บทที่ 744 สิ่งที่เป็นอยู่ยามนี้คงเป็นการชดใช้กรรมของเขากระมัง?
ตี้ฝูอีนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง เขายังคงพิงโขดหินอยู่เช่นเดิม มองดูดวงตาเขียวเรืองรองหลากหลายคู่ที่ปรากฏขึ้นในป่าที่อยู่ไม่ไกลนักอย่างสงบ…
เขาทราบว่านั่นคือพยัคฆ์ดาวคะนอง
พยัคฆ์ดาวคะนอง สัตว์ร้ายขั้นห้า มีคมเขี้ยวหนึ่งคู่ที่สามารถฉีกทึ้งได้ทุกสิ่ง ชอบเคลื่อนไหวเป็นฝูง พอหมายตาเหยื่อแล้วจะตามพัวพันชนิดที่ไม่ตายไม่เลิกรา
เขาคลำตรงเอวอยู่ครู่หนึ่ง หาป้ายหยกที่ใช้สื่อสารกับสี่ทูตไม่พบ คิดว่าตกอยู่ในสระเป็นแน่
นี่ช่างเป็นเรือนรั่วในช่วงฝนพรำโดยแท้
เขาถอนหายใจแผ่วๆ เกิดเป็นคนไม่ควรเอาแต่ใจเกินไปจริง ๆ พอเอาแต่ใจก็จะเสียเปรียบได้ง่ายๆ
ระยะนี้เขาสิ้นเปลืองพลังวิญญาณหนักหนาเกินไป ว่ากันตามหลักแล้ว สมควรงดสุรา ต้องงดสุราอย่างเด็ดขาดแล้วเข้าฌานสามวันสามคืนควบคู่กับการโคจรโอสถ พลังยุทธ์ก็ฟื้นฟูขึ้นกว่าครึ่งเท่านั้น ทว่าตัวเขาพอไม่สบายใจขึ้นมาก็อยากดื่มสุรา ซํ้ายังดื่มสุราที่แรงที่สุดอีกด้วย ดื่มจนเมามายโดยไม่รู้ตัว…
ยามนี้สุราที่เขาดื่มกลายเป็นพิษร้ายอย่างมิต้องสงสัยเลย ด้วยเหตุนี้หลังจากที่สร่างเมาจึงพบว่าพลังยุทธ์ในร่างตนหายไปหมดแล้ว…
ร่างกายอ่อนปวกเปียกปานก้อนแป้ง…
การนั่งพิงกู้ซีจิ่วในตอนนั้นมิใช่การเสแสร้ง เพียงแต่ถึงแม้เขาจะสูญเสียพลังยุทธ์ แต่ประสิทธิภาพการฟังก็ยังยอดเยี่ยมจนน่าตะลึง เพียงพอจะรับรู้ถึงการมาของหลงซือเย่ได้ทันท่วงที
เขาไม่อยากให้หลงซือเย่พบว่าเขาผิดปกติ อันที่จริง สภาวะเช่นนี้ของเขาไม่เหมาะให้ผู้ใดได้พบเห็น!
ดังนั้นเขาจึงพิงโขดหิน สนทนากับพวกเขาอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่ตลอด เคราะห์ดีที่ปกติเขาก็ทำอะไรโดยยึดตัวเองเป็นหลักอยู่แล้ว ยามที่สนทนากับพวกหลงซือเย่นึกอยากจะนอนก็นอน อยากจะนั่งก็นั่ง ไม่แยแสเรื่องมารยาทอยู่แล้ว หลงซือเย่จึงไม่พบความผิดปกติของเขา จวบจนจากไปพร้อมกู้ซีจิ่ว
หลังจากพวกเขาจากไป ตี้ฝูอีก็ยังนั่งอยู่ หยาดเหงื่อเย็นเฉียบชโลมใบหน้า ฝืนหยิบโอสถออกมาจากมิติเก็บของ เพิ่งจะนั่งสมาธิโคจรพลังไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามพยัคฆ์ดาวคะนองก็ตีวงเข้ามาแล้ว…
ตี้ฝูอีพลันตวัดข้อมือ กระบี่สั้นเล่มหนึ่งโผล่พ้นฝัก ประกายกระบี่ปานสะเก็ดดาว ส่องสะท้อนวงหน้าเขา เขาเริ่มวิเคราะห์อัตราการรอดชีวิตในครั้งนี้ของตนอย่างเยือกเย็น พยัคฆ์ดาวคะนองมีทั้งหมดสิบแปดตัว ด้วยพลังยุทธ์ของเขาในยามนี้ สามารถสังหารได้แปดตัวในหนึ่งชั่วลมหายใจ อีกสิบตัวที่เหลือจะพุ่งเข้าใส่เขา…
ถึงแม้สุดท้ายแล้วพลังวิญญาณที่คุ้มกายเขาจะปกป้องไม่ให้เขาถูกพยัคฆ์ดาวคะนองเหล่านี้ขยำกัดกิน แต่ก็มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนที่จะพวกมันจะลากเขาเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา…
เป็นครั้งแรกในรอบเนิ่นนานปีที่เขาทำให้ตนตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาถึงเพียงนี้ เขาถือดีเกินไปจริงๆ คิดว่าตัวเองเป็นเทพแล้วจะไม่แยแสอะไรก็ได้
บางทีสิ่งที่เป็นอยู่ยามนี้คงเป็นการชดใช้กรรมของเขากระมัง?
เวลานี้เรียกฟ้าฟ้าไม่ได้ยิน เรียกดินดินไม่ขาน ไม่มีใครมาช่วยเขาอีกแล้ว…
….
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตัวเองบ้าไปแล้วแน่ๆ!
บางทีตอนที่แช่อยู่ในสระ นํ้าคงเข้าสมองนานเกินไป
พูดไว้แล้วชัดๆ ว่าจะนอนหลับ แต่หลังจากนอนไปได้ครู่หนึ่ง หัวใจก็ร้อนรนเหมือนไฟสุม นอนไม่หลับ เงาร่างตี้ฝูอีที่นั่งพิงโขดหินอย่างเฉื่อยชาแวบเข้ามาในสมองเป็นครั้งคราว แม้กระทั่งตอนที่เขามอบอาภรณ์ไหมเงือกจันทร์อะไรนั้นให้เธอก็แวบเข้ามาเช่นกัน เธอทันได้สัมผัสเพียงตอนที่ถูกเขาเผาไปแล้ว
พฤติกรรมล้างผลาญถึงเพียงนั้นคนผู้นี้ก็ยังกระทำออกมาได้
เมื่อนึกถึงอาภรณ์ชุดนั้นก็นึกถึงไฟกองนั้นขึ้นมาด้วย ดูเหมือนว่ายามที่เธอจากมา กองไฟนั้นก็ไม่มีฟืนแล้ว…
หากว่าไม่มีคนคอยเติม มากสุดกองไฟนั้นก็อยู่ต่อได้อีกครึ่งชั่วยามเท่านั้น เมื่อกองไฟดับมอดลงสถานที่แห่งนั้นก็จะอันตรายแล้ว โดยเฉพาะในยามราตรี คนผู้นั้นก็น่าจะจากไปอย่างรวดเร็วแล้วกระมัง?
มิเช่นนั้นเขาอยู่ที่นั่นคนเดียวเพื่อเป็นอาหารให้ยุงหรือ?
แต่ว่าถ้าหากเขาไม่มีแรงเคลื่อนไหวจะทำยังไง?
——————————————————————
[1] เกิดสำลักจึงเลิกกินข้าวเสียดื้อๆ อุปมาถึง เกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้นจึงเลี่ยงไม่ทำเสีย