บทที่ 513
ข้าเชื่อนาง 4
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สวมหน้ากากอยู่ ทำให้คนมองไม่เห็นสีหน้าเขา เขายังไม่ได้เอ่ยอะไร ผู้อาวุโสหน่วยลงทัณฑ์ที่นั่งอยู่ด้านล่างก็กล่าวตำหนิกู้ซีจิ่วแล้ว “กู้ซีจิ่ว ยังไม่ได้รับอนุญาตจากท่านเทพ ศักดิ์สิทธิ์ เงยหน้ามองท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มีโทษมหันต์ เจ้าเป็นศิษย์ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้หรือไง?”
หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นรัวนิดๆ เธอทราบกฎข้อนี้ เพียงแต่หลงลืมไปชั่วขณะ
เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย “ข้า…”
“ข้ารึ? อยู่ต่อหน้าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เจ้าแทนตัวว่า ‘ข้า’ งั้นหรือ?” ผู้อาวุโสหน่วยลงทัณฑ์ไม่ยอมลดราวาศอก
หน้าผากกู้ซีจิ่วมีเหงื่อซึม เธอไม่นึกเลยว่าคราวนี้ตนจะทำผิดพลาดซ้ำๆ!
ความผิดพลาดเหล่านี้อาจดูเล็กน้อย แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้หากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เอาเรื่องขึ้นมา เช่นนั้นเธอก็จะมีโทษถึงตาย!
เธอคงจะถูกความหิวทำให้เลอะเลือนไปแล้วจริงๆ เธอปราดเปรื่องมาโดยตลอดกลับทำผิดพลาดเรื่องพื้นฐานเช่นนี้!
ขณะที่เธอกำลังจัดระเบียบความคิดเพื่อแก้ต่างให้ตัวเอง ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงนั้นก็เปิดปากเอ่ย ถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย “ทำไมเสียงยังแหบอยู่?”
กู้ซีจิ่วเงียบสนิท
เธอตะโกนดังลั่นอยู่ในห้องขังนั้น 3 วัน เสียงจะแหบก็ไม่แปลกกระมัง?
โชคดีที่ก่อนหน้านี้กินโอสกวิเศษของเขาเข้าไป ไม่เช่นนั้นยามนี้คอก็คงบวมอยู่ เกรงว่าแม้แต่พูดก็ไม่เป็นคำ
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยื่นมือมาหาเธอ ยาลูกกลอนสีแดงเม็ดหนึ่งวางอยู่กลางฝ่ามือ “กินมันสิ”
ยาลูกกลอนเม็ดนั้นเหลือบแสงรุ้งพรายจางๆ สายตาของทุกคนล้วนพุ่งตรงมา!
เม็ดยาระดับเก้า! นี่คือเม็ดยาระดับเก้าในตำนาน!
ประเมินค่ามิได้ ยาเม็ดเดียวก็สามารถทำให้สองอาณาจักรรบรายื้อแย่งกันได้แล้ว!
แต่ยามนี้ ยาเม็ดนี้กลับถูกท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยื่นออกมาเช่นนี้!
กู้ซีจิ่วรับยาเม็ดนั้นมาภายใต้สายตาจับจ้องของฝูงชน กินมันเข้าไป
สัมผัสเย็นชุ่มชื่นหลอมละลายในลำคอ ดั่งบุปผาเหี่ยวแห้งที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยนํ้าค้างหวานชื่น ในที่สุดความรู้สึกแสบร้อนในลำคอเธอก็สลายหายไปจนหมด
“เป็นอย่างไร?” ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มองนาง
“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ” น้ำเสียงกู้ซีจิ่วใสกระจ่างขึ้นไม่น้อย ไม่ฟังยากเหมือนอมทรายไว้ในปากอีกต่อไป
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จึงผงกศีรษะเล็กน้อย “ลำคอไม่ค่อยดี พูดให้น้อยลงเถิด”
“ได้…เจ้าค่ะ” กู้ซีจิ่วตอบรับ
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มองนางอีกแวบหนึ่ง ยากนักที่จะได้เห็นนางว่าง่ายเช่นนี้…
สายตาเขาเคลื่อนกลับไปที่ผู้อาวุโสคนนั้น “ศิษย์ข้องเปิ่นจุนต้องให้เจ้าสั่งสอนด้วยหรือ?”
ผู้อาวุโสหน่วยลงทัณฑ์พูดไม่ออก ครานี้เปลี่ยนเป็นเขาที่หลั่งเหงื่อเย็นเฉียบบ้างแล้ว
ทูตเฉิงเอ้อ (ทูตผู้ลงทัณฑ์) ที่อยู่ข้างกายท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เอ่ยอย่างเยียบเย็น “ศิษย์ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทำผิด ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ย่อมสั่งสอนด้วยตัวเอง เหอเหลาคนนอกเช่นเจ้าสอดปากได้ด้วยหรือ? ติติงศิษย์ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เจ้ามีหัวกี่หัวกัน?”
ด้วยเหตุนี้หยาดเหงื่อบนใบหน้าของผู้อาวุโสหน่วยลงทัณฑ์จึงเพิ่มมากขึ้น ทำได้เพียงคุกเข่าโขกศีรษะ “ผู้น้อยทราบความผิดแล้ว ขอท่านเทพศักดิ์สิทธิ์โปรดลงทัณฑ์’’
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กลับไม่มองเขาแล้ว ยังคงกล่าวด้วยนํ้าเสียงเย็นชาเช่นเดิม “เรื่องลงโทษว่าค่อยว่ากันทีหลัง สะสางเรื่องราวก่อน”
พลางสั่งการทูตส่างซั่นที่อยู่ข้างกาย “เจ้าไปตรวจสอบศพ”
จากนั้นก็สั่งการทูตเฉิงเอ้อ “เจ้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ”
ทั้งสองรับบัญชาแล้วจากไป
ไม่รู้ว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หยิบกระดานหมากรุกออกมาจากที่ใด เล่นหมากรุกแก้เบื่อคนเดียว
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
ฝูงชนก็พูดไม่ออกเช่นกัน
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ช่างจัดการคดีได้เรียบง่ายโดยแท้!
ภายในห้องโถงเงียบลงชั่วคราว ได้ยินเสียงกรอกแกรกของตัวหมากที่วางลงบนกระดานบ้างเป็นครั้งคราว
กู้ซีจิ่วกลับไม่มีทีท่าอะไร เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซืออย่างผ่อนคลายยิ่งนัก
แต่คนเหล่านั้นกลับลำบากยิ่ง พวกเขายังคงคุกเข่าอยู่เช่นเดิม
พี้นของห้องโถงแห่งนี้มีเอกลักษณ์ยิ่งนัก เนื่องจากโดยปกติแล้ว ศิษย์ที่กระทำความผิดจะถูกสอบสวนที่นี่ เพื่อแสดงอำนาจกดดันลูกศิษย์เหล่านี้ พื้นจึงถูกปูด้วยหินชนิดหนึ่งซึ่งขรุขระอย่างยิ่ง เมื่อเหยียบย่ำลงไปจะให้ความรู้สึกน่าตระหนก