บทที่ 762 หลัวฮูหยินหรือว่ากู้ฮูหยิน
นางเดินละลิ่วเข้ามา ทำความเคารพทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกับเจ้าสำนักหลงก่อน แล้วหัน ไปกล่าวขอบคุณกู่ฉานโม่ จากนั้นสายตาหยุดอยู่ที่ร่าง ‘กู้ซีจิ่ว’ ทันที
ดวงตาคู่นั้นค่อยๆ มีม่านนํ้าเอ่อคลอขึ้นมา มุมปากนางแย้มเป็นรอยยิ้ม ทว่าหางตากลับแดงระเรื่อ มองดู ‘กู้ซีจิ่ว’ ก้าวเข้าไปหาช้าๆ เอ่ยขึ้นว่า “ซีจิ่ว ข้า ป็นแม่ของเจ้า…”
เสียงนี้สั่นเครือนิดๆ คล้ายทั้งสุขและทุกข์
ตี้ฝูอีมองนางที่กำลังเดินเข้ามาใกล้อย่างปวดประสาทยิ่งนัก จากนั้นก็ปรายตามองกู้ซีจิ่วที่นั่งอยู่ไม่ไกลด้วยหางตาแวบหนึ่ง
กู้ซีจิ่วมองเขายิ้มๆ สายตาแฝงแววหัวเราะเยาะและยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นอยู่รางๆ…
จิตใจกู้ซีจิ่วเบิกบานนัก!
เธอเบิกบานจริงๆ!
เธออยากเห็นว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะรับมือกับละครฉากแม่ลูกพบหน้านี้อย่างไร…
ยากนักที่จะได้เห็นเขาอึดอัดคับข้องใจ เธอจะไม่มองให้คุ้มได้อย่างไร?
ตี้ฝูอีกวาดตามองหลัวฮูหยินผู้นี้อยู่หลายครา ถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่แท้ๆ ของกู้ซีจิ่ว เป็นบุคคลในตำนานผู้หนึ่ง และเป็นบุคคลที่ทุกข์ตรมจนต้องกระโดดหน้าผา ในใจกู้ซีจิ่วยังคงเคารพสตรีนางนี้ยิ่งนัก
แน่นอน อยู่ในขอบเขตของความเคารพเท่านั้น เธอไม่ได้มีความรักระหว่างแม่ลูกอันใดกับนาง อีกทั้งเธอมิใช่กู้ซีจิ่วคุณหนูแม่ทัพที่ถูกกดขี่คนนั้นอีกแล้ว เพียงหยิบยืมร่างกายของบุตรสาวผู้อื่นเท่านั้น อีกอย่างต่อให้เป็นคุณหนูแม่ทัพผู้นั้นจริงๆ ก็ยังไม่แน่ว่าจะรักใคร่ผูกผันกับหลัวฮูหยินผู้นี้สักเท่าใด อย่างไรเสียนางก็แยกกับมารดาตั้งแต่ยังแบเบาะ แถมในใจของกู้ซีจิ่วคนเก่า มารดาผู้นี้คือต้นเหตุของโศกนาฏกรรมในชีวิตนาง ต่อให้เจ้าของร่างคนเก่าได้พบกับมารดาของตนในยามนี้ ก็คงจะเกลียดชังกระมัง…
แม้กระทั่งความรักของแม่ลูกก็ต้องการเวลาอยู่ใกล้ชิดกันถึงจะผูกพัน ต่อให้เลือดข้นกว่านํ้า ก็หลอมกันไม่เข้า
กู้ซีจิ่ววิเคราะห์ความรู้สึกที่กู้ซีจิ่วคนเก่าควรมีในยามนี้อยู่ในใจพบว่าวิเคราะห์ไม่ได้…
จู่ๆ เธอพลันรู้สึกว่าร่างนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจถึงเพียงนี้ เธอจับจ้องตี้ฝูอี ดูว่าเขาจะรับ มืออย่างไร จะยืนขึ้น แล้วโผเข้าใส่อ้อมอกผู้เป็นแม่?
หรือว่าจะกล่าวอย่างโกรธแค้นชิงชังว่า ‘เจ้าเป็นใคร ข้าไม่ต้องการเจ้า เจ้าไม่ใช่แม่ของข้า แม่ของข้าจะไม่มาดูดำดูดีข้าเนิ่นนานถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? ปล่อยให้ข้าถูกรังแกอยู่ที่จวนแม่ทัพ’
ถ้อยคำที่มีความเป็นไปได้ว่ากู้ซีจิ่วตัวจริงจะพูดแวบเข้ามาในสมองกู้ซีจิ่ว จากนั้นก็มองอย่างกระตือรือร้นว่าตี้ฝูอีจะใช้ข้อไหน…
เรื่องที่หลัวซิงหลานกระโดดหน้าผาในครานั้นทราบกันแทบจะทั่วทวีป ตอนนี้นางโผล่ออกมากะทันหัน อันที่จริงฝูงชนก็ใคร่เห็นปฏิกิริยาของกู้ซีจิ่วเช่นกัน ดังนั้นสายตาของคนทั้งห้องโถงแทบจะมาออกันอยู่ที่ร่างของสองแม่ลูก
ผลคือตี้ฝูอีไม่ใช้สักข้อ เขาเพียงแต่ยิ้มแวบหนึ่ง ชูจอกสุราขึ้นเบื้องหน้า นํ้าเสียงเฉยชา “ควรเรียกท่านว่าหลัวฮูหยินหรือว่ากู้ฮูหยินดี?”
หลัวซิงหลานตัวแข็งทื่อ “จิ่วเอ๋อร์…”
ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ “ปีนั้นท่านตัดสินใจตัดสัมพันธ์ทั้งหมดกับจวนแม่ทัพแล้ว คิดว่ายามนี้ท่านคงไม่ยินดีอย่างยิ่งที่จะเกี่ยวข้องใดๆ กับจวนแม่ทัพ เช่นนั้นข้าจะเรียกท่านว่าหลัวฮูหยินก็แล้วกัน”
หลัวซิงหลานมองบุตรสาวที่อยู่ตรงหน้า ริมฝีปากสั่นระริกครู่หนึ่งถึงตอบด้วยเสียงแผ่วๆ “ได้”
ตี้ฝูอีรินสุราใส่จอกใบหนึ่งแล้วยื่นให้นาง “เช่นนั้น…พวกเราดื่มกันสักจอกดีไหม?”
เขาสงบนิ่งดั่งพบพานสหาย ม่านนํ้าในดวงตาหลัวซิงหลานกลั่นตัวเป็นหยาดนํ้าตาแล้ว นางฝืนข่มไม่ให้มันไหลรินลงมา ยกจอกสุราขึ้นเงียบๆ เอ่ยด้วยนํ้าเสียงเช่นเดิม “ได้…”
นางแหงนหน้าดื่มสุราในจอกจนหมด!