Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 571

บทที่ 571 นางคือพญาหงส์ 3

สองปีมานี้อาจารย์ใหญ่กู่มองเขาไม่มี ตัวตนบ้างล่ะ ติเตียนบ้างล่ะ เห็นเขาถูกศิษย์คนอื่นรังแกก็แค่ทำเป็นมองไม่เห็น…

ศิษย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ไม่มีผู้ใดไม่เกรงกลัวอาจารย์ใหญ่กู่ผู้นี้เมื่อเห็นเขาล้วนเป็นดั่งหนูเห็นแมว มีเพียงกู้ซีจิ่วคน

เดียวที่แตกต่าง ทำให้อาจารย์ใหญ่กู่ผู้นี้เจอตอได้

เนื่องจากเชียนหลิงอวี่เข้าไปในคฤหาสน์ไม่ได้ ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงนัดหมายช่วงเวลาที่จะพบกับเขาทุกวัน จากนั้นก็ไปกินมื้อเช้าที่โรง

อาหารด้วย

โรงอาหารของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ช่างใหญ่โตโดยแท้ แบ่งเป็นสองชั้น บน ล่าง

ชั้นหนึ่งเป็นสถานที่ทานอาหารของศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาม่วง ส่วนชั้นสองเป็นสถานที่ทานอาหารของศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาคล้อย

อาหารของชั้นหนึ่งหลากหลายละลานตา ทะเล บก อากาศ ล้วนมีพร้อม มีแต่สิ่งเจ้านึกไม่ถึง แต่ไม่มีสิ่งที่เจ้ากินไม่ได้ ถึงขั้นที่ว่ามีอาหารบางชนิดทำมาจากเนื้อสัตว์วิญญาณและโอสถวิญญาณ กินแล้วมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนบ่มเพาะมาก

ชั้นสองกลับ มีเพียงช่องขายอาหารเล็กๆ สองสามบาน อาหารด้านในธรรมดายิ่งนัก แถมยังมีน้อยชนิดยิ่งอีกด้วย

เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารของชั้นหนึ่งแล้ว ประหนึ่งฟ้ากับเหว

แน่นอน ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยก็สามารถกินอาหารของชั้นหนึ่งได้ แต่ต้องใช้หินวิญญาณซื้อ ส่วนหินวิญญาณจะได้มา

จากการทำภารกิจต่างๆ ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์…

หินวิญญาณได้มายากยิ่งนัก บ่อยครั้งที่ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยต้องปฏิบัติภารกิจเป็นสิบๆ วันดั่งผึ้งงานตัวน้อย หิน

วิญญาณทั้งหมดที่ได้รับมาเพียงพอจะซื้ออาหารในโรงอาหารชั้นหนึ่งได้สองจานเท่านั้น

ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงไม่ว่าจะกินสิ่งใดล้วนไม่ต้องซื้อ สามารถใช้สอยได้โดยตรงทันที

แน่นอนว่ามีข้อจำกัดเช่นกัน เพื่อเลี่ยงไม่ให้ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงที่เปี่ยมด้วยใจอารี แอบนำไปให้ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อย

ส่วนศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยทุกสิ่งล้วนต้องใช้กำลังตนแลกมา ข้าวของอะไรล้วนต้องซื้อหาทั้งสิ้น

อาหารดีจำเป็นต้องซื้อ โอสถวิญญาณก็จำเป็นต้องซื้อ ปัจจัยสี่ ล้วนต้องจัดการด้วยตัวเอง ดังนั้นสภาพความเป็นอยู่ทั่วไปของ

ศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาคล้อยจึงทุกข์ยากยิ่งนัก…

ที่ลำบากยิ่งกว่านั้นคือศิษย์ของที่นี่นอกเหนือจากปฏิบัติภารกิจพิเศษบางอย่างแล้ว ยามปกติไม่อนุญาตให้ออกนอกสำนักศึกษา ดังนั้นต่อให้อาหารไม่ได้เรื่องเพียงใดก็ทำได้เพียงมากินที่นี่ แถมทุกครั้งยังต้องเดินผ่านชั้นหนึ่ง ขึ้นไปกินอาหารที่ชั้นสอง

ภายใต้สายตาจับจ้องด้วยความสนใจของศิษย์ชั้นเรียนเมฆาม่วง…

สำหรับศิษย์ชั้นเรียนเมฆาคล้อยแล้ว ทุกครั้งที่มากินอาหารล้วนเป็นความทรมานยิ่งนักชนิดหนึ่ง ถูกศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงชี้ไม้ชี้มือใส่ ประหนึ่งขบวนพาเหรดมา…

ดังนั้นเมื่อกู้ซีจิ่วมากินอาหารครั้งนี้ก็ได้รับ สายตาจับจ้องด้วยความสนใจแบบนี้เช่นกัน

สายตาที่เธอได้รับถึงขั้นหนักหนากว่าที่ศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาคล้อยได้รับเสียอีก

ช่วยไม่ได้ เธอโด่งดังเกินไปนี่นา!

ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่เธอปรากฏตัวในที่สาธารณะเช่นนี้ย่อมมีสายตานับไม่ถ้วนตกลงบนร่างเธอ

วินาทีที่กู้ซีจิ่วก้าวตามเชียนหลิงอวี่เข้ามาในโรงอาหารหลังนี้ก็ได้รับการเจิมจากสายตาต่างๆ นานา และเป็นธรรมดาที่จะได้ยิน

เสียงกระซิบกระซาบของศิษย์เหล่านั้นรวมถึงเสียงหัวเราะคิกคักด้วย

วาจาเหล่านั้นย่อมไม่ใช่ถ้อยคำดีอันใด เสียงหัวเราะก็เป็นการหัวเราะเยาะเย้ย…

อย่างเช่น ‘ที่แท้นางก็คือกู้ซีจิ่ว ต่อให้เป็นศิษย์ของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เมื่ออยู่ที่นี่ก็ต้องทำตามกฏเกณฑ์ของที่นี่’

หรืออย่างเช่น ‘นางกับเชียนหลิงอวี่รวมตัวกันได้อย่างไร? นี่ช่างเป็นปลามองหาปลา กุ้งมองหากุ้ง คางคกมองหาคางคกโดยแท้’

ถ้อยคำประเภทนี้ล่องลอยมาบ้างเป็นครั้งคราว แว่วเข้าหูเธอ เคราะห์ดีที่กู้ซีจิ่วเคยชินกับสายตาประเภทนี้เสียแล้ว ใบหน้าพริ้ม

เพราะของเธอเรียบเฉยยิ่งนักอยู่ตลอด สงบนิ่งประหนึ่งเดินชมทุ่งอยู่

ในที่สุดเชียนหลิงอวี่ก็ทนไม่ไหว กวาดสายตามองลงไป เอ่ยอย่างเย็นชา “กู้ซีจิ่วยังมิได้เข้ารับการทดสอบจริงๆ เสียหน่อย ไม่แน่นางอาจเข้าชั้นเรียนเมฆาม่วงได้! คางคกมองหาคางคกอันใดกัน ฝีมือของนางล้ำเลิศ! นางคือพญาหงส์ เป็นพญาหงส์ที่มีความสามารถ…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version