Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 672

บทที่ 672 คุณถูกคุณยายฉยงเหยาสิงร่างเหรอ?

เป็นคู่รักที่จูงมือกันท่องไปทั่วหล้าก็เป็นเรื่องราวอย่างหนึ่งที่ทำให้ใจคนหวั่นไหวได้…

ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงรู้สึกว่าควรจะให้โอกาสหลงซือเย่สักครั้ง และให้โอกาสตัวเองสักครั้ง ชดเชยความเสียใจในชาติก่อน

แน่นอน ความจริงเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลงซือเย่พูดออกมาเอง กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าพิสูจน์ให้กระจ่างแจ้งสมบูรณ์แล้ว ค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย

เมื่อนึกถึงยามที่เป็นคู่รักหวานชื่น ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดเงาร่างตี้ฝูอีถึงแวบเข้ามาในสมองเธอ ในใจคล้ายจะวูบโหวงเล็กน้อย แต่ก็กลับสู่สภาพปกติทันที

เธอยิ้มออกมาแวบหนึ่ง คนผู้นั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอแล้ว

อย่างมาก…อย่างมากเขาก็แค่เคยพัวพันกับเธอ จนเกือบได้หมั้นหมายกันเท่านั้น

ดังนั้นที่จู่ๆ เธอนึกถึงเขาขึ้นมาในยามนี้ น่าจะเป็นมีสาเหตุเพราะเขาเคยพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าเธอเป็นคู่หมั้นของเขา ก่อให้เกิดเงามืดในใจเธอ

….

ดอกไม้ไฟเหนือศีรษะถูกจุดตามลำดับ ฝูงชนที่อยู่รอบข้างล้วนโห่ร้องชื่นชม

ถึงแม้ชาติก่อนทั้งสองคนจะมีโอกาสชมดอกไม้ไฟด้วยกันเช่นนี้บ้างแต่ก็น้อยครั้งมาก ยามนี้เมื่อมีโอกาสแบบนี้แล้ว หลงซือเย่ย่อมทะนุถนอมอย่างยิ่ง เขาไม่บีบคั้นเธออีก และไม่ได้ดึงดันจะจับมือเธอ เขาค่อยเป็นค่อยไป

หลังชมดอกไม้ไฟเสร็จก็ไปชมการกายกรรมต่อ

ทั้งสองคนอยู่ท่ามกลางฝูงชนขวักไขว่ ถึงแม้ไม่ได้จับมือกัน แต่สุดท้ายแล้ว หลงซือเย่ก็ตามติดเธอไม่ห่าง ขอเพียงเธอหันหน้าไปก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาเสมอ ภายใต้แสงดาวใบหน้า เขาราวกับหยกชั้นเลิศ งดงามยิ่งนัก โดยเฉพาะยามที่มุมปากฉาบด้วยรอยยิ้มเสมือนมีบุปผามากมายทยอยเบ่งบานอยู่กลางอากาศ คนผู้นี้เติบโตมางดงามโดยแท้ สามารถใช้คำว่าสั่นสะเทือนวิญญาณมาบรรยายได้ เมื่อก่อนยามอยู่ต่อหน้าผู้คนเขาจะสวมหน้ากากไว้ ทว่าหนนี้เขาเผยใบหน้าที่แท้จริงตลอด ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน ไม่ว่าเดินไปทางไหนล้วนกลายเป็นเป้าสายตาของฝูงชน

กู้ซีจิ่วแต่งกายเป็นบุรุษ ซํ้ายังแปลงโฉมด้วย เดิมทีรูปลักษณ์บัณทิตหนุ่มที่เธอแปลงโฉมมาก็หล่อเหลามากแล้ว แต่พอมายืนรวมกับหลงซือเย่ เธอก็กลายเป็นตัวประกอบไปโดยปริยาย

บุรุษสองคนมาชมดอกไม้ไฟด้วยกัน ในวันเทศกาลเช่นนี้ แถมบุรุษที่หล่อเหลาคมคายผูนั้้นยังดูแลเอาใจใส่บุรุษร่างเล็กผู้นั้้นเป็นพิเศษด้วย แบบนี้มองยังไงก็เหมือนคู่ต้วนซิ่วคู่หนึ่ง…

ดังนั้นสายตาที่คนรอบข้างมองพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองจึงค่อนข้างลุ่มลึกอยู่บ้าง ตอนแรกกู้ซีจิ่วก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร เธอแค่รู้สึกว่ามีคนเหลียวมองมาทางตนมากผิดปกติ ด้วยเหตุนี้เธอเลยเอ่ยถามหลงซือเย่ที่อยู่ข้างกาย “ทำไมคราวนี้คุณไม่ใส่หน้ากาก?”

หลงซือเย่ยิ้มน้อยๆ “ต่อไปนี้ฉันจะไม่ใส่หน้ากากทุกครั้งที่อยู่กับเธอ ให้เธอได้มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของฉัน”

กู้ซีจิ่วตกตะลึง”…ครูฝึกหลง นี่คุณถูกคุณยายฉยงเหยา[1]สิงร่างเหรอ?”

หลงซือเย่ยิ้มอีกครั้ง เขาไม่พูดอะไร เพียงยกมือลูบหัวเธอ

ท่าทางเช่นนี้ชิดเชื้อเกินไปแล้ว!

กู้ซีจิ่วก้าวขึ้นไปด้านหน้าหลบจากมือของเขา “อย่าขยับมือไม่วุ่นวาย!”

“พวกเขาเป็นคู่ต้วนซิ่วสินะ?” จู่ๆ ก็มีเสียงซุบซิบแว่วมาจากด้านข้างที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เป็นเสียงของหลานไว่หู…

กู้ซีจิ่วหันหน้าไปตามสัญชาตญาณ มองเห็นหลานไว่หูกับเยี่ยนเฉินกำลังยืนอยู่ไม่ไกล

หลานไว่หูถือถังหูลู่ไม้หนึ่งไว้ กำลังเอียงคอมองมาทางตน นางรู้สึกว่าเสียงตนเบามาก ทว่าเยี่ยนเฉินที่อยู่ข้างๆ กลับปรารถนาจะอุดปากนางไว้ยิ่งนัก เขาทราบว่าคนที่อยู่ด้านนี้ได้ยินเข้าแล้ว เขาเองก็ดูไม่ออกว่าเป็นกู้ซีจิ่วกับหลงซือเย่ ถึงอย่างไรหลงซือเย่ก็สวมหน้ากากยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นมาเนิ่นนานปี…

เยี่ยนเฉินผงกศีรษะขอโทษขอโพยไปทางกู้ซีจิ่ว รีบลากหลานไว่หูจากไป ระหว่างทางเขายังอบรมนางด้วย “วรยุทธ์ของสองคนนั้นล้วนสูงส่ง เจ้า เสียงดังโวยวายเช่นนี้ผู้อื่นจะได้ยินเอาได้ อีกอย่างการนินทาว่าร้ายผู้อื่นก็ไม่ดี…ต่อไปไม่อนุญาตให้ทำเช่นนี้อีก”

——————————————————————

[1] ฉยงเหยา เป็นนักเขียนหญิงชื่อดังของจีน มีการใช้สำนวนภาษาโดดเด่นซาบซึ้ง องคหญิงกำมะลอที่คนไทยคุ้นเคยกันดีก็เป็นบทประพันธ์ของเธอ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version