บทที่ 922 อาณาเขตของข้า เจ้าตัดสินใจเองได้เลย
เธอไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจสักนิดเลยหรือ?
“ข้าไม่มีทางถอนหมั้นกับเจ้า” ตี้ฝูอีตบมือเธอเบาๆ “ไม่ง่ายกว่าข้าจะหลงรักใครสักคน…กำไลนี้จะอยู่หรือไปข้าไม่ใช่ผู้ตัดสินใจ เว้นแต่สวรรค์จะเห็นว่าวาสนาของพวกเราถึงจุดสิ้นสุดแล้วกำไลนี้ถึงจะหายไปเอง…”
เขาแย้มยิ้มอีกครา “เด็กน้อย พวกเราเพิ่งหมั้นหมายกันสำเร็จ จะคุยเรื่องถอนหมั้นคงไม่ดีกระมัง?”
กู้ซีจิ่วไม่เก็บคำว่า ‘วาสนาสิ้นสุด’ ของเขามาใส่ใจ บนโลกนี้ไม่ว่าจะวาสนาใดล้วนต้องมีสักวันที่สิ้นสุดลง จะเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กันปานใดก็ฝืนการกลั่นเกลาของกาลเวลาไม่พ้น ความรู้สึกจะลํ้าลึกเพียงใดก็ต้องจืดจางลงสักวัน วาสนาจะเกิดจะสิ้น เดิมทีก็ถูกกำหนดไว้แล้ว สามีภรรยาทั่วไปยังมีช่วงอาถรรพ์เจ็ดปีเลย ใครเล่าจะรับประกันได้ว่าคนผู้หนึ่งจะรักใครอีกคนไปชั่วชีวิตได้จริงๆ?
ขอเพียงในวันที่วาสนาที่มาเยือนจงคว้าเอาไว้ให้มั่นก็พอแล้ว ขอเพียงเธอได้รู้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีความสุขในช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันก็พอแล้ว เรื่องอื่น ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากความเกินไป กู้ซีจิ่วก็พบเห็นเรื่องรักๆ เลิกๆ มาจนชินแล้ว ดังนั้นสายตาเธอจึง เปิดกว้างยิ่งนัก
เธอมองกำไลบนข้อมือครู่หนึ่ง ถามออกมาว่า “กำไลนี้ยังมีความสามารถอื่นอีกหรือไม่?”
“มี” ตี้ฝูอีตอบ “คนทั้งสองที่สวมสิ่งนี้ไว้ สามารถรับรู้อันตรายและตำแหน่งของกันและกันได้ หากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง อีก ฝ่ายก็สามารถรับรู้ได้ทันที ไปช่วยเหลือได้ทันกาล”
มีข้อดีเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?!
มีประโยชน์จริงๆ!
ดวงตากู้ซีจิ่วหยีโค้ง ตี้ฝูอีผู้นี้แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น เขาไม่มีทางประสบภยันอันตรายอยู่แล้ว ภายหน้าผู้ที่เป็นไปได้ว่าจะเผชิญอันตรายย่อมเป็นตน นี่เขาเสริมเกราะคุ้มภัยให้เธออีกชั้น กระมัง?
ทั้งสองพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง ในที่สุดอาการปวดท้องของกู้ซีจิ่วก็สลายไป เธอลุกขึ้นยืนแล้วขยับมือเท้าดูเล็กน้อย “ข้าอยากชมวังบาดาลแห่งนี้ให้ทั่วๆ หน่อย”
ตี้ฝูอีโบกมือคราหนึ่ง “เชิญตามสบาย จะเยี่ยมชมอย่างไรก็ได้”
“ไม่มีเขตหวงห้ามหรือ?”
“อาณาเขตของข้า เจ้าตัดสินใจเองได้เลย เดินได้ตามสบาย”
วังบาดาลใต้มหาสมุทรลึกเช่นนี้มิใช่สถานที่ที่สามารถชมดูได้ตลอด กู้ซีจิ่วจึงหวงแหนโอกาสครั้งนี้ยิ่งนัก ไปชมดูด้วยตัวเองจริงๆ
ตี้ฝูอีเห็นแผ่นหลังนางเลือนหายในที่ไกลๆ จึงหลับตาลงแล้วเริ่มทำสมาธิ ช่วงนี้เขาสิ้นเปลืองพลังวิญญาณยิ่งนัก จำเป็นต้องกักตนฟื้นฟูเป็นการด่วน แต่เขาอยากข้ามเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้เป็นเพื่อนนาง ดังนั้นจึงไม่ปิดด่านกักตนมาโดยตลอด เพียงใช้ช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้นั่งสมาธิฟื้นฟู
วังบาดาลแห่งนี้ใหญ่โตอย่างยิ่ง ตี้ฝูอีคาดว่านางคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วยามถึงจะวนทั่ว ดังนั้นเขาจะนั่งสมาธิตลอดสามชั่วยามนี้
พลังวิญญาณของที่นี่เข้มข้นนัก เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับทำสมาธิฟื้นฟู และเป็นสถานที่ที่เขาเคยใช้กักตนฝึกฝน
ในอดีตที่นี่มีเขาอยู่โดดเดี่ยวลำพัง ยามนี้กลับมีนางเพิ่มเข้ามาอีกคน เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเพิ่มขึ้นแค่คนเดียว ทว่าวังบาดาลที่หนาวเหน็บหาใดเทียมหลังนี้กลับเสมือนมีผู้คนเพิ่มขึ้นมากมาย ความมีชีวิตชีวาอบอวลไปทั่วตำหนัก
สถานที่แห่งนี้ต่อให้งดงามสักแค่ไหนหากไม่มีกลิ่นอายมนุษย์ก็เป็นเพียงสุสานไร้ชีวิตชีวา ดังนั้นหลายปีมานี้หากไม่มีเหตุสุดวิสัย เขาก็จะไม่มากักตนที่นี่ ต่อให้กักตนอยู่ที่นี่ก็จะจากไปทันทีที่ออกจากการกักตน ไม่รั้งอยู่ต่อแม้แต่วันเดียว แต่ตอนนี้เขากลับไม่อยากไปจากที่นี่อยู่บ้าง จู่ๆ ก็ค้นพบว่าทิวทัศน์ของที่นี่งดงามยิ่งนัก
ถึงเขาจะเข้าสมาธิอยู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรในใจก็ยังคงห่วงหานาง ต่อให้หลับตาอยู่ก็ให้ความสนใจต่อการกลับมาของนาง เตรียมเสร็จสิ้นทันทีที่นางกลับมา
เป็นอย่างที่เขาคาดเดาไว้ จวบจนเขาโคจรลมปราณทั้งหมดครบหนึ่งรอบเมื่อลืมตาขึ้นมาก็ยังไม่เห็นนางกลับมา ในสวนดอกไม้ที่กว้างใหญ่มีเพียงตัวเขาผู้เดียว เขาคำนวณเวลาดู ผ่านไปประมาณสามชั่วยามแล้วเหตุใดนางยังไม่กลับมาอีก?
ไปเพลิดเพลินจนลืมกลับอยู่ที่ใดกัน?