Skip to content

สตรีน่าตาย 1

  • by

4 มีนาคม 2565

สตรีน่าตาย

Chapter 1

โจรบุกบ้าน!

ณ กองถ่ายละครเรื่องหนึ่ง หลินจื่อเซียน (林子仙) กำลังเตรียมตัวกลับบ้านหลังจากเลิกงานแล้ว หน้าที่ของเธอคือเป็นช่างแต่งหน้าในกองละคร ทีมงานคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกเธอว่า “เซียนเซียน วันนี้ทางกองมีเลี้ยงที่ร้าน………..นะ จะไปป่ะ?”

“พี่อวี้ บอกคนอื่นด้วย วันนี้ฉันมีคิวทำงานที่อื่นต่อน่ะ ขอโทษด้วยจริงๆ ไว้โอกาสหน้านะ” หลินจื่อเซียนยิ้มให้ทีมงานคนนั้นแล้วก็หยิบกระเป๋าเดินออกไป อวี้หรงมองตามจนหลินจื่อเซียนเดินลับไปแล้ว เธอก็พูดเบาๆ ว่า “บอส เธอออกไปแล้วค่ะ”

“อืม” เสียงทุ้มจากหูฟังไร้สายที่เสียบอยู่ในหูข้างหนึ่ง ดังคำหนึ่ง แล้วก็เงียบเสียงไป อวี้หรงจึงเดินออกจากห้องไป

หลินจื่อเซียนหิ้วกระเป๋าไปที่รถคันเล็กของเธอ เอากระเป๋าใส่ท้ายรถเสร็จแล้วก็ ขับรถมุ่งหน้าตรงกลับบ้าน อันที่จริงเธอไม่ได้มีคิวทำงานอีก เพียงแต่อยากจะรีบกลับบ้านเท่านั้นเองจึงได้บอกอวี้หรงไปอย่างนั้น เธอไม่อยากสานสัมพันธ์กับผู้คนมากนัก เพราะตัวเธอเองมีความลับที่ไม่อาจบอกใครได้ จึงระมัดระวังเรื่องการพบปะสังสรรค์กับผู้คนเอาไว้เสียหน่อย นอกจากต้องติดต่อกันในหน้าที่การงานแล้ว เธอก็แทบจะไม่ติดต่อกับใครอีกเลย

เมื่อถึงบ้าน หลินจื่อเซียนก็จอดรถไว้ในที่จอดรถแล้วหิ้วกระเป๋าเข้าบ้าน เธอกดรหัสประตูเปิดเข้าไป แล้วปิดประตู ดวงตายาวรีหรี่ลงเล็กน้อย สัญชาตญาณบางอย่างบอกเธอว่ามีสิ่งผิดปกติ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะทำอะไร บางสิ่งที่เย็นเฉียบก็จิ้มท้ายทอยเธอ พร้อมกับความรู้สึกว่ามีคนอยู่ข้างหลังเธอ เสียงทุ้มแหบต่ำดังขึ้น “อย่าร้อง อย่าคิดสู้ อย่าคิดหนี ไม่งั้นแม่แกตาย!”

หลินจื่อเซียนสูดลมหายใจเข้าปอดทีหนึ่ง พยักหน้าสองที คล้ายต้องการจะบอกคนที่อยู่ข้างหลังว่าเธอไม่คิดขัดขืน คนที่อยู่ข้างหลังจึงเอื้อมมือมาดึงกระเป๋าไปจากมือเธอ มีเสียงวางกระเป๋าไว้ที่ใดที่หนึ่ง ตามด้วยเสียงสั่ง “ยื่นมือมาข้างหลังช้าๆ นะ”

หลินจื่อเซียนยื่นมือข้างหนึ่งไปข้างหลัง เสียงดังคลิ๊กก็ดังขึ้น พร้อมกับความรู้สึกของโลหะเย็นๆ กระทบผิวข้อมือ คนข้างหลังสั่งอีกว่า “อีกข้างนึง”

หลินจื่อเซียนจึงยื่นมืออีกข้างไป ก็มีเสียงดังคลิ๊กอีกครั้ง เธอลองขยับแขนก็พบว่าถูกใส่กุญแจมือแล้ว สัมผัสที่ท้ายทอยถูกดึงออกไป แล้วต้นแขนเธอก็ถูกจับ ตัวหมุนไปเผชิญหน้ากับคนที่อยู่ข้างหลัง

“มานี่” คนๆนั้นจับแขนเธอลากให้เดินเข้าไปในห้องโถง เธอมองคนที่ลากเธอ เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ใส่เสื้อผ้ากระชับทะมัดทะแมง หน้าตาไม่จัดว่าหล่อ อายุราว 30 กว่า เมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องโถงเล็กๆ ก็เห็นแม่นั่งอยู่ที่โซฟา มือไพล่หลัง คาดว่าคงถูกใส่กุญแจมือเช่นกัน มีผู้ชายหลายคนยืนบ้างนั่งบ้าง ถือปืนกันทุกคน รายล้อมแม่เธอเอาไว้

“มาแล้วรึ ทีนี้คงบอกได้ซักที ยาอยู่ไหน?” เซี่ยจื่อเย่ (谢子乐) ซึ่งนั่งหันหลัง ท่าทางว่าจะเป็นหัวหน้าของคนทั้งหมด พูดขึ้น หลินจือหยี (林姿妤) ส่ายหน้า “ยาอะไร? พวกแกเป็นแก๊งค้ายาก็ไปบ้านท้ายซอยซิ พวกแกเข้าผิดบ้านแล้ว”

“ปากแข็งนักนะด็อกเตอร์” เซี่ยจื่อเย่พูดขึ้น หลินจือหยียังมีสีหน้าเช่นเดิม แต่ในนัยน์ตาส่วนลึกตื่นตระหนกขึ้นมา หรือว่าพวกมัน…

“คุณคิดว่าเปลี่ยนชื่อแซ่แล้ว หลบซ่อนตัวอย่างดีจะหนีพ้นรึ หึ!” เซี่ยจื่อเย่แค่นเสียงคำหนึ่ง หันไปสั่งลูกน้องว่า “พามานี่”

“ครับ” ลูกน้องรับคำแล้วผลักหลินจื่อเซียนไปข้างหน้า หลินจื่อเซียนเซตามแรงผลักไปล้มลงข้างโซฟา “โอ๊ย!”

เธอมองดูคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามแม่ของเธอ คนๆนั้น เป็นผู้ชายหน้าตาจัดว่าหล่อเหลาพอจะเป็นดารานายแบบได้สบายๆ

แต่ดวงตาเย็นชาแฝงความโหดเหี้ยม ทำให้ความหล่อลดลงไปหลายส่วน เธอเปิดปากถาม “พวกคุณเป็นใคร? ต้องการอะไร? บ้านฉันไม่รวยหรอกนะ อยากได้อะไรก็เอาไปซิ เอาไปแล้วก็รีบๆ ออกจากบ้านฉันไปซะ”

“หึ! คิดว่าฉันอยากจะได้ของกระจอกๆ พรรค์นี้รึ” เซี่ยจื่อเย่แค่นเสียงดูถูกดูแคลน ปรายตามองหลินจื่อเซียนทีหนึ่งแล้วเบนสายตาไปจ้องหลินจือหยี พูดว่า “ถ้าไม่อยากให้ลูกตาย ก็เอายามา”

“ไม่มียา” หลินจือหยีปฏิเสธอีกครั้ง “อยากได้ยา ต้องไปบ้านท้ายซอยนู้น”

“ยาพรรค์นั้นจะเอามาทำไม” เซี่ยจื่อเย่พูดอย่างดูแคลน “ที่ฉันต้องการคือยาเพิ่มสมรรถภาพร่างกายที่ด็อกเตอร์คิดค้นต่างหาก ถ้าด็อกเตอร์ยอมมอบให้ดีๆ ฉันก็จะไม่ทำอะไรด็อกเตอร์กับลูก แต่ถ้าไม่…”

เซี่ยจื่อเย่หยุดพูด หลินจื่อเซียนพูดว่า “ด็อกเตอร์อะไร? แม่ฉันเป็นแค่แม่บ้านธรรมดาๆ เท่านั้น แกอยากได้ยาไวอาก้าก็ไปซื้อที่ร้านขายยาซิ”

“หึ ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ไม่เห็นเลือดคงไม่ยอมบอกซินะ” เซี่ยจื่อเย่พูดน้ำเสียงเย็นชา “เฮ้ย เอายานั่นมาฉีดให้นังนี่หน่อย”

“ครับ” ลูกน้องคนหนึ่งรับคำสั่ง แล้วก็ล้วงกล่องเล็กๆ ออกมา เปิดฝากล่องออก ภายในกล่องมีขวดแก้วเล็กๆ สองขวด กับเข็มฉีดยาเล็กๆ 2 อัน แล้วเขาก็หยิบเข็มฉีดยามาดูดยาจากหลอดแล้วขยับไปหาหลินจื่อเซียน หลินจื่อเซียนกระถดตัวหนีทันที “อย่านะ! อย่าเข้ามานะ!”

“อย่าทำอะไรลูกฉันนะ!” หลินจือหยีลุกขึ้น แต่ก็ถูกชายที่ยืนอยู่ข้างหลังกดไหล่เอาไว้

“ถ้ายังไม่ยอมบอก ด็อกเตอร์ได้ดูลูกสาวโชว์หนังสดแน่!” เซี่ยจื่อเย่พูดอย่างเหี้ยมเกรียม หลินจือหยีกับหลินจื่อเซียนเข้าใจทันทีว่ายาที่อยู่ในเข็มคือยาอะไร ลูกน้องก้าวไปคว้าต้นแขนหลินจื่อเซียนไว้แน่น ก้มลงจะจิ้มเข็ม หลินจือหยีจึงตะโกนว่า “ฉันยอมแล้ว! อย่าทำอะไรลูกฉัน”

“หึ! ก็แค่นี้” เซี่ยจื่อเย่แค่นเสียง ลูกน้องที่กำลังจะฉีดยาก็ชะงักหันไปมองหัวหน้า พอเห็นหัวหน้าใช้สายตาสั่งจึงยืดตัวขึ้น ยืนอยู่ข้างๆ หลินจื่อเซียน หลินจือหยีสะบัดไหล่ให้หลุดจากการจับยึด ลูกน้องข้างหลังก็ปล่อย หลินจือหยีจึงลุกขึ้นยืน พูดว่า “ไขกุญแจมือด้วย”

ลูกน้องมองหัวหน้า เซี่ยจื่อเย่ก็พยักหน้า ลูกน้องจึงไขกุญแจมือให้หลินจือหยี เมื่อมือเป็นอิสระหลินจือหยีจึงกุมรอบๆ ข้อมือตัวเอง นวดคลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปทางห้องเก็บของใต้บันได เซี่ยจื่อเย่ก็ลุกขึ้นมา เดินตามหลินจือหยีไป พลางสั่งลูกน้อง “พามันตามมา”

ลูกน้องจึงฉุดหลินจื่อเซียนให้ลุกขึ้น พาเดินตามหัวหน้าไป หลินจือหยีเปิดห้องเก็บของ แสงไฟในห้องก็สว่างขึ้นโดยอัตโนมัติ เธอเหลือบมองไปข้างหลังเห็นคนพวกนั้นเดินตามมา พร้อมกับลูกสาวตัวเอง ในหัวก็แอบวางแผนการบางอย่างเงียบๆ เธอยื่นมือไปกดสวิตท์บนผนัง ตู้เก็บของในห้องก็เลื่อนออกอย่างแผ่วเบา ครืนนนน

เผยให้เห็นช่องประตู มีบันไดลงไปใต้พื้น ซึ่งเป็นห้องลับที่แอบซ่อนเอาไว้อย่างดี เซี่ยจื่อเย่ตาวาววับเมื่อเห็นห้องลับที่ซ่อนอยู่ใต้พื้น เร่งว่า “เร็วซิ”

หลินจือหยีจึงเดินนำลงไป แสงไฟก็สว่างอัตโนมัติ เธอเดินลงบันไดไป เซี่ยจื่อเย่ก็เดินตามไปติดๆ ลูกน้องข้างหลังก็ดึงหลินจื่อเซียนเดินตามลงไป ลูกน้องอีกสี่คนก็เดินตามลงไป ส่วนคนที่เหลืออีกห้าคนก็คอยคุมเชิงอยู่

ห้องลับ ขนาด 16 ตารางเมตร มีตู้มีชั้นเก็บของตั้งติดผนังทั้งสี่ด้าน อากาศภายในห้องเย็นฉ่ำด้วยแอร์ที่เปิดเอาไว้เพื่อรักษาอุณหภูมิภายในห้องที่จะส่งผลกระทบกับสสารที่เก็บเอาไว้ในห้อง ใกล้ๆ ผนังด้านหนึ่งมีเตียงที่เหมือนกับเตียงของโรงพยาบาลตั้งอยู่ บนเตียงมีชายคนหนึ่งนอนอยู่ มีสายอ๊อกซีเจนครอบอยู่บนจมูกชายคนนั้น มีสายน้ำเกลือแทงอยู่ที่แขน ชายคนนี้คือพ่อของหลินจื่อเซียน หลินยี่จื่อ (林裕梓) เขาได้รับบาดเจ็บหนักเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เป็นเหตุให้หลินจือหยีลงทุนคิดค้นยาที่จะทำให้เขาฟื้นขึ้นมา ยานั้นก็คือยาเพิ่มสมรรถภาพร่างกาย ยาที่จะช่วยทำให้สามีของเธอฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง บาดแผลในครั้งนั้นหายดีหมดแล้ว แต่เขายังไม่ฟื้นขึ้นมา ยังนอนเป็นเจ้าชายนิทรา ทำให้หลินจือหยีพยายามคิดหาหนทางทุกอย่างที่จะทำให้สามีฟื้นขึ้นมาให้ได้

เมื่อหลินจือหยีเห็นสามี ดวงตาก็ฉายแววอ่อนโยนออกมา ขยับจะไปลูบหน้าเขาเหมือนเช่นเคย เซี่ยจื่อเย่ก็เร่งว่า “ยา”

หลินจือหยีจึงเดินไปเปิดตู้เย็นซึ่งเก็บยาไว้หลากหลายชนิด หยิบหลอดยาซึ่งมีน้ำยาสีแดงอยู่ภายในหลอดออกมาจากตู้เย็น “ยาที่คุณต้องการ”

เซี่ยจื่อเย่เดินเข้าไปรับหลอดยามามองดู “จะแน่ใจได้ไงว่านี่คือยาเพิ่มสมรรถภาพร่างกายจริงๆ ?”

“ก็ลองกินเองซิ” หลินจือหยีพูด เซี่ยจื่อเย่หรี่ตามอง แล้วเปิดฝาปิดออก เขาหันหลังพุ่งไปหาหลินจื่อเซียน จับคางเธอแล้วบีบปากให้อ้าออก

“โอ๊ย!” หลินจื่อเซียนร้องด้วยความเจ็บ อ้าปากออก ก็พลันถูกกรอกน้ำยาสีแดงใส่ปากจนหมดหลอด เธอตกใจจะบ้วนทิ้ง แต่ก็ถูกปิดปากแน่นจนต้องกลืนยาลงไป

“นี่!” หลินจือหยีตกใจจนอ้าปากค้าง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก

เมื่อเซี่ยจื่อเย่เห็นว่าหลินจื่อเซียนกลืนยาลงไปแล้ว ก็ปล่อยมือ แล้วหันไปมองหลินจือหยีที่ยืนตะลึงอยู่ “ถ้ามันเป็นยาเพิ่มสมรรถภาพร่างกายจริงๆ ลูกสาวด็อกเตอร์ก็จะไม่เป็นอะไร แต่ถ้ามันไม่ใช่…ก็ช่วยไม่ได้”

เขายักไหล่อย่างเหี้ยมโหด “ถึงลูกสาวด็อกเตอร์จะตายไปก็ไม่เป็นไร ยังมีไอ้แก่นั่นที่จะใช้บังคับให้ด็อกเตอร์สร้างยาขึ้นมาใหม่”

นิ้วเขาชี้ไปที่ร่างของหลินยี่จื่อ หลินจือหยีกำมือแน่น จิกเล็บจนเข้าเนื้อ เธอก็คิดไว้อยู่แล้วว่าพวกมันคงไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ แน่หลังจากที่ได้ยาไปแล้ว

“โอย…” หลินจื่อเซียนร้องออกมาคำหนึ่ง ร่างกายสั่นสะท้าน รู้สึกเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวจนเข่าทั้งสองข้างทรุดลงกับพื้น หลินจือหยีรีบเดินไปดูอาการลูกสาว “เซียนเอ๋อร์…”

“มะ…แม่” หลินจื่อเซียนเรียกเสียงตะกุกตะกัก รู้สึกหนาวจนปากสั่น ตัวสั่น ครู่ต่อมาก็รู้สึกร้อนจนตัวสั่น เหงื่อโทรมกายจนเสื้อเปียกชุ่ม หลินจือหยีจึงพยุงลูกให้ลุกขึ้น “มาๆ ให้น้ำเกลือก่อนนะ”

เธอพยุงลูกไปข้างเตียงสามี เซี่ยจื่อเย่มองดู ไม่ได้ห้ามปราม เพราะห้องนี้ไม่มีทางออกอื่น นอกจากประตูที่เข้ามา แค่ผู้หญิงสองคนจะหนีไปไหนได้ อีกอย่างนังด็อกเตอร์นี่ก็ไม่กล้าทิ้งสามีไปหรอก

ระหว่างที่พยุงลูกไปข้างเตียง หลินจือหยีก็แอบเขียนอักษรบนผิวลูกเป็นคำว่า ‘หนี’

หลินจื่อเซียนเข้าใจแผนการของแม่เป็นอย่างดี เธอจึงพยายามฝืนเดินไปที่เตียงพ่อ เมื่อถึงเตียงเธอก็โถมตัวลงล้มอยู่ข้างๆ พ่อ กุญแจมือหลุดกระเด็นไปแล้ว เธอโอบพ่อเอาไว้ แขนอีกข้างโอบเอวแม่ไว้แน่น เธอพยายามข่มความเจ็บปวดจากยาลงไป แล้วฝืนจั๊ม*ทันที

(จั๊ม ย่อมาจากคำว่า Jumper หมายถึงคนที่มีพลังกระโดดเคลื่อนย้ายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวบุคคล)

พลัน! สามคนพ่อแม่ลูกก็หายไป เหลือเพียงรอยแตกกลางอากาศที่คล้ายกระจกร้าวอยู่บนอากาศ เสาน้ำเกลือ เครื่องให้อ๊อกซีเจนหายวับไปด้วย เหลือเพียงเตียงว่างเปล่าเท่านั้น

เซี่ยจื่อเย่กับพวกลูกน้องตกใจจนอ้าปากค้าง ฉับพลันนั้นเองเซี่ยจื่อเย่ก็คว้าเข็มฉีดยาในมือลูกน้องขว้างเข้าไปตรงรอยร้าวกลางอากาศ เข็มพุ่งผ่านไป หายเข้าไปในรอยร้าว ก่อนที่รอยร้าวนั้นจะจางหายไป

“เชี่ยเอ้ย!” เซี่ยจื่อเย่สถบออกมา “มันเป็นจั๊มเปอร์!”

เขาจ้องมองเหนือเตียง ตาดุดันวาววับเหี้ยมโหด แล้วหันไปสั่งลูกน้องว่า “หาตัวพวกมันมาให้ได้ ตามไอ้พวกด็อกเตอร์มาดูยาในห้องนี้”

“ครับ” ลูกน้องรับคำสั่งแผ่วเบา สติสะตังยังไม่กลับดี เคยได้ยินว่ามีคนบางคนที่มีพลังพิเศษ ซึ่งในองค์กรก็เลี้ยงคนพวกนี้เอาไว้ แต่พวกจั๊มเปอร์นั้นหาได้ยากมาก มีน้อยยิ่งกว่าหานางเงือกในมหาสมุทรซะอีก

ขณะที่จั๊มไปนั้น หลินจื่อเซียนก็รู้สึกเจ็บหลัง คล้ายถูกอะไรปักยังไงอย่างงั้น เธอไม่ได้สนใจมันเพราะสองแขนนั้นกำลังโอบพ่อกับแม่เอาไว้ แต่เพราะสภาพร่างกายเธอที่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ความเจ็บปวดทั่วร่างก็พุ่งทะยานไม่หยุดราวกับร่างกายถูกเฉือนเป็นหมื่นเป็นแสนชิ้นในคราวเดียว ทำให้อากาศรอบๆ ตัวขณะที่จั๊มผันผวนหนักมาก ห้วงอากาศรอบตัวหมุนรุนแรงราวพายุโทนาโด

พลัน! พายุโทนาโดนั้นก็พัดสามคนพ่อแม่ลูกกระเด็นออกจากกัน หลินจื่อเซียนตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น “แม่! พ่อ!”

เธอพยายามตะเกียดตะกายจะไปคว้าพ่อกับแม่กลับมา แต่พายุนั้นก็พัดเธอห่างจากพ่อกับแม่ไปไกลจนเกินไขว่คว้า หลินจือหยีก็ตกใจมาก เธอคว้าสามีไว้ได้ กอดเขาเอาไว้แน่นด้วยแขนข้างหนึ่ง แล้วพยายามจะตะเกียดตะกายไปหาลูกสาว แต่แล้วเธอก็รู้สึกว่าถูกพายุพัดห่างจากลูกไปเรื่อยๆ

“เซียนเอ๋อร์…” เธอตะโกนเรียกลูกดังลั่น เธอกับสามีถูกพายุพัดจนตัวหมุนติ้วๆ จนในที่สุดสติก็ดับวูบไป

หลินจื่อเซียนก็ถูกพายุพัด ความเจ็บปวดทั่วร่างกายยิ่งปะทะขึ้นจนสุดจะทานทนไหว ในที่สุดเธอก็หมดสติไป

หลังจากสามคนพ่อแม่ลูกหนีไปแล้ว เซี่ยจื่อเย่รออยู่ไม่นานเท่าไหร่ ทีมนักวิจัยขององค์กรก็มาถึง พวกทีมวิจัยก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงมาก รีบพากันขนอุปกรณ์มาตรวจสอบยา ตรวจสอบสสารภายในห้องลับอย่างละเอียด ส่วนเซี่ยจื่อเย่ก็ขึ้นไปนั่งรออยู่ข้างบน

ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ในที่สุดทีมวิจัยก็ตรวจสอบสสารในห้องลับทั้งหมดแล้ว จากนั้นหัวหน้าทีมก็เดินไปรายงานเซี่ยจื่อเย่ว่า “ไม่มียาเลยครับคุณชาย”

เซี่ยจื่อเย่เงยหน้ามองหัวหน้าทีมวิจัยตาขุ่นขวางอย่างไม่พอใจ จนหัวหน้ารู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ ขนลุกซู่ๆ เซี่ยจื่อเย่ลุกขึ้น สั่งเสียงต่ำว่า “เผาที่นี่ซะ”

จากนั้นเขาก็เดินจากไป บรรดาลูกน้องเมื่อได้ยินคำสั่งก็รีบปฏิบัติตามอย่างฉับไว ทีมนักวิจัยก็รีบถอนตัวกลับไป

หลินจื่อเซียนลืมตาขึ้นมา ร่างกายปวดร้าวไปหมดราวกับไปนอนให้รถไฟทั้งขบวนทับร่างยังไงอย่างงั้น “โอย…”

เธอมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าตัวเองอยู่ในห้องๆ หนึ่ง ห้องกว้างโล่ง มีเพียงเตียงที่วิจิตรงดงามตั้งอยู่กลางห้องหลังหนึ่ง บนเตียงมีคนนอนอยู่ เธอหรี่ตาลง “ใคร?”

ด้วยความสงสัยเธอจึงพยายามยันตัวลุกขึ้น ค่อยๆ ก้าวไปที่เตียงหลังนั้น คนๆนั้นเป็นผู้ชาย ผิวขาวราวหิมะตัดกับเสื้อผ้าสีดำจนผิวยิ่งขาวเด่นขึ้นมา คนๆนั้นนอนหลับตา มือประสานอยู่บนท้อง หลินจื่อเซียนเดินไปจนชิดเตียง ก้มลงมองดูชายคนนั้น หลุดอุทานออกมา “หล่อมาก!”

เธอทำงานในวงการย่อมเห็นคนหล่อมาไม่น้อย แต่ไม่มีใครหล่อเท่าคนๆนี้ เขาเหมือนรวมความงดงามระหว่างชายหญิงเอาไว้อย่างลงตัว จะว่าหล่อเหลาดุดันก็ไม่ได้ จะว่าอ่อนหวานเหมือนผู้หญิงก็พูดไม่ถูก สรุปว่าเป็นผู้ชายที่หล่อมาก น่าให้แม่มาขอจริงๆ

พอคิดมาถึงตรงนี้เธอก็สะดุ้งโหย่ง! คิดบ้าอะไรห๊ะ!? ทำยังกะอดอยากไม่เคยเห็นผู้ชายงั้นแหละ เธอด่าตัวเองในใจ รู้สึกเจ็บๆ แปล๊บๆ ที่กลางหลังจึงเอื้อมมือไปจับ แล้วเธอก็ดึงสิ่งที่ปักหลังออกมาดู เป็นเข็มฉีดยาอันหนึ่ง เธอเบิกตาโต “เข็มนั่น! ยานั่น!”

เธอตกใจมาก ความรู้สึกวาบหวามที่รู้สึกอยู่เมื่อครู่ยิ่งพุ่งทะยานขึ้นมา ยาปลุกเซ็กส์เริ่มออกฤทธิ์มาสักพักแล้ว เธอสถบลั่น “เวรเอ้ย!”

ถ้ายังอยู่ในบ้าน เธอก็ยังพอจะทำยาแก้ได้อยู่หรอก แต่ตอนนี้อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มองไปรอบๆ ห้องๆ นี้ก็ไม่มีประตูหน้าต่างสักบาน แล้วเธอจะออกไปยังไงล่ะ จะจั๊มออกไปเธอก็จั๊มไม่ได้เพราะความเจ็บปวดทั่วร่างยังไม่ทุเลาเลยสักนิด เท่าที่ฝืนยืนอยู่นี่ก็สุดกำลังแล้ว จนในที่สุดเธอก็ฝืนยืนต่อไปไม่ไหว เข่าค่อยๆ รูดลงไปกองกับพื้น ทั้งความเจ็บปวดจากฤทธิ์ยาเพิ่มสมรรถภาพร่างกายผสมกับฤทธิ์ยาปลุกเซ็กส์ทำให้เธอได้แต่คู้ตัวลงนอนขดกับพื้น สองแขนกอดตัวเองแน่น

ฤทธิ์ยาปลุกเซ็กส์ยิ่งพุ่งทะยานทำให้เนื้อตัวเธอเต้นยุบยิบจนเธอต้องลูบ ต้องบีบ ต้องเค้น อาการยุบยิบจึงค่อยบรรเทาลงไปเล็กน้อย แต่ก็แค่เล็กน้อยจริงๆ ใจเธอเต้นระส่ำ มือลูบไปตามเนื้อตัว หวังจะคลายอาการยุบยิบ ในใจก็ภาวนาขออย่าให้ผู้ชายบนเตียงตื่นขึ้นมาตอนนี้เลย ไม่งั้นเธอได้อายขายขี้หน้าแน่ อีกทั้งไม่รู้จะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดยังไงดี แต่เธอทั้งลูบ ทั้งบีบ ทั้งเค้นแล้ว อาการยุบยิบก็ยังไม่บรรเทาสักที มีแต่จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเธอก็ปลดกระดุม รูดซิบ ล้วงมือเข้าไปในกางเกง จัดการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง

เธอสำเร็จความใคร่ไปหลายรอบแล้ว แต่อาการยุบยิบก็ยังไม่บรรเทาจนเธอสถบออกมา “เชี่ยเอ้ย! ยาอะไรของมันวะ!?”

เธอพยายามคิดหาวิธีทำลายฤทธิ์ยาจนหัวหมุน แต่ก็คิดไม่ออก ทั้งความเจ็บปวดทั่วร่างก็รุมเร้าไม่หยุดไม่หย่อน อาการยุบยิบก็ไม่ทุเลาบรรเทาเบาบาง จนในที่สุดเธอก็พยายามยันตัวขึ้นมา โผขึ้นไปบนเตียง ขึ้นคร่อมชายที่นอนหลับอยู่บนเตียง ยื่นมือไปลูบกลางลำตัวเขา พอลูบคลำรู้ขนาดเธอก็อุทานออกมา “ใหญ่มาก!”

เธอเหลือบตามองหน้าเขา เห็นเขายังหลับตาราวกับเป็นเจ้าชายนิทรายังไงอย่างงั้น ไม่มีท่าทีว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาเลย ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่อย่างเดิม ถ้าไม่ใช่เพราะอุณหภูมิที่อุ่นร้อนจากร่างเขา เธออาจจะคิดว่าเขาเป็นศพๆหนึ่งล่ะมั้ง แต่ตอนนี้เธอคิดวิธีสลายฤทธิ์ยาปลุกเซ็กส์ได้วิธีหนึ่ง นั่นก็คือ กินน้ำอสุจิ

เมื่อคิดแล้ว เธอก็ลงมือทำทันที เธอแหวกเสื้อคลุมตัวยาวของเขาออก ใต้เสื้อคลุมมีกางเกงสีดำ เธอรีบแก้เชือกผูกกางเกงออก แล้วดึงกางเกงลง ใต้กางเกงไม่มีกางเกงใน น้องชายเขาจึงปรากฏแก่สายตาของเธอ ขาวละมุนน่าเลีย บ้าเอ้ย! คิดอะไรวะ!

ตรงนั้นของเขาไม่มีขนหยาบรกรุงรังเหมือนอย่างที่เธอเคยเห็นจากผู้ชายคนอื่นๆ เขามีไข่สองใบอยู่ตรงโคน ไข่ก็ขาวละมุน เธอมองแล้วก็จับเครื่องเพศของเขาลูบไปลูบมา แล้วกำรูด แรกเริ่มหนักเบาพอประมาณ จนน้องชายเขาขยายตัวขึ้น เธอยิ่งเพิ่มน้ำหนักจังหวะในการกำรูดเร็วขึ้น…เร็วขึ้น เธอรูดจนเมื่อยมือ เขาก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเสร็จ จนเธอต้องเปลี่ยนมือ แล้วลองใช้ปากอมเหมือนอย่างที่เคยเห็นในคลิป 18+ ทั้งหลาย เธอทำทั้งน้ำตาหลั่งไหลในใจ ฮือๆๆๆ ปากเธอเสียความบริสุทธิ์แล้ว! มือเธอก็เสียความบริสุทธิ์แล้ว เพราะไอ้ยาบ้านั่นทีเดียว!

ทำเธออยากฆ่าคนคิดค้นยาตัวนี้นัก!

เธอทั้งรูด ทั้งอม จนในที่สุดน้องชายเขาก็ปล่อยน้ำอสุจิออกมา เธอจึงกลืนน้ำอสุจิไปจนหมด น้ำเขาหวานๆ มีกลิ่นหอมๆ อ่อนๆ จนเธอนึกแปลกใจ เพราะเท่าที่เคยได้ยินมา เขาว่ากันว่าน้ำอสุจิมักจะมีกลิ่นคาวๆ ไม่ใช่เหรอ แต่นี่น้ำของเขากลับมีกลิ่นหอมอ่อนๆ รสก็หวานๆ ทำให้เธอไม่รู้สึกฝืนใจที่จะต้องกลืนลงไปเลยสักนิด จริงซิ ตั้งแต่ตอนที่เธอเริ่มอมแล้ว เธอก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จึงทำให้เธอ อมได้อย่างไม่รังเกียจ เธอเลียไปทั่วส่วนหัวจนไม่มีน้ำหลงเหลือแล้วจึงถอนปากออก เหลือบมองหน้าเขา ก็ยังเห็นเขานอนนิ่งดังเดิม

“หรือจะเป็นเจ้าชายนิทราเหมือนพ่อ?” เธอคิด มองจ้องใบหน้าแสนงาม แต่อาการยุบยิบทั่วตัวก็ยังไม่บรรเทาลง จนเธอต้องลงไปนอนคู้อยู่ข้างๆ เขา เธอไม่รู้ว่าเธอนอนดิ้นยุกยิกอยู่นานเท่าไหร่ ในที่สุดอาการยุบยิบทั่วตัวก็คลายไป เหลือเพียงอาการเจ็บปวดจากฤทธิ์ยาเพิ่มสมรรถภาพร่างกาย ยาหลอดนั้นเธอเคยลองกินไปแค่ไม่กี่ซีซีเท่านั้น ตอนนั้นก็เกิดผลข้างเคียงเจ็บปวดเนื้อตัว แต่ไม่มากเท่าครั้งนี้

หลังจากกินยาไปแล้วทำให้ประสาทสัมผัสของเธอดีขึ้น หูได้ยินเสียงไวขึ้น แม้แต่เสียงมดเดินเธอยังได้ยินเลย จมูกก็ได้กลิ่นไวขึ้นด้วย สายตาก็เห็นได้ดีขึ้น เห็นได้ไกลขึ้น แม้ในที่มืดๆ เธอยังมองเห็นรางๆ เลย แต่คราวนี้เธอถูกบังคับให้กลืนยาทั้งหลอด ความเจ็บปวดจึงทวีคูณมากกว่าครั้งนั้นเป็นไหนๆ แม่กับเธอพยายามที่จะปรับปรุงยาไม่ให้มีอาการข้างเคียง แต่ก็ยังปรับปรุงไม่สำเร็จ จนกระทั่งไอ้พวกเลวนั่นมา!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version