Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 490

บทที่ 490

โอหังและอคติ 2

เด็กหนุ่มผู้นี้สมกับที่เป็นอัจฉริยะ ทำได้ทั้งเร็วทั้งดี ไม่มีผิดพลาดเลยสักนิด

หลังคาของกระท่อมศิลาเขียวมุงด้วยตับหญ้าหนา จากนั้นภายใต้การสั่งการของกู้ซีจิ่ว ก็ทำการฉาบด้วยโคลนเหลืองอีกครั้ง

เด็กหนุ่มผู้นั้นก็มีพลังวิญญาณธาตุคู่ นอกเหมือจากพลังวิญญาณธาตุไม้แล้ว พลังวิญญาณธาตุไฟของเขาก็ไม่กระจอกเช่นกัน อบชั้นโคลนเหลืองให้แห้งทันที จากนั้นก็มุงด้วยหญ้าคาหนาๆ อีกชั้น…

หลังคามุงจากคราวนี้หนาแน่นแข็งแรงกว่าก่อนหน้านี้มากนัก ไม่ต้องเกรงกลัวฝนรั้วลมพัดแล้ว

เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ดวงจันทราขึ้นมาทำหน้าที่ ดวงดาวสุกสกาวเต็มนภา

ในที่สุดกระท่อมน้อยก็เสร็จสมบูรณ์ เด็กหนุ่มผู้นั้นมีสภาพเช่นเดียวกับกู้ซีจิ่ว ร่างเปื้อนฝุ่นและโคลน แต่ดูเหมือนเขาจะรู้สึกสมหวังดั่งตั้งใจยิ่งนัก “สาวน้อย รู้สึกว่าหลังคาที่คุณชายเช่นข้ามุงให้เจ้าเป็นเช่นใดบ้าง? แข็งแรงกว่าอันที่เจ้ามุงเองมากใช่หรือไม่?”

คนทั้งสองร่วมงานกันนานชั่วระยะหนึ่ง ความเป็นปฏิปักษ์ที่เด็กหนุ่มผู้นั้นมีต่อกู้ซีจิ่วลดลงมากโดยไม่รู้ตัว

กู้ซีจิ่วตบบ่าเขาเบาๆ “ทำได้ไม่เลว!”

“แน่นอนอยู่แล้ว ก็ข้าคืออัจฉริยะนี่นา!” เด็กหนุ่มชูหางสูงเทียมฟ้า

เด็กหนุ่มผู้นี้คงจะไม่ถูกใครชมเชยเช่นนี้มานานมากแล้ว ถึงแม้เขาจะปั้นหน้าวางท่าอยู่ตลอด แต่ดวงตากลับหยีโค้งเผยความสุขในใจเขาออกมา

เขาเดินวนในกระท่อมศิลาเขียวของกู้ซีจิ่วหนึ่งรอบ ในที่สุดก็คิดถึงปัญหาที่แท้จริงข้อหนึ่งขึ้นมาได้ “เจ้าจะนอนตรงไหน?” เขาไม่เห็นว่าในนี้จะมีเตียงเลย

กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “คืนนี้ไม่นอนแล้ว พรุ่งนี้ค่อยคิดหาทางอีกที”

เด็กรับใช้ที่นำทางมายังที่นี่ได้กล่าวไว้แล้ว สำนักศึกษาชุมนุมไม่มีอุปกรณ์ใดให้มากไปกว่านี้ ดังนั้นไม่เพียงแต่กู้ซีจิ่วต้องสร้างที่พักด้วยตัวเองเท่านั้น แม้แต่เครื่องใช้ไม้สอยภายในทั้งหมดกู้ซีจิ่วก็ต้องซื้อหาด้วยตัวเอง

แต่สถานที่แห่งนี้ตัดขาดจากโลกภายนอก ตลาดที่ใกล้ที่นี่ทีสุดก็อยู่ท่างออกไปหลายร้อยลี้ อีกทั้งที่นั่นยังมีเพียงตลาดยามเช้าเท่านั้น ไม่ถึงเที่ยงก็วายเสียแล้ว ดังนั้นถ้ากู้ซีจิ่วต้องการซื้อเครื่องนอนและข้าวของอื่นๆ ก็ทำได้เพียงรอวันพรุ่งนี้

ตอนนี้ขอเพียงเธอมีที่คุ้มลมบังฝนก็พอแล้ว คืนนี้ก็นั่งสมาธิบนกองหญ้าไปก่อนก็พอแล้ว

เด็กหนุ่มผู้นั้นขมวดคิ้ว “แม้แต่เครื่องนอนก็ไม่มอบให้เจ้าหรือ? จะเกินไปแล้ว…”

จากนั้นก็รู้สึกได้ว่าประโยคนี้เสมือนมีศัตรูร่วมกันกับศิษย์ผู้ใช้เส้นสายเข้ามาก็มิปาน จึงกระแอมไอคราหนึ่งแล้วกล่าว “อย่าได้เข้าใจผิดว่าข้าอยู่ฝ่ายเดียวกับเจ้านะ คุณชายเช่นข้าแค่ไม่พอใจที่เขาปฏิบัติต่อเด็กสาวคนหนึ่งเช่นนี้

เขาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระแอมอีกครา หมุนกายวิ่งหายลับไป

กู้ซีจิ่วส่ายหน้าอย่างเหลืออด เจ้าเด็กเอาแต่ใจคนนี้!

ต้านนอกมีสายลมพัดโชยแล้ว เมื่อสายลมพัดต้องกายจะหนาวเย็นยิ่ง ในกระท่อมไม่มีเทียนไข กู้ซีจิ่วจึงหยิบไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของเพื่อใช้ส่องให้ความสว่าง

ตอนนี้ภายในกระท่อมมีเพียงม้านั่งหินที่เจ้าหอยยักษ์ตัดออกมาจากหินใหญ่ก้อนหนึ่ง กู้ซีจิ่วนั่งพักด้านบนสักครู่ รู้สึกว่าร่างกายสกปรกเลอะเหอะ จึงไปล้างเนื้อล้างตัวที่ธารนํ้าจากหุบเขาสายหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล

แน่นอนว่า ล้างเพียงแต่ใบหน้าและแขนขาเท่านั้น สถานที่แห่งนี้มีคนผ่านทางมาบ่อยๆ ไม่เหมาะจะอาบน้ำ

เห็นทีว่าเธอคงต้องใช้ก้อนหินมาสกัดเป็นอ่างอาบนํ้าแล้ววางไว้ในกระท่อม…

นึกไม่ถึงเลยว่าพอมาถึงสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แห่งนี้จะได้ย้อนกลับไปใช้ชีวิตเฉกเช่นมนุษย์ยุคหิน ตัวกู้ซีจิ่วก็รู้สึกขบขัน เพียงแต่เธอไม่ได้ลำบากลำบนจนเกินไป

ลำหรับเธอแล้ว นอกจากความตายแล้วอย่างอื่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะพบเจออุปสรรคใด สิ่งที่เธอคิดถึงเป็นอันดับแรกมิใช่การโทษฟ้าโทษดินโทษผู้อื่น แต่เป็นการหาวิธีแก้ไข

ยิ่งไปกว่านั้นคือสถานที่ที่ลำบากยากแค้นกว่านี้เธอก็เคยอยู่มาแล้ว ความลำบากของที่นี่นับเป็นเรื่องเล็ก

“เจ้านาย ข้าหิวแล้ว ข้าอยากกินเนื้อ!” เจ้าหอยยักษ์ก็ลงอาบน้ำในลำธารด้วย ยามนี้คืบคลานมาอยู่แทบเท้าเธอ มองเธอตาแป๋ว

“แง้วๆ” เจ้าลู่อู๋ก็กระโดดขึ้นมาบนไหล่เธอผงกหัวรัวๆ เห็นด้วยกับเจ้าหอยยักษ์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version