บทที่ 923 ซ้ำนางยังเป็นระดูอยู่…
ความจริงแล้วสถานที่แห่งนี้ปิดผนึกไว้แล้วหนาแน่นยิ่ง คนนอกไม่อาจเข้ามาได้ คนที่ไม่มีเขานำทางก็ไม่อาจออกไปได้ ดังนั้นตี้ฝูอีจึงไม่หวั่นเกรงว่ายามนี้นางจะพบพานอันตรายใดๆ เขายืดกายลุกขึ้นมา จับสัมผัสตำแหน่งที่ตั้งของนางเล็กน้อย จากนั้นก็เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ นางอยู่นอกสวน!
เขาจึงเดินออกไปดู พบว่านางนั่งอยู่บนม้านั่งหินตัวหนึ่งตรงปากทางเข้าสวน พิงผนังหลับอยู่ แพขนตายาวหลุบลง เกิดเงาโค้งมนรูปทรงดั่งใบพัด ตรงด้านล่างดวงตานาง ถึงอย่างไรนางก็ยังเป็นเด็กน้อยอายุสิบห้าปีคนหนึ่ง ผล็อยหลับไปได้ง่ายนัก และช่วงเวลานี้ก็เป็นยามราตรีสมควรแก่เวลา
พักผ่อนแล้ว ดังนั้นการที่นางง่วงจึงไม่อยู่เหนือความคาดหมายของเขา ทำไมนางไม่ไปนอนที่เก้าอี้เอนหลังหยกอุ่นในสวนตัวนั้น?
ม้านั่งหินตัวนี้เย็นมาก ซํ้านางยังเป็นระดูอยู่…
เขาเข้าไปอุ้มนางขึ้นมา ประสาทสัมผัสนางยังคงตื่นตัวยิ่งนัก นางลืมตาขึ้นมาทันที พอมองเห็นเขา สองแขนก็โอบขึ้นมากอดคอเขาไว้แล้วเอ่ยพึมพำ “ท่านนั่งสมาธิเสร็จแล้วหรือ?”
ที่แท้นางกลับมาตั้งนานแล้ว ด้วยเกรงว่าจะรบกวนเขาที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ดังนั้นจึงไม่เข้าไป คอยอยู่ที่ปากทางเข้าสวนดอกไม้
ตี้ฝูอีใคร่ครวญแวบเดียวก็เดาความกังวลของนางได้ หัวใจพลันอุ่นวาบ อุ้มนางไปนอนบนเก้าอี้เอนหลังหยกอุ่น “นอนตรงนี้เถอะ”
ความง่วงของกู้ซีจิ่วหายไปแล้ว ลุกขึ้นนั่งแล้วมองเขา “สีหน้าของท่านดูดีขึ้นมากเลย”
อันที่จริงก่อนหน้านี้สีหน้าของเขาค่อนข้างซีดเซียว
“ใช่แล้ว วังบาดาลหลังนี้ของท่านสร้างขึ้นหลายปีแล้วกระมัง? เหตุใดจึงไม่มีจารึกอักษรก่อนหน้านี้เลยล่ะ?” กู้ซีจิ่วฉงน
จากที่เธอวนจนรอบเมื่อกี้ก็พอมองออกว่าที่นี่สร้างขึ้นนานหลายปีแล้ว ว่ากันตามเหตุผลแล้ว สถานที่ทุกแห่งที่ตี้ฝูอีอาศัย มิใช่แสดงถึงความสง่างามด้านศิลปินของเขาหรอกหรือ?
“รอเจ้ามาจารึก” ตี้ฝูอียิ้มบางๆ
ที่นี่คือสถานที่ปลีกวิเวกเข้าฌานของเขา ไม่เคยมีคนนอกได้มาเยือน แม้แต่สี่ทูตสาวกของเขาก็ไม่รู้จักที่นี่ เขาย่อมไม่มีแก่ใจจะจารึกอักษรอันใดไว้ที่นี่ ชาวเงือกที่สร้างตำหนักแห่งนี้ขึ้นในปีนั้นล้วนกลายเป็นขี้เถ้าปลิวหายควันมลายสิ้น[1] ไปหมดแล้ว กู้ซีจิ่วเป็นคนที่สองในโลกนี้ที่ได้มาที่นี่ และจะไม่มีคนที่สามที่ได้ทราบถึงสถานที่แห่งนี้…
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสักพัก กู้ซีจิ่วมองนาฬิกาทรายแบบหนึ่งตรงมุมห้อง ดูเหมือนจะเข้ายามเช้ามืดของวันที่สิบหกเดือนแปดแล้ว เธอมีคาบเรียนตอนเช้าอยู่…
เพียงแต่เธอไม่คิดจะเร่งรัดตี้ฝูอี จะออกจากที่นี่ก็ต้องใช้เขตแดนฟองอากาศเหมือนเดิม ซํ้ายังต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณของตี้ฝูอีด้วย ดังนั้นจะต้องให้เขาพักผ่อนดีๆ ถึงจะเดินทางได้
“ท่านอยากนั่งสมาธิพักผ่อนต่อไหม?” กู้ซีจิ่วแสดงความเห็น
ตี้ฝูอีส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าจะไปส่งเจ้ากลับก่อน”
เขาลุกขึ้น จูงเธอเดินออกประตู “ไปกันเถอะ”
จังหวะที่ก้าวพ้นประตูเขาเหลือบมองหมู่ดาวบนฟากฟ้าแวบหนึ่ง
ณ ขอบฟ้าด้านทิศตะวันตก ดาวน้อยดวงหนึ่งส่องแสงวิบวับราวกับถือกำเนิดใหม่ มีแสงทองจางๆ แวบออกมาบ้างเป็นครั้งคราว…
นัยน์ตาตี้ฝูอีส่องประกายแวบหนึ่ง พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ‘ดีมาก สิ่งที่ควรปรากฏในที่สุดก็ปรากฏออกมาแล้ว’
….
วันเวลาล่วงเลยไปว่องไวดั่งกระสวยทอผ้า
วันเวลาที่ต้องเล่าเรียนฝึกฝนอย่างครํ่าเคร่ง ผ่านไปรวดเร็วยิ่ง พริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไปปีครึ่งแล้ว
กว่าหนึ่งปีที่ผ่านมามีเรื่องราวเกิดขึ้นไม่น้อย เรื่องใหญ่ที่สุดก็คืออาณาจักรเฟยซิงเปิดศึกกับอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยแล้ว
ในทวีปนี้สามอาณาจักรคานอำนาจกัน สถานการณ์ค่อนข้างคล้ายคลึงสามก๊กยิ่งนัก อาณาจักรเจาหยางแข็งแกร่งที่สุด อาณาจักรเฟยซิง และอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยรองลงมา อาณาจักรเฟยซิงและอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยต้องการต่อกรกับอาณาจักรเจาหยาง จึงจัดการอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ขึ้น ทั้งสามอาณาจักรถ่วงสมดุลกัน ผู้ใดก็โค่นผู้ใดไม่ได้ ผู้ใดก็ไม่กล้าโจมตีผู้ใด แต่ในช่วงหนึ่งปีมานี้ทรัพยากรด้านการทหารของอาณาจักรเฟยซิง คงจะครบครัน ขุมกำลังของอาณาจักรแข็งแกร่งแล้ว ท่าทางเหมือนจะทัดเทียมกับอาณาจักรเจาหยางได้รางๆ แล้ว จึงไม่เห็นอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยอยู่ในสายตาอีกต่อไป