Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 489

บทที่ 489

โอหังและอคติ 1

เนื่องจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เป็นแหล่งรวมยอดอัจฉริยะจากทั่วแผ่นดิน ให้ความสำคัญกับหัวกะทิโดยเฉพาะ ดังนั้นศิษย์ในสำนักศึกษาจึงมิได้มากมายนัก

แบ่งทั้งหมดออกเป็น 5 ชั้นเรียน สี่ชั้นเรียนเมฆาม่วงและหนึ่งชั้นเรียนเมฆาคล้อย

ศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาม่วงทั้งสี่ชั้นล้วนเป็นสุดยอดหัวกะทิ เต็มไปด้วยผู้ที่มีความสามารถแข็งแกร่ง

แต่ชั้นเรียนเมฆาคล้อยกลับแตกต่างกันอยู่บ้าง เปรียบได้กับห้องบ๊วยของโรงเรียนในยุคสมัยปัจจุบัน ศิษย์ในชั้นเรียนนี้ล้วนเป็นศิษย์ห่วยที่มีปัญหาแตกต่างกันไป

ในโลกนี้ยิ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งก็จะยิ่งดูแคลนผู้ที่อ่อนแอ ดังนั้นชีวิตของศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาคล้อยในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จึงไม่ดีนัก ศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาม่วงขนานนามศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาคล้อยว่าเป็นสวะของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์

แน่นอน ถึงอย่างไรก็เป็นโรงเรียนชั้นยอดที่ดีที่สุด ต่อให้เป็นศิษย์ชั้นเรียนเมฆาคล้อยเหล่านี้ หากว่ากลับไปยังอาณาจักรตนก็ยังถือเป็นอัจฉริยะผู้โดดเด่น…

แต่เมื่ออยู่ที่นี่พวกเขาจะถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก

ศิษย์ทั้งหมดของที่นี่ตัดสินระดับสูงต่ำด้วยความสามารถ ส่วนฐาน ในอาณาจักรเดิมนั้น ต่อให้เป็นองค์ชายของอาณาจักร เมื่อถูกแบ่งไปอยู่ชั้นเรียนเมฆาคล้อยก็จะถูกคนรังแกเหมือนกัน…

ในเมื่อกู้ซีจิ่วต้องมาที่นี่ ก็ย่อมได้รับการอบรมเตรียมพร้อมล่วงหน้าจากหยกนภา จึงทราบความแตกต่างของชั้นเรียนเมฆาม่วงและชั้นเรียนเมฆาคล้อย

เธอยังนึกว่าถ้าตนมาที่นี่คงมีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วนที่จะถูกแบ่งไปอยู่ชั้นเรียนเมฆาคล้อย แต่นึกไม่ถึงว่าแม้แต่ชั้นเรียนเมฆาคล้อยเธอก็ยังไม่ได้เข้า ได้เป็นเพียงศิษย์สังเกตการณ์…

เด็กหนุ่มผู้นี้น่าเป็นศิษย์ที่รั้งอันดับท้ายๆ ในสายชั้น ยามปกติคงถูกผู้อื่นรังแกไม่น้อย ยามนี้พอจับศิษย์สังเกตการณ์เช่นเธอได้ ย่อมคิดจะมาแสดงตัวตนข่มเธอที่นี่

ถึงแม้อายุกู้ซีจิ่วจะยังไม่เต็ม 15 ปีดี แต่จิตวิญญาณของเธอกลับเติบใหญ่แล้ว ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเด็กอายุ 13-14 เลย ย่อมไม่ถือสาหาความกับเด็กหนุ่มที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะตรงหน้า

ยิ่งไปกว่านั้นคือเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ไม่ได้เลวร้ายจริงๆ ท่าทางที่เขาสานตับหญ้าอย่างตั้งอกตั้งใจในยามนี้มองแล้วน่ารักยิ่งนัก

“ท่าร่างของเจ้าประหลาดนัก เป็นวิชายุทธ์อันใดกัน? ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สอนให้เจ้าหรือ?” เด็กหนุ่มผู้นั้นเริ่มชวนคุย

กู้ซีจิ่วตอบเพียงสองคำ “ไม่ใช่”

“เช่นนั้นเจ้าร่ำเรียนกับผู้ใด?” เด็กหนุ่มไม่ย่อท้อ

“เจ้าอยากเรียนหรือ?” กู้ซีจิ่วถามกลับ

เด็กหนุ่มแสดงท่าทียโสทันที “ไม่! ข้าไม่อยากเรียนวรยุทธ์กับศิษย์ที่ใช้เส้นสายเข้ามาหรอก! คุณชายเช่นข้าเพียงแค่สนใจใคร่รู้เล็กน้อยเท่านั้น”

“เช่นนั้นข้าก็ไม่ความจำเป็นต้องตอบข้อสงสัยของเจ้า” กู้ซีจิ่วไม่สนใจเขาแล้ว

ผ่านไปอีกสักครู่ เด็กหนุ่มผู้นั้นก็ทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งว่า “ข้าว่าอันที่จริงวรยุทธ์ของเจ้าก็นับว่าไม่เลวเลย แต่คุณสมบัติของเจ้าไม่เข้าเกณฑ์อยู่ที่นี่จะลำบากมาก จะถูกคนรังแก…มิสู้เจ้ากลับไปเข้าเรียนในสำนักศึกษาที่ดีที่สุดในอาณาจักรเจ้าจะดีกว่า…”

กู้ซีจิ่วยิ้มออกมาแล้ว “พูดราวกับเจ้าไม่ถูกคนรังแกอย่างนั้นแหละ แล้วทำไมเจ้าไม่ไปล่ะ?”

เด็กหนุ่มผู้นั้นเสมือนถูกเหยียบเท้า แทบจะกระโดดผางขึ้นมา “พูดจาซี้ซั้ว! ใครจะกล้ารังแกข้าผู้เป็นคุณชายกัน? คุณชายเช่นข้าคุณสมบัติสูงส่ง กำเนิดมาก็มีพลังวิญญาณธาตุไม้ขั้นหกแล้ว ถูกเรียกขานว่าเด็กอัจฉริยะมาโดยตลอด ยามนั้นสำนักใหญ่ๆ ต่างยื้อแย่งจะรับตัวคุณชายเช่นข้า…”

“โอ้ เช่นนั้นทำไมเจ้ายังอยู่ในชั้นเรียนเมฆาคล้อยล่ะ” กู้ซีจิ่วเอ่ยเนิบๆ เชือดเฉิอนเขาหนึ่งประโยค

เด็กหนุ่มผู้นั้นอํ้าอึ้งอ้าปากค้าง ผ่านไปสักพักจึงกล่าวด้วยเสียงฮึดฮัด “เจ้าจะไปรู้อะไร คุณชายอย่างข้าแค่ไม่อยากเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนั้น…”

“โอ้ เช่นนี้นี่เอง” กู้ซีจิ่วยกยิ้ม ไม่พูดอะไรอีก

คนทั้งสองช่วยกันสานตับหญ้า การสร้างหลังคาย่อมเป็นไปอย่างรวดเร็ว กู้ซีจิ่วให้เด็กหนุ่มผู้นั้นยืนอยู่ด้านล่างคอยส่งตับหญ้าให้เธอ ส่วนเธอยู่ด้านบนทำการมุงทีละชั้นๆ

เด็กชายที่อยู่ด้านล่างเมื่อส่งไปสักพักก็จำลำดับขั้นตอนการมุงของกู้ซีจิ่วได้แล้ว รีบเอ่ยปากทันที “เจ้าลงมาได้แล้ว ข้าจะขึ้นไปมุง! นี่คืองานของบุรุษ”

กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วแวบหนึ่ง เจ้าเด็กน้อยมีแนวคิดประชาธิปไตยเสียด้วย

เธอกระโดดลงมาทันที “ได้ เจ้าเป็นบุรุษ เจ้าทำเลย”

สายตาเด็กหนุ่มผู้นั้นส่องประกายวาบ รู้ลึกว่าตนเติบใหญ่ขึ้นไม่น้อยทันที เขาเหินขึ้นไปบนกระท่อม ลงมือทำงานเป็นการใหญ่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version