Skip to content

สตรีอ้วนป่วนสวรรค์ 3

  • by

Chapter 3

แดนเทพ

จ้าวเป่าฉินมองอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก เธอยังมึนๆ งงๆ ที่จู่ๆ ก็มาอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จัก อีกทั้งยังเจอปลาหมึกยักษ์พูดได้อีก เธอยังไม่ทันคิดอะไร พลัน! ก็ได้ยินเสียงโครมครามดังมา แล้วก็เห็นปลาหมึกยักษ์ตัวนั้นวิ่งกลับมา

“นายท่านเจ้าขา ท่านไม่ได้ให้หยกข้าแล้วข้าจะไปซื้ออาภรณ์ได้อย่างไร” เถากลืนจิตโวยวายลั่น วิ่งคึกๆ กลับมาหยุดหอบตรงหน้าจางอี้ปิน

จางอี้ปินมองมันแล้วพูดคำหนึ่ง “อ่อ”

เขาเอาถุงหยกปราณสวรรค์ออกมาแล้วยื่นให้มัน

เถากลืนจิตรับถุงหยกฯไปแล้วก็รีบวิ่งจากไป

จ้าวเป่าฉินมองอย่างอยากรู้อยากเห็น เธอไม่รู้ว่า ‘หยก’ ที่เถากลืนจิตพูดถึงคือหยกอะไร สำหรับเธอแล้วคิดว่าคงเป็นหยกเขียว หยกขาวเหมือนที่ขายกันตามร้านจิลเวอรี่ล่ะมั้ง

จางอี้ปินเห็นท่าทางอยากรู้อยากเห็นของจ้าวเป่าฉิน เขาจึงเอาถุงหยกอีกถุงออกมาแล้วยื่นไปให้นาง “นี่คือหยกปราณสวรรค์”

จ้าวเป่าฉินก้าวไปใกล้เขา ยื่นมือไปรับถุงผ้ามา แล้วเทของในถุงออกมาดู เธอเห็นก้อนหินสีเขียวสวยแปลกตาขนาดเท่าหอยแครงกลิ้งออกมาอยู่บนฝ่ามือ เธอหยิบมันขึ้นพลิกไปพลิกมา มองดูอย่างสนอกสนใจ แล้วจดจำว่าสิ่งนี้คือหยกปราณสวรรค์

“นี่คือหยกปราณสวรรค์ระดับต่ำ” จางอี้ปินบอก

จ้าวเป่าฉินพยักหน้าจดจำเอาไว้แล้วเอาหยกใส่ถุงยื่นคืนไป

จางอี้ปินรับถุงคืนไปแล้วเก็บไป

จ้าวเป่าฉินเห็นว่าท่าทางเขาดูเป็นคนใจดีจึงถามว่า “ที่นี่คือ?”

“แดนเทพ” จางอี้ปินตอบ

จ้าวเป่าฉินเบิกตาโต “แดนเทพ?”

“ก็แดนเทพน่ะซิ” จางอี้ปินย้ำ “เจ้าคงจะพลัดหลงเข้ามากระมัง ข้าเจอเจ้าแถวชายแดนระหว่างแดนเทพกับยมโลก ตอนนั้นเจ้ากำลังจะถูกเจ้าตัวตะกละกินแล้ว ดีที่ข้าช่วยทัน ไม่เช่นนั้นป่านนี้เจ้าถูกมันกินจนแม้แต่วิญญาณก็ไม่เหลือ”

“หา!” จ้าวเป่าฉินอ้าปากค้าง เธอเกือบถูกไอ้ปลาหมึกประหลาดนั่นกินเหรอ!

“เอาเถอะๆ เจ้าคงจะตกใจไม่น้อย เจ้าก็ค่อยๆ ตั้งสติเถิด ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็เป็นครึ่งเทพแล้ว ไม่อาจกลับไปแดนมนุษย์ได้แล้ว เจ้าก็เร่งบำเพ็ญเพียรให้กลายเป็นเทพเถอะ” จางอี้ปินบอกอย่างมีเมตตา

จ้าวเป่าฉินงุนงง “ครึ่งเทพ? แดนมนุษย์?”

“เจ้าก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปทีละนิดเถอะ ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องอยู่ในแดนเทพนี้ไปอีกนานเชียวล่ะ” จางอี้ปินบอก

จ้าวเป่าฉินเอียงคอมองอย่างงุนงง “เรียน?”

“ใช่ ค่อยๆ เรียนรู้ไปทีละนิดทีละน้อย อีกหน่อยเจ้าก็จะเข้าใจดินแดนทั้งหกภพเองแหละ” จางอี้ปินพยักหน้า

จ้าวเป่าฉินพยักหน้ารับอย่างงงๆ เรื่องเรียนเธอไม่เกี่ยงหรอก ว่าแต่เธอจะเรียนยังไงเหรอ? เข้าเรียนในสถานศึกษาเหรอ?

จางอี้ปินอ่านสีหน้าท่าทางของจ้าวเป่าฉินแล้วพอจะเข้าใจจึงพูดว่า “ในเรือนข้ามีตำราอยู่ เดี๋ยวรอให้เจ้าแต่งกายให้เรียบร้อยดีแล้วข้าจะให้เจ้าตัวตะกละเอาตำราไปให้เจ้าอ่าน”

“อ่อ” จ้าวเป่าฉินพยักหน้ารับรู้ เธอยกมือไหว้เขา “ขอบคุณคุณมากค่ะ”

“คำพูดเจ้าฟังแล้วแตกต่างจากข้า ถ้าจะให้ดีเจ้าก็ควรจะหัดพูดจาให้เหมือนข้าดีกว่า วันหน้าเจ้าออกไปข้างนอกจะได้ไม่ถูกใครเขารังแกเอาเพราะเห็นเจ้าเป็นคนต่างถิ่น ส่วนใหญ่แล้วเทพใหม่มักจะถูกเทพที่อยู่มานานรังแกเอา ดังนั้นถ้าเจ้าไม่อยากถูกคนรังแกเพราะสาเหตุนี้เจ้าก็ควรหัดพูดให้เหมือนข้าจึงจะดีที่สุด” จางอี้ปินบอก

จ้าวเป่าฉินพยักหน้าเข้าใจ เรื่องคนต่างถิ่นถูกเจ้าถิ่นรังแกเธอก็เคยเห็นบ่อยไปในเมืองปักกิ่ง ยิ่งในมหาวิทยาลัยยิ่งมีให้เห็นประจำ ประมาณว่าเด็กใหม่ก็มักจะถูกรุ่นพี่ข่มอะไรประมาณนั้น แต่สำหรับเธอ เธอไม่เคยถูกรุ่นพี่ข่มเลยนะ ก็ลองมาข่มเธอซิ เธอจะเอาขาอ้วนๆ ของเธอพาดคอคนๆ นั้นให้ดู ฮ่าๆๆๆ

เห็นเธออ้วนๆ แบบนี้ แต่เธอก็เรียนวิชาป้องกันตัวมานะ ก็สมัยนี้คนร้ายมันเยอะนี่นา ขนาดยายเฒ่าอายุเจ็ดสิบแปดสิบยังโดนข่มขืนเลย แล้วเธอเป็นสาวเป็นนางวันไหนจะตกเป็นเหยื่อโจรบ้ากามเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่ต้องโจรบ้ากามก็ได้ เอาแค่พวกวิ่งราวก็เยอะจนเกลื่อนเมืองแล้ว ดังนั้นเป็นหมัดมวยบ้างก็ย่อมได้เปรียบบ้างล่ะ

“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าเข้าใจแล้ว เจ้าก็ไปเถอะ” จางอี้ปินโบกมือไล่

จ้าวเป่าฉินมองเขาแล้วหมุนตัวเดินกลับบ้านที่เธอนอนเมื่อครู่ ก็ยืนอยู่ต่อหน้าผู้ชายหล่อๆ มีผ้าห่มพันตัวผืนเดียวเธอก็รู้สึกเขินๆ นะ เธอรีบเดินกลับไปอย่างเร็วมาก

จางอี้ปินมองนางอย่างปราณี

หากเทียบอายุกันแล้ว เขานั้นแก่กว่านางมากนัก เขาอายุเท่าไหร่ อย่ารู้เลย รู้แล้วเดี๋ยวจะตกใจตายเสียก่อน แต่รูปลักษณ์ของเขายังดูหนุ่มแน่น มีเพียงผมที่เป็นสีขาวทั้งศีรษะ หากมองเบื้องหลังย่อมคิดว่าเขาเป็นผู้เฒ่า แต่เมื่อมองหน้าตา ผู้คนมักจะคาดเดาว่าเขาอายุไม่เกิน 30 ปี อีกทั้งหากจะดูอายุจากกระดูก ผู้คนก็ไม่อาจดูอายุจากกระดูกเขาได้ ด้วยพลังของคนพวกนั้นต่ำกว่าเขา คนเดียวที่สามารถมองอายุกระดูกของเขาได้ก็คือตี้จวิน แต่ถึงตี้จวินจะรู้อายุของเขา ตี้จวินก็ไม่เคยบอกใครๆ เพราะตี้จวินนั้นไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก

ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกมากนัก น้อยนักที่เขาจะออกจากบ้าน ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะเจ้าตัวตะกละแอบหนีไปทำให้เขาเป็นห่วงจนต้องออกไปตามหา

เจ้าตัวตะกละตัวนี้เขาพบมันตั้งแต่มันยังตัวเท่าถังไม้ เขาเอามันมาเลี้ยงหวังจะรอให้มันโตแล้วจับมันตุ๋นกิน แต่เลี้ยงไปเลี้ยงมา เขาก็ตุ๋นมันไม่ลง จึงได้ปล่อยให้มันเติบใหญ่จนบัดนี้

จ้าวเป่าฉินเดินเข้าบ้าน เธอเดินไปนั่งที่เตียง เธอไม่คิดจะนั่งที่เก้าอี้เพราะเก้าอี้ตัวเล็กเกินไป นั่งไม่สบาย อีกทั้งไม่แน่ใจว่าเก้าอี้จะรับน้ำหนักตัวเธอไหว เกิดนั่งๆ ไปแล้วมันหักขึ้นมาล่ะ เธอก็เจ็บตัวน่ะซิ

เธอนั่งมองไปรอบๆ ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ ไปเรื่อยเปื่อย ไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

ตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้วยมทูตสุดหล่อบอกว่าเธอตายแล้ว อันนั้นเธอเข้าใจดี เพราะยังจำได้ถึงความรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก สำลักน้ำจนเจ็บไปหมด เจ็บปวดทรมานอยู่นาน(ในความรู้สึกของเธอ) เมื่อยมทูตบอกว่าเธอตายแล้ว เธอก็รับรู้และทำใจยอมรับได้ ก็จะให้ทำยังไงล่ะ ร่างเธอก็เผาไปแล้วนี่นา ยังไม่ทันจะได้คิดอะไร เหยียนหลัวหวางก็ตัดสินให้เธอไปสวรรค์แล้ว

ว่าแต่สวรรค์เป็นสถานที่แบบไหนเธอก็ยังไม่ทันได้เห็น จู่ๆ ก็มาอยู่ที่นี่แล้ว

ผู้ชายผมขาวคนนั้นบอกว่าที่นี่คือแดนเทพ แล้วแดนเทพนี่เป็นสถานที่แบบไหนกันนะ? คิดๆ แล้ว ดูเหมือนว่าสวรรค์กับแดนเทพจะเป็นสถานที่คนละแห่งกันใช่ป่ะ?

“ไอหยา! อาภรณ์เจ้าหายากเสียจริง”

จ้าวเป่าฉินหยุดคิดแล้วเงยหน้ามอง เห็นปลาหมึกยักษ์ อ่อ ต้องเรียกว่าอะไรนะ เถา…เถา? อ่อ เถากลืนจิต

เธอเห็นมันยืนอยู่นอกประตู เธอเพิ่งสังเกตขนาดประตูว่ามีขนาดใหญ่มาก ตอนเธอเดินเข้ามาก็เดินเข้ามาได้อย่างสบายมากจึงไม่ทันได้สังเกตความแตกต่างเรื่องนี้

เถากลืนจิตเดินผ่านประตูเข้าไปแล้วเอาผ้าหลายพับออกมาจากหยกคุนเฉียน* มันวางผ้าบนโต๊ะเป็นตั้งๆ 3 ตั้ง แล้วบอกว่า “นี่ของเจ้า”

(หยกคุนเฉียน คือหยกที่ใช้เก็บข้าวของ ภายในหยกมีขนาดเล็กใหญ่ต่างกันตามราคา ยิ่งมีพื้นที่ใหญ่ ราคาก็ยิ่งแพง)

จ้าวเป่าฉินมองผ้า 3 ตั้งนั้นแล้วมองเถากลืนจิต

“อาภรณ์ที่ตัดเย็บแล้วขนาดเท่าตัวเจ้าล้วนไม่มี ข้าจึงซื้อผ้ามาให้เจ้า เดี๋ยวข้าจะตัดเย็บอาภรณ์ให้เจ้าเอง” เถากลืนจิตบอก

จ้าวเป่าฉินมองเถากลืนจิตแล้วสงสัยว่ามันจะตัดเย็บอาภรณ์ยังไง?

เถากลืนจิตยกเถาเส้นหนึ่งขึ้นทำท่าคล้ายกวักมือ “เจ้ามานี่”

จ้าวเป่าฉินมองมัน “จะทำอะไร?”

เธอถามมันอย่างรู้สึกหวาดผวา กลัวว่ามันจะจับเธอกิน

“ลุกมานี่ ข้าจะได้วัดตัวเจ้าแล้วตัดเย็บอาภรณ์น่ะซิ” เถากลืนจิตบอก พอเห็นสีหน้าหวาดผวามันจึงพูดย้ำว่า “นี่ๆ ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะกินเจ้าหรอก นายท่านช่วยเจ้าไว้ ตอนนี้เจ้าก็ถือว่าเป็นคนของนายท่าน ข้าไม่กล้ากินเจ้าแล้ว สบายใจได้ มาเร็วๆ ข้าไม่ได้มีเวลามาคอยเจ้าทั้งวันหรอกนะ ข้ายังต้องไปตัดไม้ทำเครื่องเรือนให้เจ้าอีก ไหนจะต้องไปปัดกวาดถูเรือนให้นายท่านอีก ทั้งยังต้องต้มน้ำ ชงชา ทำกับข้าว ไปเก็บผลไม้ ปลูกผัก…”

“พอๆ ไม่ต้องจาระไนแล้ว” จ้าวเป่าฉินยกมือขึ้นท่าพระพุทธรูปปางห้ามญาติทันที เธอขี้เกียจฟังมันพูดพร่ำ เธอจ้องมัน ถามย้ำ “ไม่กินแน่นะ?”

“วะ! เจ้านี่นะ ข้าบอกว่าไม่กินก็ไม่กินซิ! ถึงข้าจะชอบกินวิญญาณก็จริง แต่ตอนนี้เจ้าเป็นครึ่งเทพแล้ว ข้าไม่กล้ากินหรอก เดี๋ยวนายท่านรู้เข้าได้เอาข้าไปตุ๋นน่ะซิ” เถากลืนจิตพูดอย่างโมโหหน่อยๆ

จ้าวเป่าฉินมองมันอย่างชั่งใจ ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกอื่นเลย เธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับปลาหมึกประหลาดตัวนี้ ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชายผมขาวคนนั้น ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่ทำได้ก็คือลองเชื่อใจมันดูล่ะกัน ถ้ามันคิดจะกินเธอ เธอก็จะสู้ยิบตาเลยคอยดูซิ ถึงฝีมือเธอจะไม่ดีนัก แต่ก็พอป้องกันตัวได้บ้างนะ กฎ 3 ข้อในการเอาตัวรอดคือ ข้อหนึ่ง หนีก่อน ข้อสอง หนีไม่ได้ก็แอบ ข้อสาม แอบไม่ได้ก็ต้องสู้ล่ะ สู้แบบหมาจนตรอกก็ต้องสู้ ไม่สู้ก็ตาย มีแค่นี้เอง

เธอลุกขึ้นเดินไปหามัน

เถากลืนจิตมองๆ พอนางมายืนห่างๆ มันก็เอาเครื่องเขียนออกมาวางบนโต๊ะ แล้วขยับไปหานาง

จ้าวเป่าฉินก้าวถอยหลังทันทีตามสัญชาตญาณ ทำให้เถากลืนจิตด่าอย่างโมโห “วะ! เจ้าจะถอยไปทำไม!?”

“ก็ฉันกลัวนี่” จ้าวเป่าฉินพูดออกมา

“ไม่ต้องกลัว ไม่กินก็คือไม่กิน ข้าก็มีศักดิ์ศรีนะ” เถากลืนจิตพูดอย่างเย่อหยิ่ง มันเชิดหน้าอย่างหยิ่งทะนงยิ่ง

จ้าวเป่าฉินมองมัน แล้วค่อยๆ ก้าวขาไป 1 ก้าวอย่างระแวง

เถากลืนจิตมองอย่างรำคาญ มันจึงยื่นเถาเกือบทั้งหมดออกไป รัดพันรอบตัวสตรีอ้วนอย่างรำคาญ

“เฮ้ย!” จ้าวเป่าฉินร้องลั่น ไม่ทันได้ปัดป้องก็ถูกรัดทั้งตัวแล้ว เธอกำลังจะยกมือต่อสู้ แต่พอยกมือขึ้น ข้อมือที่ถูกรัดก็ถูกปล่อยแล้ว อึดใจต่อมา ตัวเธอก็ถูกปล่อยเป็นอิสระแล้ว เธอกะพริบตาปริบๆ

เถากลืนจิตปล่อยสตรีอ้วนแล้วมันก็หันไปหยิบพู่กันมาขีดเขียนยิกๆ “โอ เจ้านี่ช่างอวบอ้วนยิ่งนัก”

มันเขียนไปพลางบ่นพึมพำไปด้วย

“ฮึ!” จ้าวเป่าฉินแค่นเสียงอย่างไม่ชอบใจ ก็เธออ้วนแล้วมันหนักหัวใครฟร่ะ!

เถากลืนจิตมัวแต่ขีดเขียนจึงไม่สนใจสตรีอ้วน มันเขียนๆ ตวัดพู่กันไปมาพักใหญ่ ครั้นเขียนเสร็จแล้วมันก็วางพู่กันลง แล้วเก็บเครื่องเขียนไป เหลือเพียงกระดาษหลายแผ่นบนโต๊ะ

จ้าวเป่าฉินชะเง้อคอดูกระดาษบนโต๊ะ เห็นตัวอักษรแปลกตา แต่น่าแปลกที่เธอกลับเข้าใจอักษรเหล่านั้น เธออ่านออกเสียง 1 แถว “แขนยาว 6 คืบ”

“หือ?” เถากลืนจิตหันไปมองสตรีอ้วน ถามว่า “เจ้าอ่านอักขระเหล่านี้ได้ด้วยรึ?”

“ก็อ่านได้ ทำไมเหรอ?” จ้าวเป่าฉินย้อนถาม

เถาะกลืนจิตจ้องนาง พูดว่า “วิญญาณที่เคยหลุดหลงมา ไม่เคยมีใครเข้าใจภาษาของที่นี่ อย่าว่าแต่อ่านเลย แค่พูดยังพูดไม่ได้เลย”

จ้าวเป่าฉินเอียงคออย่างฉงน “ฉันก็พูดอยู่เนี่ย แล้วก็ฟังคุณเข้าใจด้วย”

“ประหลาดนัก” เถากลืนจิตพูดอย่างแปลกใจ มันจ้องมองสตรีอ้วนเขม็ง แล้วยื่นเถาไปชี้ที่อักขระบนกระดาษแถวหนึ่ง “เจ้าอ่านนี่ซิ”

จ้าวเป่าฉินมองกระดาษแล้วอ่าน “คอ 4 คืบ”

“โอ เจ้าอ่านได้จริงๆ” เถากลืนจิตพูดอย่างประหลาดใจมาก มันหันไปมองสตรีอ้วน จ้องนางราวกับนางเป็นตัวประหลาดที่ผุดออกมาจากฟากฟ้าอย่างไรอย่างนั้น

“เจ้ากินอะไรเข้าไป? หรือใครให้ของวิเศษกับเจ้า?” มันถามอย่างอยากรู้ยิ่ง

จ้าวเป่าฉินส่ายหน้า ก็เธอไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดถึงได้ฟังเข้าใจ อ่านได้ ก็เหมือนกับที่เธอฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษได้นั่นแหละ เธอต้องเก่งภาษาอังกฤษเพราะตำราเรียนของเธอเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ก็เธออยากเป็นหมอนี่นา ดังนั้นเธอจึงเลือกเรียนสายแพทย์ แต่พอได้ทำงานเธอกลับเลือกเป็นหมอนิติเวช ก็นะศพมันไม่เคยบ่นว่าเธออ้วนนี่

“เอาเถอะ เรื่องนี้เอาไว้ทีหลังเถอะ ตอนนี้ข้าต้องตัดเย็บอาภรณ์ให้เจ้าก่อน ขืนให้เจ้าใช้ผ้าห่มเช่นนี้เกิดผ้าหลุดต่อหน้านายท่านขึ้นมาได้อับอายแย่” เถากลืนจิตพูดขึ้นมา แล้วหันไปจัดแจงเรื่องตัดเย็บอาภรณ์ต่อ

จ้าวเป่าฉินเห็นเถากลืนจิตไม่สนใจเธอแล้ว เธอจึงถอยห่างออกไป แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะ เมื่อนึกขึ้นได้แล้วเธอจึงถามเถากลืนจิตว่า “นี่ๆ ห้องน้ำอยู่ไหนเหรอ?”

“ห้องน้ำ?” เถากลืนจิตหันไปมองอย่างไม่เข้าใจ

จ้าวเป่าฉินจึงอธิบายว่า “ก็ห้องที่ใช้อาบน้ำไง ฉันอยากอาบน้ำ”

“อ่อ เจ้าอยากอาบน้ำก็ไปที่ลำธารนู้น” เถากลืนจิตยกเถาเส้นหนึ่งชี้ออกไปด้านนอก

จ้าวเป่าฉินมองตามแล้วเดินออกไป

เถากลืนจิตหันไปจัดแจงตัดเย็บอาภรณ์ต่อ มันคลี่ผ้าออกแล้ววัดๆ ทาบๆ กับเถาตัวเองไปมา

จ้าวเป่าฉินเดินไปเรื่อยๆ กวาดตามองหาลำธารพร้อมกับมองสำรวจสถานที่ไปด้วย

จนกระทั่งเธอเดินไปถึงลำธารสายหนึ่ง น้ำใสแจ๋วมาก ใสจนเห็นทรายก้นลำธาร ใสราวกับไม่มีน้ำยังไงอย่างงั้นแหละ เธอมองไปรอบๆ ดูว่ามีใครอยู่แถวนี้รึเปล่า เมื่อไม่เห็นใครเธอจึงแกะผ้าออกวางไว้บนพุ่มไม้ แล้วรีบเดินไปเอานิ้วเท้าแตะๆ น้ำ น้ำเย็นปกติ อีกทั้งนิ้วเท้าเธอก็ปกติมาก เธอจึงก้าวลงไปในน้ำ แล้วรีบอาบน้ำอย่างไวสุดชีวิต ขัดๆ ถูๆ ตัวไปทั่วๆ เมื่อรู้สึกว่าสะอาดแล้วเธอก็รีบขึ้นทันที

ก็มันรู้สึกแปลกๆ อ่ะ เธอไม่เคยอาบน้ำแบบ Outdoor เลยนะ อีกทั้งเธอกลัวว่าอาจจะมีใครโผล่มาก็ได้ เธอไม่อยากให้ใครเห็นเรือนร่างหรอกนะ ถึงเธอจะอ้วนแต่ก็หวงเรือนร่างนะโว๊ย!

ใครอยากดูก็ต้องจ่ายตังซิ ขนาดผู้ชายไปขอผู้หญิงแต่งงานยังต้องหอบสินสอดไปขอเลย ดังนั้นร่างกายผู้หญิงจึงมีคุณค่านะ ไม่ใช่ของให้ดูฟรีๆ เฟ้ย

เมื่อขึ้นจากน้ำแล้วเธอก็รีบหยิบผ้ามาพันตัวให้แน่นหนาเหมือนเดิมทันที หลังจากอาบน้ำแล้วเธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก จากนั้นเธอก็เดินกลับไปที่บ้านหลังเดิม

เมื่อกลับไปถึง เธอก็เห็นเถากลืนจิตกำลังยุ่งง่วนกับกองผ้า เธอจึงยืนมองมันอยู่หน้าประตู

เถากลืนจิตได้ยินเสียงฝีเท้าจึงเงยหน้าหันไปดู พอเห็นว่าเป็นสตรีอ้วนมันจึงกวักเถาเรียก “มาๆ เจ้ามาลองอาภรณ์ที่ข้าเย็บเสร็จแล้วซิ”

จ้าวเป่าฉินจึงเดินเข้าไปในบ้าน เถากลืนจิตก็ยื่นอาภรณ์ชุดหนึ่งให้นาง “นี่ เอาไปใส่”

จ้าวเป่าฉินรับอาภรณ์มากางดู เห็นว่าลักษณะคล้ายเสื้อผ้าแบบยุคโบราณ แต่ต่างกันตรงที่แขนไม่ได้กว้างๆ เหมือนชุดโบราณ เธอมองๆ หาที่เปลี่ยนชุด แล้วก็เห็นฉากกั้นอันหนึ่งทำจากไม้กับผ้า ผ้าเป็นสีพื้น ไม่มีลวดลายอะไร เธอจำได้ว่าก่อนออกไป ในห้องยังไม่มีฉากอันนี้เลยนะ เธอมองฉากอันนั้นอย่างสงสัย

เถากลืนจิตเห็นสตรีอ้วนมองฉากกั้น มันจึงบอกว่า “นั่นข้าเพิ่งทำเสร็จ ยังไม่ได้ปักลาย รอไว้ข้ามีเวลาแล้วจะปักลายให้ ตอนนี้เจ้าก็ใช้เช่นนี้ไปก่อนเถอะ”

“คุณทำ?” จ้าวเป่าฉินถาม

“ใช่” เถากลืนจิตเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจมาก แล้วคุยอวดว่า “เรือนหลังนี้ข้าก็สร้าง เตียงนั่นข้าก็ต่อ โต๊ะนี่ข้าก็ทำเอง”

จ้าวเป่าฉินมองมันอย่างทึ่งมาก ต้องยอมรับเลยว่าปลาหมึกยักษ์ตัวนี้เก่งมาก เธอชูนิ้วโป้งให้มัน

“หือ?” เถากลืนจิตทำหน้าฉงน

“อ่อ แบบนี้หมายถึงว่า คุณสุดยอด” จ้าวเป่าฉินอธิบายให้ฟัง

“อ่อ” เถากลืนจิตพยักหน้าเข้าใจ แล้วโบกเถาไล่ “เจ้ารีบไปเปลี่ยนซิ ข้าจะได้ดูว่าพอดีหรือไม่”

“ขอบคุณค่ะ” จ้าวเป่าฉินพูดขอบคุณจากใจจริงๆ ดูๆ ไปแล้วเถากลืนจิตก็นิสัยดีเหมือนกันนะ

เธอเดินไปหลังฉากกั้น แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งที่นี่เรียกว่าอาภรณ์นั่นแหละ

หลังจากเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จแล้วเธอก็เดินออกไป

เถากลืนจิตมองๆ แล้วก้าวไปหา จ้าวเป่าฉินชะงักถอยหลังไป 2 ก้าว

“วะ! เจ้านี่นะ จะหนีทำไม!?” เถากลืนจิตยกเถาเท้าสะเอว

จ้าวเป่าฉินยืนนิ่งหน้าแหยๆ “คือ…คือ…”

“ช่างเถอะๆ มาๆ ขยับมาให้ข้าดูดีๆ” เถากลืนจิตบอกพลางยื่นเถาไปจับข้อมือสตรีอ้วน

จ้าวเป่าฉินเกือบจะสะบัดมือแล้ว รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้จะทำอะไรเธอ เธอจึงข่มใจไม่สะบัดออก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version