บทที่ 512
ข้าเชื่อนาง 3
ดังนั้นพอเขานำหลักฐานแสดงทีละอย่างๆ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็แทบจะคิดว่ากู้ซีจิ่วคือฆาตกรไปแล้ว
ต่อให้นางไม่ใช่ฆาตกร เจ้าหอยยักษ์สัตว์เลี้ยงของนางก็ต้องเป็นฆาตกร…
หลังจากกู่ฉานโม่แสดงหลักฐานทั้งหมดแล้ว ก็กล่าวสรุปในตอนท้าย “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ มิใช่ว่าฉานโม่มีเจตนาจะสร้างความลำบากให้แก่แม่นางกู้ แต่หลักฐานชี้ชัดมัดตัวจริงๆ ศิษย์ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ล้วนเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งในแผ่นดินนี้ บัดนี้กลับถูกสังหารไปเช่นนี้ ฉานโม่เป็นอาจารย์ใหญ่ ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ย่อมต้องการไต่สวนเรื่องนี้ให้กระจ่าง มอบคำอธิบายให้แก่ผู้ตาย มอบคำอธิบายให้แก่ครอบครัวของพวกเขา ดังนั้นถึงได้นำแม่นางกู้ซีจิ่วไปคุมขังไว้ก่อนเพื่อรอการไต่สวน…”
เขาเตรียมการไว้ก่อนแล้ว จากนั้นก็ให้ผู้ชันสูตรของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ออกมา รายงานผลชันสูตรศพ รวมถึงเนื้อเยื่อผิวหนังของศิษย์สองคนนั้นที่เก็บได้จากเปลือกของเจ้าหอยยักษ์พิสูจน์ให้ เห็นว่าศิษย์สองคนนั้นถูกฝาหอยหนีบตาย
โลกนี้มิได้คล้ายยุคโบราณอย่างสิ้นเชิง เทคโนโลยีบางอย่างก็พัฒนาขึ้นมาก ยกตัวอย่างเช่นเก็บผิวหนังและเส้นขนเป็นต้น บนเปลือกของเจ้าหอยยักษ์ตัวนั้นมีแม้กระทั่งคราบโลหิตของศิษย์จากร่างศิษย์สองคนนั้น…
แน่นอน กู่ฉานโม่ยังนำข้าวของที่ตรวจพบบนร่างกู้ซีจิ่วออกมาด้วย หนึ่งในนั้นก็คือยันต์ถ่ายหอดบันทึกเสียงแผ่นนั้น
รวมถึงข้าวของกระจุกกระจิกบางส่วนที่ไม่ชัดเจนโปร่งใส ยกตัวอย่างเช่นอุปกรณ์แปลงโฉม ตัวยาและยาพิษ…
กู้ซีจิ่วถูกพวกเขาตัดสินไปแล้วว่าเป็นคนร้าย ดังนั้นต่อให้ข้าวของทั้งหมดที่เธอพกติดตัวจะไม่เกี่ยวข้องกับคดีก็ยังถูกยึดไปอยูดี
บนร่างกู้ซีจิ่วเหลือเพียงกำไลข้อมือสีดำขลับวงนั้น หากมิใช่ว่ากำไลวงนั้นไม่ว่าจะถอดอย่างไรก็ถอดไม่ออก เกรงว่าคงถูกยึดไปจากเธอด้วยเช่นกัน
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ฟังอยู่เงียบๆ เมื่อฟังกู่ฉานโม่กล่าวทั้งหมดจบ เขาก็เหลือบมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง “หลักฐานเหล่านี้ไม่เป็นผลดีต่อเจ้าเลยจริงๆ เจ้าจะว่าอย่างไร?”
ด้วยเหตุนี้ กู้ซีจิ่วจึงเล่าเรื่องราวในคืนนั้นออกมา
พอเล่าจบเธอก็เป็นกังวล หลักฐานเธออ่อนเกินไปแล้ว!
แต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ที่เที่ยงตรงยุติธรรมอย่างแท้จริง เขาจะเชื่อเธอไหม?
ถึงอย่างไรเมื่อก่อนเธอก็เคยพบเขาเพียงในฝันเท่านั้น แถมยังเป็นหลังจากโป้ปดว่าเป็นศิษย์ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วย…
สำหรับเธอแล้วท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นดั่งเทพในตำนานเล่าขาน เทพผู้ไม่อาจคาดเดาได้
เธอหวนนึกถึงทุกสิ่งที่ตนเคยกกระทำ น่าจะไม่เหลือความประทับใจดีๆ ไว้ให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เลย อย่างน้อยที่สุดเขาคงคิดว่าเธอชอบโกหก…
ถึงแม้ในตอนแรกภายใต้การโตัวาทีกับตี้ฝูอีเธอจะโกหกคำโต แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่รู้จักมิใช่หรือ?
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คงจะคิดว่าไหนๆ ไม้ก็กลายเป็นเรือแล้ว ถึงอย่างไรยามนั้นก็ทราบกันไปทั่วทวีปแล้ว ดังนั้นเขาจึงยอมรับไปโดยปริยาย อีกทั้งรู้สึกว่าศิษย์เช่นเธอจะอ่อนด้อยเกินไม่ได้ ดังนั้นจึงมอบตำราเล่มหนึ่งให้เธอในความฝัน…
สิ่งที่เชื่อมโยงเธอกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มีเพียงความฝันนั้นเท่านั้น
หนนี้เป็นการพบกันครั้งที่สอง ทว่าเธอกลายเป็นผู้ต้องสงสัย…
ตอนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์นำตัวเธอออกมาจากห้องขังนั้นเธอรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณยิ่งนัก แต่พอเธอลองคิดไปคิดมาคิดถึงเจตนาที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กระทำเช่นนี้ก็คิดออกเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือตัวเธอขึ้นชื่อว่าเป็นศิษย์ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ หากถูกผู้อื่นข่มเหงรังแกถึงเพียงนี้ ใบหน้าของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คงไม่หลงเหลือแล้ว เขาย่อมต้องมาจัดการ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงอุ้มเธอออกมา…
ยามนั้นเธออยู่ในสภาพสะสึมสะลือ ย่อมเดินด้วยตนเองไม่ได้
แถมยามนั้นผู้ที่มาล้วนเป็นบุรุษทั้งสิ้น ศิษย์หญิงของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เขาโยนให้ชายอื่นอุ้มไปคงไม่ดีกระมัง?
อีกอย่างท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็อายุปูนนี้แล้ว ต่อให้อุ้มศิษย์หญิงวัยแรกรุ่นเช่นตนไว้ก็เหมือนกับปู่อุ้มหลานสาว น่าจะไม่มีใครรู้สึกว่าไม่เหมาะไม่ควร
ดังนั้นในยามนี้กู้ซีจิ่วจึงมอบตำแหน่งที่แน่ชัดที่สุดให้ตน นั่นก็คือลูกศิษย์ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังเป็นศิษย์ที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์รับไว้ด้วยความจำใจ
หลังจากเล่าเรื่องราวในคืนนั้นจบก็เงยหน้ากลั้นใจมองท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ รอการตัดสินของเขา
………………
[1] เก้าอี้ไท่ซือ เป็นเก้าอี้โบราณ มีพนักพิง