บทที่ 70
ไหนเลยจะมีรักมั่นต่อสตรีเพียงนางเดียวได้?
“เหลิ่งเซียงอวี้…” จู่ๆ กู้เซี่ยเทียนก็เรียกชื่อและสกุลเดิมของนาง ในนํ้าเสียงคล้ายเจือความเย็นชาที่ทำให้หนาวเหน็บไปจนถึงกระดูกไว้
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนขลาดเขลารึ?! เจ้าคิดว่าเรื่องที่เจ้าเคยกระทำเหล่านั้นจะสามารถปิดบังข้าไปได้ตลอดชีวิตจริงๆ หรือ?! ที่ข้าปกป้องเจ้าในวันนั้นเพราะเกรงว่าเจ้าจะทำให้จวนแม่ทัพต้องอับอายขายหน้า! เจ้าอย่าโง่ไปหน่อยเลย!” กู้เซี่ยเทียนคร้านจะเอ่ยวาจาไร้สาระกับนางอีก จึงดึงผ้าคลุมของตนมาแล้วสาวเท้าเดินจากไป เหลิ่งเซียงอวี้ตะลึงงัน อดไม่ได้ที่จะวิ่งตามไป “ท่านพี่
ท่านจะไปไหนเจ้าคะ?”
หลายวันแล้วที่เขาไม่ได้เข้ามาเฉียดเรือนของนางเลยแม้แต่ครึ่งก้าว ยากนักที่จะมาสักครั้งเช่นยามนี้ คิดไม่ถึงว่ายืนอยู่เพียงครู่เดียวก็จะไปเสียแล้ว
กู้เซี่ยเทียนชะงักฝีเท้า ตอบกลับอย่างเย็นชา ทว่าไม่ใช่การบอกว่าจะไปที่ใด แต่เป็นคำเตือนประโยคหนึ่ง “อย่าคิดร้ายกับซีจิ่วอีก มิเช่นนั้นข้าไม่ละเว้นเจ้าแน่!”
แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เหลิ่งเซียงอวี้ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน
หลังจากนั้นสักพัก สาวใช้คนสนิทของนางก็เข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ นายท่านไปที่เรือนใบเฟิงหอมเจ้าค่ะ”
เรือนใบเฟิงหอมเป็นที่พำนักของอนุโจวที่รับเข้ามาเมื่อปีก่อน ปีนี้เพิ่งอายุ 20 ปีเท่านั้น ยังอยู่ในวัยสาว ย่อมได้รับความโปรดปรานใน 10 วันกู้เซี่ยเทียนจะค้างคืนที่นั่นกับนางไปแล้ว 8 วัน
แม้เหลิ่งเซียงอวี้จะเป็นภรรยาหลวงของเขา ทว่าในหนึ่งปีมีอยู่เพียงไม่กี่วันที่จะได้ร่วมอภิรมย์กับเขา และแม้จะมีบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็เป็นแบบขอไปทีเท่านั้น
บางครั้งก็ประกอบกิจให้เสร็จอย่างลวกๆ บางครั้งก็เหนื่อยจนหลับกรนคร่อกๆ ไปเสียดื้อๆ… ทำให้นางต้องเบิ่งตาค้างอยู่ทั้งคืนจนถึงรุ่งสาง
สาวใช้คนสนิทที่เธอส่งไปยังเรือนใบเฟิงหอมได้รายงานว่า กู้เซี่ยเทียนประกอบกิจกับอนุโจวอย่างห้าวหาญดุดัน พลิกตลบพัวพันกันอยู่ครึ่งค่อนคืน…
ทำให้เหลิ่งเซียงอวี้ต้องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้นใจ ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้
เหลิ่งเซียงอวี้มองดูเงาของตนเองกระจก นางอายุ 40 กว่าปีแล้ว แต่เพราะบำรุงอย่างดี ผิวพรรณจึงยังขาวผุดผ่องอยู่เหมือนเดิม คิ้วตายังคงงดงามเช่นเคย ดูแล้วอย่างมากก็เหมือนเพิ่งจะ 30 ต้นๆ เท่านั้น ยังคงงดงามไม่สร่างซา ยามนี้ต่อให้นางมีความงามอยู่มากมาย แต่จะไปเทียบกับสาวน้อยอายุ 20 ปีที่งดงามปานบุปผาได้อย่างไรกันเล่า?
นางยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตน ทว่ากลับมีใบหน้าของคนผู้หนึ่งแวบขึ้นมาในสมอง นางถอนหายใจออกมาเบาๆ “หลัวซิงหลาน หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ยังคงอยู่ในฐานะนี้เหมือนเดิม เขาจะปฏิบัติต่อเจ้าแบบเดียวกับที่ปฏิบัติต่อข้าหรือไม่ ความรักระหว่างสามีภรรยาจะโรยราอย่างรวดเร็วหรือไม่?”
ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกันกระมัง?
บุรุษนี้หนอ ล้วนแต่ได้ใหม่ลืมเก่ากันทั้งสิ้น ไหนเลยจะมีรักมั่นต่อสตรีเพียงนางเดียวได้?
ถึงแม้หลังจากที่หลัวซิงหลานกระโดดหน้าผาไป กู้เซี่ยเทียนจะเศร้าซึมอยู่หลายเดือน คล้ายว่าได้รับความสะเทือนใจไม่น้อย
แต่พอผ่านไปครึ่งปีเขาก็อาการดีขึ้น ถึงขั้นแปรเปลี่ยนเป็นเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซํ้า ราวกับต้องการระบายความแค้นในใจ ภายในสองสามปีมานี้จึงรับอนุเข้ามาเรื่อยๆ จนตอนนี้ภายในจวนแม่ทัพมีอนุอยู่ 10 กว่าคนแล้ว ทุกๆ วันล้วนแต่งกายจนงดงามหยาดเยิ้ม เป็นที่ขัดเคืองนัยน์ตาของเหลิ่งเซียงอวี้ยิ่งนัก
ในปีนั้นเหลิ่งเซียงอวี้มีฐานะเป็นมือที่สามที่เข้ามาแทรงแซง เพราะข้างกายกู้เซี่ยเทียนมีหลัวซิงหลานเป็นฮูหยินอยู่แล้ว ณ เวลานั้น กู้เซี่ยเทียนยังคงรักษาคำมั่นสัญญาที่เคยให้หลัวซิงหลานไว้ในตอนแรก ถึงแม้จะมีตำแหน่งสูงขึ้น แต่ข้างกายก็มีภรรยาเพียงคนเดียว…
เป็นเหลิ่งเซียงอวี้ที่ใช้วิธีการปีนขึ้นเตียงของกู้เซี่ยเทียน แล้วใช้ลูกมาข่มขู่เพื่อเข้าสู่จวนตระกูลกู้ในฐานะฮูหยินรองของกู้เซี่ยเทียน และเป็นเหตุให้กู้เซี่ยเทียนและหลัวซิงหลานสองสามีภรรยาต้องแตกคอกัน…
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือ สุดท้ายแล้วหลัวซิงหลานได้กระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย เหลิ่งเซียงอวี้จึงได้ครอบครองตำแหน่งฮูหยินใหญ่ของจวนแม่ทัพในที่สุด เหลิ่งเซียงอวี้คิดว่าในที่สุดตนก็จะได้ครองทุกสิ่ง และเป็นผู้เดียวที่จะได้รับความรักใคร่โปรดปรานจากกู้เซี่ยเทียน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าความโปรดปรานนั้นจะมีระยะเวลาเพียงแค่สองปีเท่านั้น แถมสองปีนั้นยังเป็นช่วงเวลาที่หลัวซิงหลานยังมีชีวิตอยู่อีกด้วย แต่หลังจากที่หลัวซิงหลานกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายแล้ว กู้เซี่ยเทียนก็ปฏิบัติต่อเหลิ่งเซียงอวี้แย่เสียยิ่งกว่าแต่ก่อน
สตรีข้างกายนับวันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นราวกับหน่อไม้ที่ผุดขึ้นมาหลังฝนตก ยิ่งเน้นให้เห็นว่านางเป็นดอกเบญจมาศในวันวานที่แห้งเหี่ยวและโรยราแล้ว
…………………………
[1] ไข่นิ่ม อุปมาถึง ผู้ที่อ่อนแอปวกเปียกราวกับไข่ที่ไม่มีเปลือกหุ้ม