Skip to content

สตรีน่าตาย 2

  • by

Chapter 2

“อา…นี่เจ้าเป็นปีศาจจากไหนกัน?”

คอยดูเถอะ เธอจะสนองพวกมันคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่าเลยทีเดียว!

เธอนอนอยู่ข้างๆ ชายสุดหล่อนานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าเมื่อเธอลืมตาตื่นขึ้นมา อาการเจ็บปวดปางตายทั่วร่างก็หายไปแล้ว ประสาทสัมผัสดียิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ดีจนเธอได้ยินเสียงหัวใจของชายคนนี้ดัง ตึกๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ดังราวกับเธอเอาหูไปแนบกับอกเขายังไงอย่างงั้น เธอหันไปมองชายข้างกาย เขายังหลับอยู่เช่นเดิม เสียงหัวใจก็ยังดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอเช่นเดิม เธอยื่นมือไปเขย่าแขนเขา “เฮ้ๆ”

ไร้การตอบสนองใดๆ เขายังนอนนิ่งเป็นเจ้าชายนิทราอยู่อย่างนั้น เธอดึงมือกลับมา ยันตัวลุกขึ้นนั่ง เธอรู้สึกว่าร่างกายเธอกระปรี้กระเปร่ามาก เหมือนกับได้ชาร์ทแบตจนเต็มเปี่ยมยังไงอย่างงั้น เธอมองไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วลองจั๊ม พริบตาเดียวตัวเธอก็หายวับไปปรากฏอยู่ตรงจุดที่เธอมอง เธอหันกลับไปมองที่เตียง กลางอากาศเหนือเตียงไม่ปรากฏรอยแตกร้าวของการจั๊มแม้แต่รอยเดียว สิ่งนี้ทำเธอดีใจจนแทบกระโดดแล้ว เธอจั๊มได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว เป็นสุดยอดจั๊มเปอร์แล้ว เธอหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆๆๆ”

ยิ้มจนปากแทบจะฉีกถึงหูได้ แล้วเธอก็ลองจั๊มอีกหลายครั้ง ตรงจุดที่เธอหายตัวไป ไม่มีรอยแตกร้าวของอากาศแม้แต่รอยเดียว! อา…ดีจริงๆ ต่อไปนี้ไอ้พวกที่คอยตามล่าจั๊มเปอร์ก็ไม่อาจตามรอยเธอได้เด็ดขาด

เมื่อความดีใจสงบลง เธอจึงเดินไปรอบๆ ห้องใหญ่ที่ผนังเป็นหินเรียงต่อๆ กัน คล้ายสถาปัตยกรรมโบราณ เธอลองเคาะผนังดู ฟังเสียงแล้วตันทึบ บ่งบอกว่าเป็นหินก้อนใหญ่ที่มีความหนาอย่างน้อยก็เกิน 30 เซนติเมตร เธอขมวดคิ้วนิดหนึ่ง แล้วเดินกลับไปที่เตียงกลางห้อง มองดูเจ้าชายนิทราคนนั้น เขาช่างหล่อเหลางดงามกระชากใจมาก น่าเสียดายที่ต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทราแบบนี้

ยิ่งมองเธอก็ยิ่งเสียดาย จึงก้มลงไปจูบหน้าผากเขาทีหนึ่ง อวยพรว่า “ฟื้นไวๆ นะคุณรูปหล่อ”

เธอยืดตัวขึ้น สายตาก็เหลือบไปเห็นตู้เล็กๆ อยู่ข้างหัวเตียง ตัวตู้เป็นไม้สีเข้ม ส่งกลิ่นหอมจางๆ ออกมา ดูจากลักษณะเนื้อไม้แล้ว น่าจะเป็นพวกไม้หอมอย่างกฤษณาหรือไม่ก็ไม้จันทร์หอม แต่กลิ่นที่โชยออกมาจากเนื้อไม้กลับไม่ใช่กฤษณาหรือว่าจันทร์หอม แต่จะเป็นไม้อะไรก็ช่างมันเถอะ สิ่งที่เธอสนใจคือในตู้นี้มีอะไร?

เธอยื่นมือไปเปิดตู้ พลันก็ปรากฏวงอักขระสีขาวขึ้นมา

“เฮ้ย!” เธอตกใจ รีบดึงมือกลับทันที ถอยหลังไปสามก้าวตามสัญชาตญาณ วงอักขระสีขาวนั้นดูคล้ายกับเป็นยันต์ที่พวกพ่อมดหมอผีใช้กัน แต่อักขระแบบนี้เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้จักแม้แต่น้อย เธอมองดูอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าเจ้าสิ่งนี้นอกจากจะปรากฏขึ้นมา ก็ไม่มีอะไรอื่นอีก เธอเม้มปาก ทำใจกล้า ยื่นมือไปแตะวงอักขระสีขาวนั้น เธอกลั้นใจแตะมัน…

ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ สิ่งนี้ยังคงลอยคว้างอยู่อย่างนั้น เธอมอง ครุ่นคิด… “มันคืออะไร?”

เธอยื่นมือไป ปรากฏว่ามือเธอทะลุผ่านอักขระสีขาวเหล่านั้นได้ เธอมองอย่างฉงน “เอ๋?”

เธอกวาดมือผ่านอักขระสีขาวเหล่านั้น มือเธอก็ผ่านอักขระสีขาวราวกับพวกมันเป็นหมอกควันยังไงอย่างงั้น “นี่คืออะไร? ทำไมมันถึงได้แปลกประหลาดแบบนี้ล่ะ?”

เธอยื่นมือไปอีก จับบานตู้เปิดออก แต่ตู้ก็ไม่เปิด ติดแน่นราวกับประตูตู้เซฟที่ถูกล็อคสลักไว้ทั้งสี่ด้าน “เปิดไม่ออก”

เธอเขย่าๆ มือจับบนบานตู้ พยายามดึงสุดแรง แต่บานตู้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออก จนเธอถึงขนาดใช้สองมือดึง แล้วใช้ขาข้างหนึ่งยันขอบตู้ เธอดึงจนสุดแรง บานตู้ก็ไม่ขยับสักนิด เธอลองดึงอีกหลายที จนต้องยอมปล่อยมือ แล้วขยับเข้าไปมองตรงของตู้ว่ามีสลักล็อคตรงไหนบ้าง แต่ก็ไม่เห็นรอยสลักแม้แต่นิดเดียว ไม่เห็นมีรูกุญแจที่จะใช้ไขเปิด ไม่เห็นว่ามีตัวล็อคใดๆ “แล้วมันล็อคยังไงฟร่ะ!?”

ด้วยความที่เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเปิดตู้เซฟ สะเดาะกุญแจต่างๆ พอมาเจอตู้ล็อคแบบนี้จึงกระตุ้นความอยากเปิดของเธอขึ้นมา

“มา! มาลองกันซักตั้ง” เธอถกแขนเสื้อขึ้น แล้วใช้มือลูบไปทั่วๆ ตู้ เธอลูบๆ คลำๆ อยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ไม่พบตัวล็อคแม้แต่น้อย เธอลองดึงๆ อีกครั้ง บานตู้ก็ไม่ขยับเลย เธอจึงถอยหลังไปหน่อย แล้วมองจ้องตู้ใบนั้นอย่างต้องการจะเปิดมันให้ได้ พลัน! สายตาเธอก็มองวงอักขระสีขาวตรงหน้า “อืม…ตอนที่แตะ ไอ้นี่ก็โผล่ออกมา…”

เธอจ้องมองอักขระสีขาวเหล่านั้น เธอลองจับตัวอักขระย้าย ปรากฏว่ามันย้ายตามมือเธอได้ด้วย “หือ?”

เธอมองจ้องมันเขม็ง แล้วลองจับมันย้ายมาต่อๆ กัน เธอเป็นเซียนต่อจิ๊กซอร์ เธอเห็นสิ่งที่ผิดปกติเล็กๆบนตัวอักขระเหล่านั้น จึงลองเอาส่วนนั้นมาต่อๆ กันคล้ายกับต่อตัวจิ๊กซอร์ยังไงอย่างงั้น เมื่อเธอต่อตัวสุดท้ายเสร็จ พลันอักขระสีขาวเหล่านั้นก็สลายหายไป บานตู้ดีดเปิดออกผึง!

“เฮ้ย!” เธอสะดุ้งตกใจจนเผลอจั๊ม ตัวเธอไปปรากฏอยู่ติดผนังห้อง พอตั้งสติได้เธอก็จั๊มกลับไป มองตู้ประหลาดใบนั้น ข้างในตู้มีม้วนผ้าม้วนหนึ่ง เธอยื่นมือไปหยิบม้วนผ้านั้นมาดู เธอคลี่ม้วนผ้าออก ก็เห็นอักขระแถวแรกเป็นอักขระสีเขียวที่เธอไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น เธออ่านไม่ออก

“นี่เหมือนจะเป็นตำราอะไรสักอย่างล่ะมั้ง?” เธอมองอักขระแถวแรกที่เห็น แล้วมือก็คลี่ม้วนผ้าเปิดออกต่อ พลัน! อักขระสีเขียวแถวนั้นก็ลอยขึ้นมา

“เฮ้ย!” เธอตกใจยังไม่ทันจะผงะออก อักขระสีเขียวแถวนั้นก็พุ่งเข้าไปตรงกลางหน้าผากของเธอแล้ว ชั่วพริบตานั้น ในห้วงสติของเธอก็ปรากฏอักขระสีเขียวลอยเด่นหราอยู่กลางห้วงสติ เธออ่านออกเสียงเป็นภาษาของเธอได้ว่า “ตำราเทพรักษา”

“เทพรักษา…” เธอทวนคำ พลัน! ในสมองเธอก็ผุดคำๆหนึ่งขึ้นมา ‘หมอ’

เธอเข้าใจแล้ว นี่คือตำราหมอ หรือตำราแพทย์นั้นเอง จู่ๆ มือเธอก็คลี่เปิดตำราอย่างรวดเร็ว อักขระสีเขียวเหล่านั้นในตำราก็พุ่งเข้าสู่หน้าผากเธอเป็นสายสีเขียวยาวเหยียด จนกระทั่งมือเธอคลี่ม้วนผ้านั้นจนหมดแล้ว อักขระสีเขียวก็ลอยเข้าสู่หน้าผากเธอจนถึงตัวสุดท้าย ม้วนผ้ากลายเป็นว่างเปล่า ไม่มีอักขระสีเขียวอีกต่อไป แต่อักขระสีเขียวที่ลอยอยู่ในห้วงสติของเธอ ลอยวนไปวนมานับล้านๆ อักขระจนเธอรู้สึกเวียนหัวไม่น้อย มือปล่อยม้วนผ้านั้นโดยไม่รู้ตัว ม้วนผ้าก็ตกลงพื้น พร้อมๆกับที่เธอ ยกสองมือขยุ้มหัวตัวเองแน่น ในห้วงสติ เธอเห็นแต่อักขระสีเขียวเหล่านั้นเต็มไปหมด ทำเธอเวียนหัวตาลายอย่างยิ่ง “เวรเอ้ย! นี่มันอะไรกัน!”

“อา…ต้นกล้าที่ดี” เสียงทุ้มเก่าแก่เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของเธอ พลัน! เธอก็เห็นเงาๆหนึ่ง ปรากฏขึ้นในห้วงสติของเธอ เธออ้าปากถาม “ใคร!?”

“ข้าคือราชันย์โอสถ” เสียงนั้นตอบกลับมา หลินจื่อเซียนขมวดคิ้วทวนคำ “ราชันย์โอสถ?”

“เด็กเอ๋ย เจ้าเป็นต้นกล้าที่ดี เจ้ารีบซึมซับความรู้ทั้งหมดของข้าเสียซิ ความรู้ของข้าจะทำให้เจ้าสามารถทะยานฟ้าขึ้นเป็นราชันย์โอสถคนต่อไปได้” ราชันย์โอสถกล่าว

“ดูดซับ?” หลินจื่อเซียนทวนคำ จับใจความสำคัญจากประโยคที่เงานั้นพูด

“ใช่ ดูดซับ” ราชันย์โอสถกล่าวย้ำ “มาๆ รีบมาเป็นผู้สืบทอดของข้าเสีย ข้าจะได้หมดห่วงเสียที”

“ผู้สืบทอด? หมดห่วง?” หลินจื่อเซียนขมวดคิ้ว มองเงารางเลือนที่มีรูปร่างคล้ายเงาผู้ชายคนหนึ่ง พลัน! ในสมองเธอก็นึกถึงคำว่า ‘ผี’ ขึ้นมา หรือว่านี่คือผี?

“ข้าไม่ใช่ผีอย่างที่เจ้าเข้าใจ” ราชันย์โอสถเอ่ยออกมา “ข้าเป็นเศษเสี้ยวดวงจิตที่เฝ้ารอผู้สืบทอด หลังจากเจ้าสืบทอดความรู้ทั้งหมดในชีวิตของข้าแล้ว ข้าก็จะหายไป”

“ทำไมต้องเป็นฉัน?” หลินจื่อเซียนถาม ราชันย์โอสถหัวเราะเบาะ “หึๆๆๆ เจ้าเป็นต้นกล้าที่ดี ข้าเลือกเจ้าก็เพราะเจ้ามีปัญญาล้ำเลิศกว่าคนอื่น เจ้าย่อมสืบทอดความรู้ของข้าได้ทั้งหมด เอ้า รีบดูดซับความรู้ของข้าเสียซิ ข้าจะได้จากไปอย่างหมดห่วงเสียที”

“ดูดซับ? ดูดซับยังไง?” หลินจื่อเซียนสงสัย พลัน! อักขระสีเขียวตัวหนึ่งก็พุ่งเข้ามาตรงหน้าเธอ เธอตกใจอ้าปากร้อง “เฮ้ย!”

อักขระสีเขียวตัวนั้นก็หายเข้าไปในปากเธอแล้ว “ง่ะ?”

“นั่นแหละ ดูดซับ!” ราชันย์โอสถเอ่ยขึ้น หลินจื่อเซียนเบิกตาโต “คือกินมันเข้าไปเนี่ยนะ?”

“กิน ใช้กับร่างกายกินอาหารเข้าไป แต่จิตวิญญาณกิน เรียกว่าดูดซับ” ราชันย์โอสถกล่าว หลินจื่อเซียนพูดไม่ออก “…”

เธอหันไปมองอักขระสีเขียวที่ลอยล่องอยู่รอบๆ จิตวิญญาณของเธอนับล้านๆ อักขระเหล่านั้น ให้เธอกินมันทั้งหมด แล้วเธอจะกินมันหมดเมื่อไหร่ล่ะ หนึ่งเดือน? ไม่ซิ หนึ่งปี ไม่ๆๆๆ คงเป็นสิบๆ ปีเลยมั้งกว่าที่เธอจะกินมันหมดน่ะ!

“จะกี่ปี เจ้าก็รีบดูดซับมันไปเถอะ ข้าจะได้จากไปเสียที” ราชันย์โอสถเร่ง หลินจื่อเซียนถอนหายใจทีหนึ่ง แล้วอ้าปากขึ้นอย่างจำใจ เอาๆๆ จะกี่ปีเธอก็ต้องกินมันไปให้หมด ไม่งั้นมันลอยล่องอยู่ในห้วงสติเธอแบบนี้ เธอก็ไม่อาจคิดอ่านอะไรอย่างอื่นได้น่ะซิ

เมื่อเธออ้าปาก อักขระสีเขียวก็ลอยเข้าไปในปากเธอ ลอยเป็นสาย…เป็นสาย ยาวเหยียด ไม่มีที่สิ้นสุด ราชันย์โอสถเบิกตาโต เขาก็ไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะสามารถดูดซับความรู้ของเขาได้มากขนาดนี้ คิดว่าอย่างมากก็คงดูดซับได้วันละห้าแถวหรือสิบแถวกระมัง

หลินจื่อเซียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ร่างกายก็ขยับนั่งขัดสมาธิ มือวางซ้อนกันบนตักโดยอัตโนมัติ ในห้วงสติ เธอยืนอ้าปากกลืนอักขระสีเขียวเข้าไปอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด ไม่มีเหน็ดเหนื่อย

“อา…นี่เจ้าเป็นปีศาจจากไหนกัน?” ราชันย์โอสถเบิกตาโต เขาถูกลูกศิษย์คนนี้ทำให้ตกใจแล้ว

ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ในที่สุดหลินจื่อเซียนก็กลืนกินอักขระสีเขียวเข้าไปจนหมด ไม่หลงเหลืออักขระสีเขียวอยู่ในห้วงสติของเธอแม้แต่ตัวเดียว ในสมองเธอปรากฏความรู้ของราชันย์โอสถมากมายนับไม่ถ้วย ทั้งความรู้ด้านสมุนไพร ตำราโอสถ ทุกสิ่งปรากฏอยู่ในสมองเธอ สลักแน่นฝังลึกอยู่ในนั้น ชนิดไม่ตายไม่มีทางลืมได้เด็ดขาด

ราชันย์โอสถเบิกตาโต เขาตกใจมากที่ลูกศิษย์คนนี้สามารถดูดซับความรู้ของเขาเข้าไปหมดภายในระยะเวลาอันแสนสั้นแค่หนึ่งวันหนึ่งคืน “นี่เจ้ามีปัญญาสูงล้ำเท่าไหร่?”

“ปัญญาสูงเหรอ?” หลินจื่อเซียนทวนคำ แล้วตอบว่า “ไอคิวฉันวัดได้ถึง 300 เท่าเทียบกับ William Sidis* นั่นแหละ”

(William Sidis : IQ 200-300 ไซดิส เป็นชาวรัสเซีย เกิดวัน April Fool’s Day หรือ 1 เมษายน ค.ศ.1898  สมาคมทางด้าน IQ ให้ฉายาว่า “Universal Genius” บุคคลที่ถือว่า “ฉลาดที่สุดในจักรวาล” สามารถอ่านหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ได้ตั้งแต่อายุเพียงหนึ่งขวบครึ่ง และต่อมาสามารถเรียนรู้ภาษาละตินด้วยตนเองเมื่ออายุ 2 ขวบ พอ 3 ขวบก็เริ่มฝึกพิมพ์ดีด ด้วยการเขียนจดหมายสั่งของเล่นมาให้ตัวเอง! 8 ขวบเขียนหนังสือเสร็จไปสี่เล่ม รู้จักไปแล้วสิบภาษา 11 ขวบ เป็นผู้ที่เข้าศึกษาที่ harvard อายุน้อยที่สุด)

ราชันย์โอสถส่ายหน้า “ข้าไม่รู้จักวินๆอะไรที่เจ้าว่าหรอก แล้วไอคิวที่เจ้าว่าคือสิ่งใดข้าก็ไม่รู้จัก สรุปว่าเจ้ามีปัญญาสูงนัก สูงกว่าคนทั่วๆไปที่ข้าเคยพบเจอมา”

“ในเมื่อคุณมอบของดีให้ฉัน งั้นฉันก็ขอไหว้คุณเป็นอาจารย์ล่ะกัน ว่าแต่อาจารย์ชื่ออะไรคะ?” หลินจื่อเซียนยกมือไหว้เงานั้น ราชันย์โอสถยิ้ม ตอบว่า “ข้าแซ่จ้าว ชื่อมู่ จ้าวมู่ (赵牧) คือชื่อแซ่ของข้า แล้วเจ้าล่ะ?”

“หลินจื่อเซียนค่ะ” หลินจื่อเซียนตอบ ราชันย์โอสถยิ้มแล้วพูดว่า “เอาล่ะจื่อเซียน ถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว เจ้ารักษาตัวด้วย จำไว้ อย่าทำให้ชื่อเสียงศิษย์ราชันย์โอสถต้องด่างพร้อยเด็ดขาด”

เมื่อเขาพูดจบ เงาก็สลายหายไป หลินจื่อเซียนลืมตาขึ้น ค่อยๆ ขยับนิ้ว สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลายหน เมื่อก่อนเธอก็เคยนั่งสมาธิฝึกจิตได้เป็นวันๆ บางครั้งเธอนั่งฝึกจิตติดต่อกันหลายวัน ไม่ดื่มไม่กินไม่ขับถ่าย หลังฝึกจิตแล้ว ร่างกายจะยิ่งเบาสบาย จนเธอติดนิสัยฝึกจิตมาตั้งแต่เล็กๆ พ่อกับแม่ก็ฝึกจิตเป็น แต่พลังจิตไม่กล้าแข็งเท่ากับเธอ พ่อมีความสามารถในการจั๊ม ส่วนแม่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ทำให้เธอได้รับการสั่งสอนจากพ่อแม่มาตั้งแต่เล็กๆ หนึ่งขวบ เธอก็อ่านหนังสือได้แล้ว สองขวบ เธอก็เรียนรู้ภาษาอังกฤษจนคล่องปร๋อ สามขวบ เธอก็ผสมสารเคมีเป็นแล้ว เธอจึงกลายเป็นนักเคมีที่อายุน้อยที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพียงแต่ความสามารถทั้งหมดของเธอถูกปิดบังซ่อนเร้นเอาไว้ เพราะพ่อเป็นมือสังหารขององค์กรมือสังหารที่รับงานฆ่าทุกรูปแบบ แม่เป็นนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันชั้นนำของโลก พ่อกับแม่ของเธอเจอกัน เกิดรักกันปิ้งปั๊ง จนตกลงแต่งงานด้วยกัน แล้วก็มีเธอออกมาเป็นโซ่ทองคล้องใจ

สรุปว่าเธอสืบทอดความสามารถในการจั๊มมาจากพ่อ สืบทอดความสามารถนักวิทยาศาสตร์มาจากแม่ สืบทอดพลังจิตมาจากทั้งพ่อและแม่ ทำให้เธอมีไอคิวสูงมาก ซึ่งตอนทดสอบไอคิว พ่อกับแม่เป็นคนทดสอบเอง พอทั้งสองรู้ว่าเธอมีไอคิวสูงขนาดนี้ก็ทั้งตกใจทั้งดีใจ เธอได้เรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ จากพ่อกับแม่จนหมดสิ้น ทำให้เธอเป็นเด็กเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เล็ก ๆ เธอเรียนอยู่ที่บ้านกับแม่ ใช้ระบบโฮมสคูล ถึงเวลาเธอก็ไปสอบเทียบชั้นเอา จนสอบเทียบถึงระดับไฮสคูล เธอก็หยุด รอให้ตัวเองอายุถึง 20 ก่อนค่อยไปสอบเทียบระดับมหาวิทยาลัย ไม่งั้นถ้าเธอไปสอบเลย ได้มีข่าวแพร่ออกไปแน่ว่า เด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบสอบเทียบระดับมหาวิทยาลัยได้ นี่ย่อมต้องเป็นข่าวดังแน่นอน

พ่อกับแม่ ไม่อยากให้เธอเป็นข่าวจึงได้ให้เธอค่อยๆ สอบเทียบระดับการศึกษาตามอายุของเธออย่างที่เด็กทั่วไปควรจะเป็นกัน ตอนนี้เธออายุ 16 แล้ว สอบเทียบระดับไฮสคูลก็ไม่เป็นข่าว อีกทั้งตอนทำข้อสอบเธอก็แกล้งตอบผิดๆ บ้าง ไม่ได้ตอบเอาคะแนนเต็มร้อย จะได้ไม่เป็นจุดสนใจเกินไป ส่วนยาเพิ่มสมรรถภาพร่างกาย แม่ของเธอเป็นคนต้นคิด ส่วนเธอเป็นคนลงมือทำ ในที่สุดก็สามารถทำยาออกมาได้ แต่ยายังไม่สมบูรณ์ ยังมีผลข้างเคียงอีกมาก เธอกับแม่ไม่กล้าเอายาให้พ่อกินเพราะกลัวว่าพ่อจะทนรับความเจ็บปวดจากผลข้างเคียงของยาไม่ไหว แล้วเกิดช็อคตายไป เธอกับแม่จะทำไงล่ะ

ก็ไม่รู้ว่ามีข่าวเรื่องยาหลุดไปถึงหูองค์กรมือสังหารพวกนั้นได้ไง? ทำให้พวกมันอยากได้ยาจนถึงขนาดบุกมาที่บ้านเธอ

จริงซิ พ่อกับแม่!

เธอนึกขึ้นได้จึงขยับขาเหยียดออก แล้วล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบมือถือออกมา เธอกำลังจะกดโทรหาแม่ พลัน! สายตาก็เหลือบเห็นว่า ไม่มีสัญญาณเครือข่าย!

นี่เธอจั๊มมาอยู่ที่ไหนถึงได้ไม่มีสัญญาณมือถือ ห้องใต้ดิน? เกาะกลางทะเล? กลางทะเลทราย? หรือที่ไหน? แล้วพ่อกับแม่ล่ะ? หลุดจั๊มไปโผล่ที่ไหน? บางทีตอนนี้ แม่อาจจะกำลังเป็นห่วงเธออยู่ก็ได้!

เธอรีบลุกขึ้น คิดจะจั๊มไปยังสถานที่ที่เป็นเซฟเฮ้าส์ของครอบครัวเธออีกแห่ง แต่เธอก็ยังไม่จั๊มไปที่นั้นเลย เธอนึกภาพห้องในเซฟเฮ้าส์หลังนั้นอีกครั้ง…

แต่เธอก็ยังอยู่ที่เดิม “เอ๋?”

เธองุนงงหนักมาก “หรือจะจั๊มไม่ได้?”

เธอมองไปยังจุดหนึ่งในห้อง พลัน! เธอก็จั๊มไปที่นั้นทันที “เอ๋? ก็จั๊มได้นี่นา แล้วทำไมถึงจั๊มไปที่นั่นไม่ได้ล่ะ?”

เธอพยายามนึกภาพห้องๆ นั้นอีกครั้ง แต่เธอก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น เธอนึกภาพห้องๆ นั้นอีกครั้ง

ผลก็ยังเป็นเช่นเดิม เธอจั๊มไปที่นั้นไม่ได้ เธอลองนึกภาพสถานที่ที่อื่นดู ปรากฏว่าเธอจั๊มไปสถานที่เหล่านั้นไม่ได้เลย “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจั๊มไม่ได้?”

เธองุนงงหนักมาก พยายามครุ่นคิดหาสาเหตุ “หรือว่าห้องนี้มีสนามแม่เหล็กที่รบกวนการจั๊ม?”

แต่ถ้ามีสนามแม่เหล็กจริงๆ เธอก็ไม่น่าจะจั๊มได้นี่น่า? แต่เธอก็ยังจั๊มไปจั๊มมาในห้องนี้ได้อย่างอิสระ “งั้นมันเป็นเพราะอะไรกัน?”

เธอคิดๆ คิดแล้วคิดอีก แต่ก็หาสาเหตุไม่ได้ “ถ้างั้นออกไปข้างนอกก่อนล่ะกัน”

เธอคิดจะออกไป แต่มองไปรอบห้องแล้วก็ไม่เห็นหน้าต่าง ไม่เห็นประตูสักบาน แล้วจะออกไปทางไหนล่ะ? ที่นี่เหมือนเป็นห้องปิดตายชัดๆ ไม่มีทางออก ไม่มีทางเข้า

การจะจั๊มไปสถานที่ไหนๆ เธอต้องมีภาพสถานที่แห่งนั้นอยู่ในความทรงจำก่อน ง่ายๆ คือ มีภาพในหัวแล้วถึงจะจั๊มไปได้ การเสี่ยงจั๊มโดยไม่มีภาพในหัว อาจทำให้เธอจั๊มไปอยู่กลางถนนแล้วถูกรถชนตายก็ได้ หรือไม่ก็จั๊มไปตกกลางปากปล่องภูเขาไฟก็ได้ เสี่ยงยิ่งนัก

เธอเดินไปรอบๆ ห้อง สำรวจหาทางออก แต่ไม่ว่าจะเคาะผนังตรงไหนก็ไม่มีท่าทีว่าจะเป็นประตูลับเลยสักนิด “แล้วสุดหล่อนั้นเข้ามาได้ไง?”

เธอครุ่นคิด “หรือว่าตอนเข้ามาแล้วก็ถูกขังไว้ในห้องนี้ ทางเข้าถูกปิดตายไปแล้ว?”

เธอหันไปมองชายรูปหล่อบนเตียงอย่างสงสาร “ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงๆ คนๆ นี้ก็น่าสงสารไม่น้อย ถูกขังไว้ให้ตายอย่างโดดเดี่ยวในห้องคนเดียว ใครกันช่างใจร้ายทำกับคนหล่อๆได้ถึงขนาดนี้?”

เธอเดินกลับไปที่เตียง แล้วประคองเขาลุกขึ้นมา กอดเขาไว้ในอ้อมแขน “มามะ สุดหล่อเดี๋ยวเจ้จะพาออกไปนะ”

แล้วเธอก็ตัดสินใจจั๊มโดยไม่มีภาพในหัว เมื่อเธอปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางต้นไม้สีเขียว ลำต้นไม้แต่ละต้นใหญ่ขนาดสิบคนโอบได้ ในอ้อมแขนกอดชายรูปงามเอาไว้ เขายังคงหลับอยู่เช่นเดิม เธอเบิกตาโตมองต้นไม้รอบๆ ตัว “ที่ไหนอ่ะ? คงไม่ใช่หลุดมาอยู่กลางแอฟริกาหรอกมั้ง?”

“เจ้าสำนักออกมาแล้ว รีบไปเร็ว!” มีเสียงหนึ่งดังแว่วมา ตามมาด้วยเสียงผู้ชายอีกคนพูดว่า “เหตุใดเจ้าสำนักจึงไม่ออกทางประตูเล่า? ไยไปอยู่ในป่าได้เล่า?”

หลินจื่อเซียนตื่นตัวทันที เธอแผ่พลังจิตออกไป ก็พบว่ามีผู้ชาย 5 คนอยู่ห่างจากเธอไปราว 100 เมตร ด้านหลังพวกเขาเป็นอาคารหลังหนึ่งทรงโดมคว่ำ น่าจะเป็นอาคารที่เธออยู่ข้างในเมื่อครู่นี้ล่ะมั้ง? คน 5 คน กำลังมุ่งหน้ามาทางเธอ เธอคิดในใจ ทางที่ดีควรหนีไปก่อนจะดีกว่า แล้วเธอก็จั๊มอีกครั้ง พร้อมกับพาชายรูปงามไปด้วย

เธอปรากฏตัวขึ้น รอบด้านยังเป็นป่าต้นไม้ใหญ่ๆ แต่สภาพแวดล้อมแตกต่างจากจุดเดิมเล็กน้อย

เมื่อคน 5 คนไปถึงจุดที่เธออยู่ก่อนหน้า พวกเขาก็มองหน้ากัน “เอ๋? เจ้าสำนักล่ะ?”

หนึ่งคนในนั้นล้วงเอาจานหินกลมๆ ออกมา บนจานหิน มีจุดแสงจุดหนึ่ง ชายคนนั้นก็พูดว่า “ทางนั้น”

“น่าประหลาดนัก เจ้าสำนักออกมาก่อนกำหนด อีกทั้งยังหนีพวกเราไปแบบนี้?”

“หรือว่าไม่ใช่เจ้าสำนักไปด้วยตัวเอง แต่ถูกคนลักพาตัวไป?” อีกคนคาดเดา

หากหลินจื่อเซียนได้ยินประโยคนี้คงสะดุ้งแน่ๆ ที่คนๆ นี้ ช่างคาดเดาได้แม่นยำนัก เมื่ออยู่ในสถานที่แห่งใหม่เธอก็ปล่อยพลังจิตออกมาสำรวจสถานที่อีกครั้ง ครั้งนี้เธอมาไกลจากที่เดิมราว 80 เมตร ชาย 5 คนนั้น กำลังยืนอยู่ในสถานที่ที่เธออยู่ก่อนหน้า สักพักพวกเขาก็มุ่งหน้ามาทางเธออีกครั้ง ครั้งนี้เธอเริ่มสงสัยแล้วว่า “หรือในตัวผู้ชายคนนี้จะติดชิปติดตามตัวเอาไว้?”

ไม่ได้การแล้ว! ถ้าเธอยังพาเขาไปด้วย คนพวกนั้นต้องหาพวกเธอเจอแน่นอน แล้วเธอก็ตัดสินใจทันที ทิ้งชายรูปหล่อคนนี้ไปก่อน วันหน้าค่อยหาทางมาช่วยเขาใหม่ก็ยังไม่สาย เพราะเธอก็ยังไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงกลายเป็นเจ้าชายนิทรา อีกทั้งไม่รู้ว่าเหตุใดคนพวกนั้นถึงได้ตามเธอมาราวกับหมาล่าเนื้อ เธอก้มลงมองชายรูปหล่อในอ้อมแขน แล้วบอกเขาว่า “เจ้จำใจต้องทิ้งรูปหล่อไปก่อนนะ วันหน้าเจ้จะหาทางช่วยให้ได้”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version