Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 790

บทที่ 790 หนังหน้าเจ้าหนาเอาการ

ตี้ฝูอีย่อมไม่คิดจะให้เขาจับไว้ ร่างเขาเปล่งแสงวาบ หลบหลีกมือของเขา กล่าวอย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม “นี่เจ้าสำนักหลงจะบีบบังคับกันหรือ?”

การเคลื่อนไหวเช่นนี้ของเขาคล้ายกับวิชาเคลื่อนย้ายของกู้ซีจิ่วมาก ต่อให้เป็นหลงซือเย่ก็มองพิรุธไม่ออก เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง ขณะที่กำลังเปิดปากเอ่ย มู่เฟิงก็เสมือนหล่นลงมาจากฟ้า ปรากฏตัวข้างกายตี้ฝูอีทันที “แม่นางกู้! เจ้านายของพวกเราเรียนเชิญ”

ตี้ฝูอีหันหลังตามมู่เฟิงไป

หลงซือเย่ยืนอยู่ที่เดิม มองเขาอย่างเหม่อลอย นิ้วมือภายในแขนเสื้อค่อยๆ กำแน่น

กู้ซีจิ่วยืนอยู่ไกลๆ ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เธอนวดขมับด้วยความปวดหัว

หลงซือเย่เคยเป็นครูฝึกในค่ายฝึกนักฆ่า ความคิดละเอียดรอบคอบนัก บางเรื่องถ้าปล่อยไว้นานๆ เกรงว่าจะปิดบังเขาไว้ไม่ได้…

แทนที่จะให้เขาสืบทราบด้วยตัวเอง มิสู้อธิบายแก่เขาให้ชัดเจนไปเลยดีกว่า แต่ว่าตี้ฝูอีไม่ยอม…

ปวดหัวจริงๆ เลย!

….

ยามที่กู้ซีจิ่วกลับมาถึงเรือนนั้น ตี้ฝูอีกำลังเขียนบางอย่างอยู่ในห้อง

เนื่องจากต้องคอยชี้แนะการฝึกฝนวรยุทธ์ให้กู้ซีจิ่วตอนกลางคืน อีกทั้งกู้ซีจิ่วให้คนจัดวางเตียงอีกหลังหนึ่งไว้ในห้องนี้แล้วด้วย ทั้งสองเตียงตั้งอยู่ตรงข้ามกัน และอยู่ใกล้กันมาก

หลังจากตี้ฝูอีกลับมา กู้ซีจิ่วก็คืนเตียงใหญ่หลังนั้นให้เขา ส่วนเธอก็ใช้เตียงอีกหลัง

เห็นแก่ที่สุดท้ายแล้วเขาก็นับว่าช่วยแก้ปัญหาในห้องเรียนให้เธอ กู้ซีจิ่วจึงเอ่ยขอบคุณเขา

ตี้ฝูอีเงยหน้ามองเธอ ริมฝีปากบางยักยิ้มน้อยๆ “เจ้ากับข้าเป็นพ่อลูกกันจะเกรงอกเกรงใจไปทำไม”

กู้ซีจิ่วถูกคำพูดเขาสะกดไว้ตรงนั้น กระอักกระอ่วนอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ฐานะของข้าคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ต้อง

เรียกว่าพ่อบุญธรรมสิ และท่านก็ต้องเรียกข้า…”

ตี้ฝูอีส่ายหน้า “หนังหน้าเจ้าหนาเอาการนะ”

บรรยากาศภายในห้องที่เริ่มแรกยังคุกรุ่นอยู่บ้าง เมื่อทั้งสองคนเริ่มหยอกล้อกันสองสามประโยค บรรยากาศก็มีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย

กู้ซีจิ่วร้องเฮอะคราหนึ่ง “ก็เหมือนกันนั่นแหละ มาเถอะ เรียกพ่อบุญธรรมให้ฟังหน่อย!”

ตี้ฝูอีถอนหายใจ “นี่เป็นไปไม่ได้! ข้าเกรงว่าถ้าเรียกเจ้าแล้วเจ้าจะถูกฟ้าผ่าเอา!”

กู้ซีจิ่วนึกว่าเขาแค่พูดไปเรื่อย จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ หัวเราะคิกคัก “พูดเหลวไหล!”

ตีฝู้อียิ้มแวบหนึ่ง ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ก้มหน้าก้มตาเขียนเหมือนเดิม

กู้ซีจิ่วอยากรู้อยากเห็น จึงเขยิบเข้าไปมองแวบหนึ่ง พบว่าเขาเขียนเรื่องที่เข้าใจได้ยากอยู่ อักษรที่เขียนอยู่นั้นเธอไม่รู้จักเลยสักตัว

“นี่คือ?” กู้ซีจิ่วคิดว่าตัวเองรู้จักตัวอักษรเพียงพอแล้ว แต่ตัวอักษรหนนี้กลับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก เหมือนตัวอักษรและเหมือนอักขระอาคม ปรากฏออกมาอย่างลื่นไหลภายใต้พู่กันเขาดูคล้ายเมฆหมอกล่องลอย

“ไม่รู้จักหรือ?” ตี้ฝูอีเลิกคิ้ว

“แน่นอนว่าไม่รู้จัก ข้าก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก”

“อืม ไม่รู้จักก็ถูกแล้ว” ตี้ฝูอียังตวัดพูดกันอย่างพลิ้วไหวเช่นเดิม

กู้ซีจิ่วนั่งลงข้างๆ จู่ๆ ก็ถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง “พวกมู่เฟิงรู้เรื่องใช่ไหม?”

ปลายพู่กันของตี้ฝูอีชะงักไปเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ปฏิเสธเธอ “ใช่ พวกเขารู้แล้ว”

ครั้งนี้ไม่เพียงแต่มู่เฟิงที่อยู่ที่นี่เท่านั้น แต่กระทั่งมู่เหลย มู่อวิ๋นก็มาพร้อมหน้าแล้ว ยามนี้ทั้งสี่คนจัดเวรยามอยู่ในเรือน!

เห็นได้ชัดเจนนัก พวกเขามาเพื่ออารักขาตี้ฝูอีที่อ่อนแอ

อันที่จริงการที่พวกเขามาก็ทำให้กู้ซีจิ่วรู้สึกโล่งอก อย่างไรเสียวรยุทธ์ของเธอกับตี้ฝูอีในยามนี้ล้วนอยู่ในสภาพถดถอยต้อยตํ่า หากว่ามียอดฝีมือเลิศลํ้าประสงค์ร้ายต่อพวกเขา จะค่อนข้างอันตรายจริงๆ

ตี้ฝูอีเคยบอกว่าเรื่องนี้มีเพียงเธอกับเขาที่รู้ คนอื่นไม่ทราบทั้งสิ้น

เธอปิดบังทุกคน รวมถึงสหายของเธอ สัตว์เลี้ยงของเธอ…

แต่เขากลับบอกลูกน้องทั้งสี่ของเขา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version