Chapter 51
อสูรทะเลทราย 1
“เจ้าจะตามหาครอบครัวของไป๋เมาไปทำไม? หรือว่าเจ้าต้องการแก้แค้นที่ไป๋เมาฆ่าดวงวิญญาณพ่อเจ้างั้นรึ?” เทพพฤกษาถามอย่างคาดเดา
“ข้าต้องการรู้ว่าครอบครัวเขาสุขสบายดีหรือไม่? ไป๋เมาไปตายแล้ว ครอบครัวเขาอาจจะกำลังลำบากกันอยู่ก็เป็นได้ ข้าจึงตามหาพวกเขาเพื่อที่จะคอยดูแลพวกเขาแทนไป๋เมา”
“อ่อ…” เทพพฤกษาพยักหน้ารับรู้ “เจ้าไม่แค้นที่ไป๋เมาฆ่าพ่อของเจ้าแล้วหรือ?”
จอมมารส่ายหน้า “ข้าไม่แค้นเขาแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นสหายของข้า เขาตายไปแล้ว ข้าก็ถือว่าเขาชดใช้ให้ข้าแล้ว”
เขาจ้องเทพพฤกษาด้วยสายตาขอร้อง “ท่านบอกข้าเถอะว่าครอบครัวของเขาอยู่ที่ใด? ข้ารับปากว่าจะดูแลครอบครัวเขาให้อยู่สุขสบายกันทุกคน”
“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พวกเขามีข้าคอยดูแลอยู่แล้ว”
จอมมารพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็เบาใจ แล้วเหตุใดธิดาสิงห์จึงมีหน้าตาเหมือนไป๋เมาราวกับคนๆ เดียวกันเช่นนี้เล่า?”
เทพพฤกษาสะดุ้งในใจ “เหตุผลนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”
นางพูดแล้วดวงตาก็เปลี่ยนเป็นวาววับเอาเรื่อง “เรื่องที่เจ้าลักพานางมาอย่าคิดว่าข้าจะไม่เอาความ”
นางใช้พลังเทพกระแทกใส่จอมมารทันที ฟิ้ว—
จอมมารรีบใช้พลังมารต้านแรงกระแทก แต่ก็ยังกระเด็นไปกระแทกผนัง โคร้ม!
“หากเจ้าสามเป็นอะไรแม้เพียงนิดข้าจะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้าแน่!” เทพพฤกษาพูดคาดโทษแล้วก็จากไป
จอมมารลุกขึ้นยืนไม่บาดเจ็บเลยสักนิด ดีว่าเขากางพลังมารรับทันไม่เช่นนั้นคงบาดเจ็บหนักแน่ “ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ สมแล้วที่เสด็จพ่อเกรงกลัวนาง หึๆๆๆๆ”
เขานั่งลงครุ่นคิดอย่างตรึกตรอง “ไป๋เมากับธิดาสิงห์ต้องมีความเกี่ยวข้องกันแน่ๆ ไม่เช่นนั้นเทพพฤกษาคงไม่บ่ายเบี่ยงเลี่ยงคำถามข้าเช่นนี้หรอก ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่าทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันยังไง?”
แล้วจอมมารก็ออกไปตามหาธิดาสิงห์ด้วยตัวเอง
ทางด้านธิดาสาม เมื่อหนีออกจากตำหนักมารได้แล้วนางก็รีบไปซ่อนตัวในป่า “จอมมารต้องคิดว่าข้าคงมุ่งหน้ากลับแดนสิงห์เป็นแน่ เขาคงส่งทหารออกไปดักทางข้าแน่นอน แต่ข้าจะยังไม่กลับแดนสิงห์ในตอนนี้ ข้าจะรอจนกว่าพลังของข้าจะฟื้นคืนดังเดิมแล้วค่อยกลับแดนสิงห์น่าจะปลอดภัยกว่า”
เมื่อคิดได้แล้วธิดาสามก็หยิบมุกวิญญาณแมวออกมาจากถุงผ้า ใช้มุกวิญญาณแมวแปลงเป็นแมวป่า จากนั้นก็มุ่งหน้าไปในทิศทางตรงข้ามกับทิศที่จะกลับแดนสิงห์ ซึ่งทิศทางที่นางกำลังไปนั้นจะนำไปสู่แดนมนุษย์
เทพพฤกษาตามหาธิดาสามอย่างร้อนใจด้วยความเป็นห่วง
จอมมารตามหาธิดาสิงห์พร้อมทั้งสั่งทหารให้ดักเส้นทางที่จะกลับสู่แดนสิงห์ไว้ทุกทาง ระหว่างที่กำลังเหาะตามหานั้น พลัน! เขาก็ครุ่นคิดว่า “หากข้าเป็นธิดาสิงห์ข้าคงรีบมุ่งหน้ากลับแดนสิงห์ทันที นางจะต้องพบกับทหารของข้าอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากเป็นตัวข้าเองเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ ข้าคงไม่โง่พอที่จะพาตัวเองไปติดกับแน่ ข้าย่อมต้องหลอกล่อศัตรูให้หลงทางแล้วเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดหนีออกจากแดนมารเป็นแน่ จริงซิ…นางย่อมไม่รีบกลับแดนสิงห์เหมือนเช่นที่ข้าคิดหรอก”
แล้วเขาก็รีบวกกลับไปยังทิศทางตรงข้ามแทน
ธิดาสิงห์เดินลัดเลาะไปตามป่าเขา จนกระทั่งถึงลำธารสายหนึ่ง น้ำขุ่นแดงไม่อาจมองเห็นว่าลำธารลึกเท่าใด นางมองไปรอบๆ “ข้าจะข้ามลำธารนี่ยังไงดี?”
นางมองอีกฝั่ง “ระยะทางไม่ไกลมาก ถ้าข้าใช้เวทบุปผาก็น่าจะข้ามพ้น”
แล้วนางก็หยิบถุงใส่กลีบบุปผาออกมา รวบรวมพลังเทพน้อยนิด บังคับกลีบบุปผาให้ลอยรองฝ่าเท้า แล้วเดินข้ามลำธารไป เมื่อข้ามลำธารได้แล้วก็เก็บกลีบบุปผาพลางปาดเหงื่อบนใบหน้า “เฮ้อ…กว่าพลังข้าจะกลับคืนดังเดิม คงอีกหลายวัน ข้าจะต้องคอยหลบซ่อนดีๆไม่ให้ถูกจับได้อีกเด็ดขาด”
เสียงกระพือปีกดังแว่วมา ธิดาสามรีบก้าวไปหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ มองที่มาของเสียงแล้วก็เห็นปักษายักษ์ดำสนิทบินผ่านไป บนหลังปักษามีทหารมารนั่งอยู่ เมื่อปักษายักษ์บินไปแล้วนางก็ถอนหายใจ “เฮ้อ…ดีนะว่าหลบทัน”
จากนั้นนางก็รีบลัดเลาะไปตามใต้ต้นไม้ อาศัยต้นไม้ใหญ่บังสายตาจากเหล่าทหารมาร จนกระทั่งพ้นแนวเขตป่า นางมองมองไปรอบๆ อย่างครุ่นคิด “ดูท่าทางข้างหน้าคงเป็นทะเลทราย ไม่มีต้นไม้พอให้หลบได้เลย อากาศก็ร้อนนัก รอให้ค่ำก่อนแล้วค่อยเดินต่อไปดีกว่า”
นางกระโดดขึ้นไปนอนหมอบบนต้นไม้ใหญ่ใกล้ตัวแล้วก็นอนหลับไป
จอมมารเหาะไปเรื่อยๆ สายตาก็กวาดไปทั่วค้นหาธิดาสิงห์ จนกระทั่งถึงแนวเขตทะเลทราย เขาเหาะลงแนวชายป่า “จนป่านนี้ยังไร้วี่แววอยู่เลย หรือว่านางจะไม่ได้มาทางนี้ จริงซิ ข้างหน้ามีกองทหารของข้าตั้งค่ายอยู่ บางทีทหารกองนั้นอาจจะพอมีเบาะแสของนางบ้างหากนางผ่านมาทางนี้จริงๆ”
แล้วเขาก็เหาะตรงไปยังค่ายทหาร โดยไม่รู้เลยว่าคนที่เขาตามหาอยู่นั้นนอนหลับอยู่บนต้นไม้ห่างไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
เมื่อถึงค่ายทหารกลางทะเลทรายเขาก็เหาะลงไป
ทหารเห็นคนเหาะลงมาอย่างรวดเร็วก็จ้องมองอย่างระวังตัว หันดาบตั้งท่า “นั่นใคร?”
“ข้าเอง” จอมมารบอกแล้วก็รีบเดินไปอย่างร้อนใจ
“ท่านจอมมาร” ทหารรีบกุมมือคารวะ
“เจ้าพบเห็นธิดาสิงห์บ้างหรือไม่?” จอมมารรีบถาม
ทหารงุนงง “ธิดาสิงห์จะมาอยู่แถวนี้ได้อย่างไรพะย่ะค่ะ? ธิดาสิงห์ก็ต้องอยู่แดนสิงห์ซิพะย่ะค่ะ”
“ทหารยังไม่มาแจ้งข่าวอีกรึ? ทหารปักษาน่าจะกระจายข่าวแล้วนี่น่า”
“ทหารปักษาเพิ่งมาถึงเมื่อครู่พะย่ะค่ะ ตอนนี้กำลังคุยกับท่านนายพลอยู่ในกระโจมพะย่ะค่ะ”
จอมมารรีบเดินไปที่กระโจมใหญ่ ผ้าหน้ากระโจมเปิดออกพร้อมกับทหารปักษาและนายพลก้าวออกมาจากกระโจม
“ข้าจะรีบให้ทหารออกลาดตะเวนบริเวณนี้ทันที” นายพลพูดกับทหารปักษา แต่พอเห็นคนพรวดพราดเข้ามาก็ชะงักไป “ท่านจอมมาร!”
นายพลรีบกุมมือคารวะ “เสด็จมาถึงที่นี่เชียวหรือพะย่ะค่ะ?”
ทหารคนอื่นๆ รีบทำกุมมือคารวะตาม
“ข้ากำลังจะสั่งให้ทหารออกลาดตะเวนพะย่ะค่ะ” นายพลรีบกราบทูล
“ดี” จอมมารพยักหน้า
นายพลรีบตะโกนสั่งทหาร “พวกเจ้าทุกคนจงกระจายกำลังออกค้นหาธิดาสิงห์เร็วเข้า นางหนีออกมาจากตำหนักมาร หากใครพบนาง ท่านจอมมารจะตบรางวัลให้อย่างงาม”
“ขอรับ” ทหารรับคำสั่งแล้วก็แยกย้ายกันออกไปค้นหา
“เชิญท่านข้างในกระโจมเถิดพะย่ะค่ะ แดดร้อนนักพะย่ะค่ะ” นายพลผายมือเชื้อเชิญ
จอมมารพยักหน้า หันไปสั่ทหารปักษาว่า “เจ้าเร่งไปส่งข่าวเถอะ”
“พะย่ะค่ะ” ทหารปักษารับคำสั่งแล้วก็ค้อมตัวเดินไปหาปักษาดำซึ่งยืนรออยู่นอกค่าย
จอมมารก้าวเข้าไปในกระโจมแล้วนั่งที่เก้าอี้ นายพลรีบสั่งทหารหน้ากระโจมว่า “เจ้ารีบเอาเหล้าเอาอาหารมาเร็วเข้า”
“ขอรับ” ทหารรับคำสั่งแล้วก็รีบเดินไปยังกระโจมโรงครัว
นายพลเดินเข้าไปในกระโจม ยืนค้อมกายอย่างนอบน้อม “ข้าไม่รู้ว่าท่านจะเสด็จมาจึงไม่ได้เตรียมการต้อนรับพะย่ะค่ะ โปรดอภัยให้ข้าด้วยพะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องมากพิธีหรอก ได้ยินเจ้าสั่งทหารเมื่อกี้แสดงว่ายังไม่มีใครพบเห็นธิดาสิงห์เลยซินะ”
นายพลพยักหน้า “พะย่ะค่ะ
แล้วก็ถามว่า “ท่านจับธิดาสิงห์มา ไม่กลัวว่าพวกเทพจะยกทัพมาหรือพะย่ะค่ะ?”
“หากข้ากลัว ข้าคงไม่จับนางมาหรอก” จอมมารพูดอย่างโมโหนิดๆ “หากเจ้ากลัวตายก็กลับบ้านไปเสียก็ได้ ข้าจะได้หานายพลคนใหม่มาแทนเจ้า”
“ข้าขออภัยพะย่ะค่ะ” นายพลรีบหมอบกับพื้น “โปรดอย่างทรงกริ้วเลยพะย่ะค่ะ ข้าไม่ได้กลัวตายสักนิดพะย่ะค่ะ เพียงแต่ข้าสงสัยเท่านั้นว่าท่านจับธิดาสิงห์มาเพื่อการใดหรือพะย่ะค่ะ?”
จอมมารทำตาดุ
นายพลรีบหลบตาไม่กล้าถามต่อ
ทหารเปิดผ้าหน้ากระโจมเข้ามา
นายพลลอบถอนหายใจโล่งอกที่ทหารเข้ามาขัดจังหวะเหมือนระฆังช่วยชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
ทหารรีบยกอาหารไปวาง แล้วก็ออกไป
นายพลรีบลุกไปรินเหล้าให้ “เหล้าพะย่ะค่ะ”
จอมมารรับเหล้ามาดื่มแล้วก็โบกมือทำท่าว่าพอ “ไม่ต้องแล้ว ข้ายังไม่อยากเมาเสียก่อน”
“พะย่ะค่ะ ถ้าเช่นนั้นน้ำชาพะย่ะค่ะ”
จอมมารพยักหน้า นายพลรีบรินน้ำชาให้
“เอาล่ะ เจ้าคอยดูแลทหารให้ดี หากใครพบธิดาสิงห์ข้าจะมีรางวัลให้พวกเจ้าทุกคน” จอมมารพูดแล้วก็ลุกขึ้น
“จะเสด็จไหนหรือพะย่ะค่ะ?”
“ข้าจะออกไปตามหาธิดาสิงห์”
“นี่ก็ใกล้จะเย็นแล้วพะย่ะค่ะ ข้าว่าท่านควรอยู่ที่นี่ก่อนเถอะพะย่ะค่ะ แถวนี้ตอนกลางคืนอากาศหนาวจัดพะย่ะค่ะ อีกทั้งอสูรทะเลทรายก็กำลังจะออกหากินแล้วพะย่ะค่ะ” นายพลรีบรั้งเอาไว้
จอมมารชะงัก “จริงซิ ข้าลืมเรื่องอสูรทะเลทรายไปเสียสนิท”
นายพลพยักหน้า “ข้อตกลงระหว่างเผ่ามารกับอสูรทะเลทรายที่เคยตกลงกันว่าพวกมันจะไม่ทำร้ายพวกเราหากพวกเราตั้งค่ายในทะเลทราย แต่หากใครเที่ยวเพ่นพ่านออกนอกค่ายในตอนกลางคืนก็ถือว่าเป็นเหยื่อของพวกมัน”
จอมมารพยักหน้า “ใช่ ข้อตกลงตั้งแต่สมัยโบราณ หากเจ้าไม่เตือนข้าก็ลืมไปแล้ว”
“อีกสักพักพวกทหารก็คงจะกลับมาแล้วพะย่ะค่ะ วันนี้ลาดตระเวนไม่ได้มากเพราะกว่าทหารปักษาจะมาแจ้งข่าวก็เกือบเย็นแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะให้ทหารออกลาดตระเวนแต่เช้าพะย่ะค่ะ หากธิดาสิงห์ผ่านมาทางนี้ต้องเจอตัวแน่พะย่ะค่ะ” นายพลกราบทูลให้คลายกังวล
จอมมารถอยไปนั่ง “ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะหานางพบโดยเร็ว”
“พวกข้าจะหานางให้พบให้ได้พะย่ะค่ะ” นายพลรับคำหนักแน่น แล้วก็หันไปสั่งทหารว่า “พวกเจ้ารีบไปจัดกระโจมให้จอมมารเร็วเข้า”
“ขอรับ” ทหารรับคำสั่งแล้วก็เดินออกไป
จอมมารเดินออกไปมองดูทิวทัศน์โดยรอบ
ครู่ต่อมาทหารก็เดินมากราบทูลว่า “กระโจมของท่านกางเสร็จแล้วพะย่ะค่ะ”
จอมมารพยักหน้ารับรู้ “ขอบใจ”
แล้วเขาก็ไปดูกระโจมที่พักสำหรับคืนนี้ เขามองไปรอบๆ อย่างพอใจ จากนั้นก็โบกมือ “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
“พะย่ะค่ะ” ทหารเดินไปจุดคบไฟรอบๆ ค่ายพัก เพื่อป้องกันไม่ให้อสูรทะเลทรายหลงเข้ามาในค่าย
จอมมารยืนมองดวงตะวันค่อยๆ ลับขอบฟ้า…เจ้าอยู่ที่ไหนธิดาสิงห์? หวังว่าเจ้าคงยังหนีไปได้ไม่ไกลหรอกนะ
ด้านธิดาสิงห์ เมื่อตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาค่ำแล้ว นางลุกขึ้นนั่งมองไปรอบๆ “ค่ำมืดแล้วรึ?”
นางกระโดดลงจากต้นไม้ แล้วเดินออกไปมองท้องฟ้า มองตำแหน่งดวงดาวหาทิศทาง พอจับทิศทางได้แล้วก็เดินไปตามทิศทางที่ตั้งใจเอาไว้
นางเดินไปเรื่อยๆ ตาก็มองดูดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นระยะๆ เพื่อใช้ดวงดาวนำทาง
พลัน! ผืนทรายใต้ฝ่าเท้าก็สั่นสะเทือน นางชะงักกึก! หยุดเดินทันที แล้วนางก็รีบกระโดดขึ้นไป ทรายใต้ฝ่าเท้านูนขึ้นมาพร้อมกับงับเข้าหากันจนฝุ่นทรายฟุ้งกระจาย
“แค่กๆ” ธิดาสามไอสองสามที แล้วนางก็เห็นสัตว์ชนิดหนึ่งรูปร่างเหมือนไส้เดือนยักษ์พุ่งออกมาจากผืนทราย นางเกือบจะถูกไส้เดือนยักษ์ตัวนี้กินเข้าไปแล้ว ดีที่นางรีบกระโดดขึ้นได้ทัน ขณะที่นางกำลังจะลอยลงพื้น จู่ๆ ไส้เดือนยักษ์อีกตัวก็พุ่งออกมาจากผืนทราย อ้าปากรอให้นางตกลงไปในปากมัน นางจึงเรียกดาบเขี้ยวสิงห์ออกมา สะบัดดาบทีหนึ่ง ปราณดาบฟันใส่ไส้เดือนยักษ์ตัวนั้น ฉั๊วะ!
“กี๊ดดดดดด—” ไส้เดือนยักษ์ตัวนั้นร้องลั่น ปากขาดฉีกออกไปเป็นสองซีก เลือดสาดกระจาย ร่างบางกำลังจะตกลงไปบนตัวไส้เดือนยักษ์ตัวนั้น พลัน! ผืนทรายรอบๆ ก็นูนขึ้นมาดั่งดอกเห็ด ธิดาสิงห์รู้สึกถึงอันตรายที่เหมือนมีคมดาบจ่อลำคอทำให้นางฝืนใช้พลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ พริบตานั้นเองนางก็เห็นไส้เดือนนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาจากผืนทรายแล้วกลุ้มรุมกัดกินไส้เดือนตัวที่ถูกฟันเลือดสาด
“กี๊ดดดดดด—” เสียงร้องดังลั่น พริบตาเดียวไส้เดือนตัวนั้นก็ถูกกัดกินจนหมด ธิดาสามมองอย่างสยดสยอง นางเห็นไส้เดือนยักษ์เหล่านั้นยั้วเยี้ยอยู่เต็มไปหมดทำนางขนลุกชันไปทั้งตัว
หลังจากแย่งกันกินหมดแล้วไส้เดือนยักษ์ก็ชูหัวขึ้นมองเหยื่อที่ลอยอยู่กลางอากาศ บางตัวพุ่งขึ้นไปหมายงับเหยื่อตัวจ้อยในคำเดียว ธิดาสามฟันดาบอีกที ปราณดาบฟาดใส่ไส้เดือนยักษ์ตัวที่พุ่งขึ้นมา ไส้เดือนตัวนั้นหุบปากฉับ! ทำให้ปราณดาบฟันถูกผิวหนังอันแข็งแกร่งดั่งหินผา เคร้ง!
เสียงนั้นดังกังวานก้องไปไกล ไกลจนไปถึงค่ายทหารมารที่ตั้งค่ายอยู่กลางผืนทราย ทหารมารหูผึ่งทันที “หือ?”
ธิดาสามเห็นว่าปราณดาบของนางไม่อาจฟันหนังไส้เดือนยักษ์ให้ขาดได้นางจึงจับจุดอ่อนได้ว่าต้องฟันตอนมันอ้าปาก นางร่อนลงไปยืนบนผืนทรายข้างๆ ลำตัวของไส้เดือนยักษ์ตัวหนึ่ง ที่ต้องร่อนลงไปก็เพราะนางเพิ่งฟื้นฟูพลังเทพกลับคืนมาได้น้อยนิดนัก ไม่อาจลอยอยู่กลางอากาศได้นานนัก
ทันทีที่เท้าแตะผืนทราย ไส้เดือนยักษ์ฝูงนั้นก็หันขวับไปมองเหยื่อตัวจ้อยเป็นตาเดียว ธิดาสามตกเป็นเป้าสายตาของพวกมันชั่วอึดใจ พวกมันก็พุ่งลงมาหมายกัดกินในคำเดียว ธิดาสามรีบวิ่งหนีสุดชีวิตทันที ทำให้ไส้เดือนยักษ์เหล่านั้นพุ่งลงมาหัวชนกันโคร้ม!
พวกมันมึนไปชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ตัวอื่นๆ ที่อยู่รอบนอกก็จ้องมองเหยื่อตัวจ้อยที่กำลังวิ่งมาทางมัน มันรีบพุ่งเข้าใส่หมายจับกิน