บทที่ 686 นางสุภาพและห่างเหินยิ่งนัก
เมื่อตี้ฝูอีเรียกชื่อเธอ เธอเลยไม่ได้ยินในทันที แม้แต่ปฏิกิริยาตอบสนองเล็กน้อยก็ไม่มี
ทั้งสนามเงียบอยู่ครู่หนึ่ง สายตานับไม่ถ้วนตกลงบนร่างกู้ซีจิ่ว ทุกคนต่างคิดว่าเธออยู่ในความโศกเศร้า จึงปั้นปึ่งไม่สนใจ
มีเพียงตี้ฝูอีที่ทราบว่าสาวน้อยผู้นี้ใจลอยไปแล้ว หลังจากเขาเข้ามา มารยาทที่ควรมีนางไม่บกพร่องเลย แต่ก็ไม่ไม่มองเขาตรงๆ ความคิดนางไม่ได้อยู่ที่ตัวเขาเลยสักนิด!
“กู้ซีจิ่ว!” เขาเรียกอีกครั้ง คราวนี้เสียงค่อนข้างดัง
หลานไว่หูทนไม่ไหวจึงกระกระตุกมุมชุดกู้ซีจิ่วเล็กน้อย ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้สติ เธอเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ มองไปที่ตี้ฝูอี “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีการใดจะสั่งหรือเจ้าคะ?”
ปลายนิ้วเขาเคาะโต๊ะเบาๆ “เมื่อกี้ข้าพูดว่าอะไร?”
หือ? สถานการณ์นี้ช่างคล้ายว่าถูกอาจารย์จับได้ว่าแอบคุยในชั้นเรียนยิ่งนัก เลยถูกอาจารย์จงใจเรียกให้ออกมาตอบคำถาม
กู้ซีจิ่วจนปัญญา รีบหันไปพึ่งจิ้งจอกน้อย มือกระตุกมุมชุดของจิ้งจอกน้อย
จิ้งจอกน้อยย่อมอยากช่วยเหลือ แต่ทันใดนั้นก็พบว่าตนส่งกระเสียงหากู้ซีจิ่วไม่ได้…
กู้ซีจิ่วรอโพยจากสหายตัวน้อยไม่ไหว ทำได้เพียงด้นสดเอาเอง ตอบอย่างกว้างๆ “เมื่อครู่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกล่าวให้กำลังใจพวกเรา เพียงแต่ระยะนี้ความทรงจำซีจิ่วไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยอมรับว่าลืมไปแล้ว แต่รู้สึกซาบซึ้งในถ้อยคำปลุกขวัญของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ่ง”
ตี้ฝูอีพูดไม่ออก เขาไม่อาจบอกได้จริงๆ ว่ากู้ซีจิ่วกล่าวผิด
เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าท่าทางของนางสุภาพและมีมารยาท แต่เขากลับรู้สึกอึดอัดใจ
เขามองนางอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เปิดปากเอ่ย “กู้ซีจิ่ว เจ้าเป็นศิษย์เทพศักดิ์สิทธิ์ การประลองครั้งนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของเทพศักดิ์สิทธิ์ อย่าทำให้เขาขายหน้า”
“เจ้าค่ะ! ซีจิ่วจะทำให้ดีที่สุด” กู้ซีจิ่วค้อมกาย
นางสุภาพและห่างเหินยิ่งนัก ปฏิบัติต่อเขาอย่างเคารพ สายตาที่มองเขาไม่มีอันใดแตกต่างกับสายตาที่ฝูงชนรอบข้างมองเขาเลย…
มือของตี้ฝูอีที่อยู่ภายในแขนเสื้อค่อยๆ กำแน่น
“เจ้าสำนักหลงมาเยือน!”
ดังนั้นแว่วเสียงรายงานอีกครั้ง ดวงตาฝูงชนเปล่งประกายทันที บุคคลสำคัญมาอีกท่านแล้ว!
พากันเงยหน้าขึ้นมอง ครั้งนี้หลงซือเย่นั่งกระเรียนมงกุฎแดงมา ยามที่เขาซึ่งอยู่ในอาภรณ์ขาวร่อนลงสู่พื้น ทุกคนพากันต้อนรับขับสู้
เขามีศักดิ์เสมอทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ย่อมได้รับความเคารพไม่ต่างจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย กู่ฉานโม่ทักทายเขาอยู่หลายประโยค ให้เขาขึ้นมาบนเวที แล้วเชิญเขานั่งด้านขวาของตน
ตอนแรกหลงซือเย่ค่อนข้างแปลกใจที่พบตี้ฝูอี แต่ก็ยังเอ่ยทักทายเขา
ตี้ฝูอียิ้มบางๆ “วันนี้เจ้าสำนักหลงว่างนักหรือ?”
นํ้าเสียงหลงซือเย่ก็ราบเรียบเช่นกัน “เช่นเดียวกัน วันนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็ว่างมากเหมือนกันนี่ นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญพบกันที่นี่ ยินดีที่ได้พบๆ”
พลางประสานมือให้เขา จากนั้นยกเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งลง
เมื่อเจ้าสำนักหลงมาถึงก็ต้องกล่าวอะไรกับทั้งสองกลุ่มสักหน่อยตามธรรมเนียม
ถึงอย่างไรหลงซือเย่ก็เป็นเจ้าสำนักแห่งหนึ่ง วาจาที่เอื้อนเอ่ยย่อมเป็นธรรมชาติ และมีคุณค่า แถมเขายังกล่าวเป็นรายบุคคลด้วย
ถ้อยคำที่กล่าวกับกลุ่มของอวิ๋นชิงหลัวเป็นถ้อยคำที่เป็นทางการตามบรรทัดฐาน ส่วนถ้อยคำที่กล่าวกับกลุ่มของกู้ซีจิ่วแฝงความสนิทสนมเป็นกัน เองไว้ นํ้าเสียงคล้ายกำชับตักเตือนสหายเก่า
แต่เห็นได้ชัดว่ากู้ซีจิ่วมีสมาธิจดจ่อมาก ถึงแม้อารมณ์บนใบหน้าน้อยๆ จะไม่แตกต่างจากเมื่อครู่มากนัก แต่สายตากลับอยู่ที่ร่างของหลงซือเย่ตลอด มุมปากแต้มยิ้มน้อยๆ อย่างรู้กันอยู่ตลอด
ตี้ฝูอีรู้สึกว่าหลังจากหลงซือเย่มานัยน์ตาของกู้ซีจิ่วก็เจิดจ้ากว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด!
ปากบางของเขาเม้มแน่นโดยไม่รู้ตัว
สุดท้ายหลงซือเย่ก็ล้วงโอสถขวดหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ
“โอสถนี้คือลูกกลอนหทัยพิสุทธิ์ระดับแปด ในขวดมีทั้งหมดสามเม็ด การแข่งขันครั้งนี้เป็นการประลองแลกเปลี่ยนกัน ดังนั้นยามที่ประลองข้าหวังว่าพวกเจ้าจะลงมืออย่างมีขอบเขต ไม่ถึงแก่ชีวิต หากเอาชนะได้โดยที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสก็จะได้รับโอสถนี้เป็นรางวัล
สายตาของคนทั้งหลายเปล่งประกาย!
ลูกกลอนหทัยพิสุทธิ์สามารถคลี่คลายผลเสียมากมายที่เกิดจากการฝึกฝนได้ เนื่องจากวัตถุดิบหายากมีสรรพคุณลํ้าเลิศยิ่ง โอสถนี้จึงหายากนัก ลูกกลอนระดับหนึ่งเม็ดเดียวก็มีราคาห้าร้อยหินวิญญาณแล้ว ส่วนเม็ดยาระดับแปดแทบจะเป็นสิ่งที่มีอยู่แค่ในตำนาน เป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้!