บทที่ 511
ข้าเชื่อนาง 2
หน้ากากนั้นมิดชิดเกินไป เธอมองเห็นเพียงนัยน์ตาสีฟ้าเข้มของเขา มองไม่เห็นกระทั่งรูปทรงของดวงตา รู้สึกรางๆ เพียงว่านัยน์ตาคู่นี้ทำให้หัวใจเธอสั่นไหว…
คนที่อยู่ด้านล่างคำนับเสร็จสิ้นแล้ว รอคอยให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า ‘ลุกขึ้น’ อยู่ แต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่แยแสพวกเขาเลย
สายตาของเขาวนเวียนอยู่บนร่างกู้ซีจิ่ว กล่าวเรียบๆ ประโยคหนึ่ง “ลุกได้แล้วกระมัง?”
กู้ซีจิ่วถึงระลึกได้ว่าตนยังนั่งอยู่ในอ้อมแขนผู้อื่นอยู่!
กู้ซีจิ่วมิใช่คนที่ชอบทำตัวเป็นวิหคน้อยอิงแอบผู้อื่น เธอเป็นเอกเทศยิ่งนัก ทั้งยังตื่นตัวมากด้วย
โดยปกติแล้วเมื่ออยู่กับผู้อื่นจะติดนิสัยรักษาระยะห่างจากผู้คน โดยเฉพาะกับบุรุษ นอกเหนือจากต้องปฏิบัติภารกิจแล้ว เธอเข้าใกล้บุรุษน้อยยิ่งนัก ต่อให้เป็นสหายกันอย่างมากเธอก็แค่ตบไหล่ผู้อื่นเบาๆ เพื่อให้กำลังใจเท่านั้น แทบไม่เคยโอบไหล่ช้อนหลังเลย นับประสาอะไรกับการนั่งในอ้อมแขนบุรุษ!
หากเป็นเมื่อก่อน ต่อให้มีคนมากอดเธอ ขอเพียงเธอยังตื่นตัวอยู่ จะรีบกระโจนออกจากอ้อมกอดของผู้อื่นทันที
แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไรไป นั่งอยู่ในอ้อมแขนผู้อื่นตั้งนานสองนานซ้ำยังไม่รู้สึกตัวด้วย!
ปล่อยตัวราวกับนั่งอยู่ในอ้อมแขนของผู้ที่สนิทสนมคุ้นเคยที่สุด…
หรือจะเป็นเพราะตนถูกจับขังและหิวโซมาหลายวัน สมองเลยขาดอ็อกซิเจนจนกลวงไปแล้ว?
หรือว่าตนจะเป็นศิษย์ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ถ้าเป็นศิษย์ ก็คือลูกศิษย์ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็คืออาจารย์ อาจารย์เปรียบเสมือนบิดา…
ยามนี้พอตกที่นั่งลำบากได้เห็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวขึ้นมา ช่วยเหลือเธอจากเภทภัย ตนจึงยึดถือเขาเป็นดั่งบุพการีที่สนิทชิดเชื้อที่สุด…
บางทีส่วนลึกในจิตใจของตน ความจริงแล้วคงปรารถนาจะได้รับความรักจากบิดาบ้างกระมัง?
เป็นเพราะเธอถูกล่ามและปล่อยให้หิวนานเกินไป ยามเธอลุกขึ้นร่างกายจึงอ่อนแรงเล็กน้อย แต่เธอก็รีบยืนให้มั่นคงทันที
ขณะที่ไม่รู้ว่าควรจะคำนับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วกล่าวอย่างอื่นด้วยหรือไม่ ทูตส่างซั่น (ทูตบุญ) ที่อยู่ด้านข้างมีสายตายอดเยี่ยมนักเลื่อนเก้าอี้ไท่ซือ[1]ที่บุด้วยผ้าดิ้นตัวหนึ่งมาให้เธอ ตั้งไว้ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อย ให้เธอนั่งลงไป
กู้ซีจิ่วมองท่านเทพศักดิ์สิทธิ์แวบหนึ่ง ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์นั่งอยู่ตรงนั้นราวกับรูปสลักหยก บนร่างแฝงความเย็นชาเอาไว้ พยักหน้าให้เธอนิดๆ ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซืออย่างไม่เกรงใจ
ไม่รู้ว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เอายาวิเศษอันใดป้อนให้ในระหว่างที่เธอสะลึมสะลืออยู่ อาการย่ำแย่ของร่างกายเธอจึงค่อยๆ บรรเทาลง เรี่ยวแรงก็ค่อยๆ กลับคืนมาช้าๆ
จนยามนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถึงได้มองคนที่คุกเข่าอยู่ด่านล่างเหล่านั้น เขาไม่ได้สั่งให้พวกนั้นลุกขึ้น แต่เหลือบมองกู่ฉานโม่ อย่างเฉยชาแวบหนึ่ง “คดีนี้เปิ่นจุนจะไต่สวนด้วยตัวเอง วางใจเถอะเปิ่นจุนจะไม่ช่วยเหลือผู้ใด จะจัดการอย่างเป็นธรรม พวกเจ้าสามารถสอบสวนต่อหน้าเปิ่นจุนได้”
ฝูงชนที่คุกเข่าหมอบอยู่ด้านล่างมีทั้งอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ผู้อาวุโสหน่วยลงทัณฑ์ เจ้าหน้าที่บุคลากรน้อยใหญ่ รวมถึงเหล่าอาจารย์…
ทุกคนมองดูกู้ซีจิ่วที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสูง แล้วมองดูพวกตนเอง หน้าหมองระทม
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ มีที่ไหนกันให้คนในคณะไต่สวนคุกเข่าอยู่ตรงนี้ แต่ผู้ต้องสงสัยกลับนั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าตรงนั้น?
แต่อยู่ต่อหน้าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์พวกเขาไม่กล้าหยิบยกเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นฝ่ายคุมขังคนของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก่อน…
ทว่ากู่ฉานโม่กลับยึดกายขึ้นทันที เขารู้สึกว่าเขาจัดการได้เหมาะสมแล้ว! ถึงแม้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะไม่ค่อยดูแลจัดการมากนัก แต่ถ้าเกิดเรื่องใหญ่โตอะไรขึ้นจริงๆ เขาจะเป็นธรรมอย่างยิ่ง ไม่ลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
และเป็นเพราะบรรทัดฐานข้อนี้ กู่ฉานโม่ถึงกล้าคุมขังกู้ซีจิ่ว (โอรสสวรรค์ทำผิดโทษเท่าสามัญชน ยิ่งไม่ต้องพูดกู้ซีจิ่วที่มิใช่โอรสสวรรค์ แต่เป็นศิษย์ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์)
เขากระแอมคราหนึ่ง จัดระเบียบถ้อยคำเล็กน้อย เริ่มแจกแจงอย่างเป็นทางการทันที
ความสามารถเชิงตรรกะคิดวิเคราะห์ของเขายังคงยอดเยี่ยมนัก อีกทั้งในมือเขายังมีหลักฐานเพียงพอด้วย