์!”
“ได้สติแล้วรึ?” ติฝูอีหลุบตามองเขา หลังจากเจ้าบัดซบผู้นี้เข้ามาก็มีสีหน้าผิดปกติ ประหนึ่งเกรงว่าจะถูกทำมิดีมิร้าย ยามนี้กลับมีสีหน้าเหมือนพร้อมตายเพื่อรักษาพรหมจรรย์อีก…
นํ้าเสียงตี้ฝูอีอ่อนโยนดั่งสายลม ทว่ามู่เหลยกลับรู้สึกหนาวสะท้าน นํ้าเสียงสั่นไหว “ทะ…ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์!”
“คิดเพ้อเจ้ออะไรกับข้า?” ตี้ฝูอีถามเขา ด้วยเกรงว่าเขาจะไม่เข้าใจ จึงเปลี่ยนให้เข้าใจง่ายขึ้น “ในใจคิดว่าข้าจะทำอะไรรึ?”
มู่เหลยกล่าว “ข้าน้อย…ข้าน้อยมิกล้า…ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เรียกข้าน้อยเข้ามามะ…มีเรื่องใดจะสั่งการหรือขอรับ?” เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเลย!
ตี้ฝูอีเงียบงัน ขณะที่มู่เหลยกังวลอยู่ ทันใดนั้นก็พบว่าตี้ฝูอีมายืนอยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว ชายเสื้อคลุมสีม่วงแทบจะเฉียดใบหน้าเขาไป!
สวรรค์ มาแล้ว! เทพศักดิ์สิทธิ์จะมากดเขาแล้ว!
มู่เหลยตื่นตระหนก เบี่ยงหลบตามสัญชาตญาณ ทว่าล้มหงายหลังเสียงดังตึง มือเท้าชี้โด่เด่
ตี้ฝูอีตะลึง…
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่ค่อยเข้าใจความคิดของบริวารคนนี้ ที่แท้เจ้าตัวบัดซบนี้หวาดกลัวอะไรเขา?
เพียงแต่ความสงสัยของเขาได้รับการคลี่คลายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมู่เหล่ยที่หงายหลังอยู่ตรงนั้น แก้สาบเสื้อตนด้วยมืออันสั่นเทา สีหน้าดั่งนักรบสละข้อมือ[1] “ทะ…ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่าน…ท่านช่วยอ่อนโยนหน่อยนะขอรับ…”
เจ้าแผ่นดินสั่งประหาร ขุนนางก็ต้องตายสถานเดียว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ฐานะสูงส่งกว่าเจ้าแผ่นดินหลายเท่านักเลย
เมื่อเขาต้องการจะกดผู้เป็นลูกน้อง แล้วลูกน้องที่แสนจงรักภักดีจะปฏิเสธได้อย่างไร? ดังนั้นเขา…เขาต้องยอมเสียสละตนซะ!