Chapter 4
ปลาเงิน
เถากลืนจิตดึงสตรีอ้วนเข้ามา แล้วมองหัวจรดเท้า เท้าจรดหัว ทั้งจับนางหมุนไปหมุนมา แล้วพูดว่า “อืม ตรงนี้หลวมไปหน่อย ตรงนี้คับไปหน่อย”
จากนั้นมันก็ปล่อยนาง
จ้าวเป่าฉินมองตาปริบๆ
เถากลืนจิตหันไปยุ่งง่วนกับกองผ้าต่อ
จ้าวเป่าฉินมองเถากลืนจิต เห็นว่ามันไม่สนใจเธอเลย เธอจึงเดินออกไป
เถากลืนจิตเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วหันไปตัดเย็บอาภรณ์ต่อ
จ้าวเป่าฉินเดินไปเรื่อยๆ สำรวจสถานที่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงบ้านหลังหนึ่ง เธอเห็นชายผมขาวคนนั้นนั่งอยู่หน้าบ้าน เธอชะงักหยุดมองเขา
จางอี้ปินเห็นจ้าวเป่าฉิน เขาจึงกวักมือเรียกพร้อมกับลุกขึ้น “มานี่ซิ”
จ้าวเป่าฉินเดินไปหา เธอหยุดยืนตรงนอกชายคา
“เจ้ารอก่อน เดี๋ยวข้าไปเอาตำรามาให้” จางอี้ปินบอกแล้วเดินเข้าบ้านไป
จ้าวเป่าฉินมองตาม เธอเห็นผ่านประตูเข้าไป เห็นห้องโถง มีเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้น ดูเรียบง่ายมาก
สักพักจางอี้ปินก็เดินออกมา เขาถือม้วนผ้ามาหลายม้วนมาก เรียกว่าใช้แขนหอบมาเต็มอ้อมอกเลยทีเดียว “เอ้า รับไปซิ”
จ้าวเป่าฉินมองม้วนผ้าอย่างอึ้งๆ “ทั้งหมดนี่ คือให้ฉัน?”
“เจ้าต้องพูดว่าให้ข้าต่างหาก หัดพูดให้เหมือนคนที่นี่เสีย เจ้าจะได้ไม่ถูกใครรังแกเอา” จางอี้ปินบอก
จ้าวเป่าฉินพยักหน้ารับ
จางอี้ปินก็ใช้พลังทำให้ม้วนตำราทั้งหมดลอยไปตรงหน้าจ้าวเป่าฉิน
“อ้า!” จ้าวเป่าฉินตกใจจนเกือบจะวิ่งแล้ว
“ตกใจอะไรเล่า นี่เป็นเรื่องปกติมากสำหรับแดนเทพแห่งนี้ เจ้ามาจากแดนมนุษย์ ซึ่งสามพันโลกใบเล็ก สามพันโลกใบใหญ่ย่อมไม่มีเช่นนี้ให้เห็นกระมัง” จางอี้ปินพูด
จ้าวเป่าฉินพยักหน้าหงึกๆ ก็เธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลยน่ะซิ อย่างพวกคนที่ว่ามีพลังพิเศษอะไรพวกนั้น พอเอาเข้าจริงๆ ก็เป็นแค่มายากลเท่านั้นเอง
“เอ้า รับไปซิ เจ้าจะได้เอาไปอ่าน” จางอี้ปินบอก
จ้าวเป่าฉินจึงรับม้วนผ้าเหล่านั้นมา
พลัน! จางอี้ปินก็นึกอะไรขึ้นได้ “หือ?”
เขาจ้องมองจ้าวเป่าฉิน “เจ้าพูดภาษาเทพได้?”
จ้าวเป่าฉินพยักหน้า
จางอี้ปินก้าวพรวดถึงตัวทันที เขาจับข้อมือนางขึ้นมา ทำให้จ้าวเป่าฉินทำม้วนผ้าร่วงลงพื้น “อุ้ย!”
จางอี้ปินไม่สนใจม้วนตำราเหล่านั้น เขาตรวจนางอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็พบว่าในจุดตันเถียนของนางมีเลือดมังกรหยดเล็กๆ หยดหนึ่ง
หยดเลือดนี้เล็กมากจนเท่าปลายเข็ม หยดเลือดนี้กำลังถูกร่างกายนางดูดกลืนไป
เมื่อพบหยดเลือดมังกร เขาก็เข้าใจในทันทีว่านางกลายเป็นครึ่งเทพได้อย่างไร อีกทั้งยังเข้าใจภาษาเทพได้อย่างไร ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเพราะหยดเลือดมังกรทั้งหมด
เจ้าตัวตะกละบอกว่าเห็นมังกรดำเฮยหลงอยู่บริเวณนั้น เช่นนั้นก็หมายความว่าสตรีผู้นี้คงจับพลัดจับผลูได้เลือดมังกรมาโดยบังเอิญซินะ นางจึงกลายเป็นครึ่งเทพขึ้นมา อา ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว
เขาปล่อยมือนาง “นับว่าเจ้าโชคดีไม่น้อย เลือดมังกรหายากนัก เจ้ายังได้มา”
“เลือดมังกร? เลือดมังกรอะไร?” จ้าวเป่าฉินงุนงงไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ในร่างเจ้ามีเลือดมังกรอยู่” จางอี้ปินพูดพลางชี้ไปที่ท้องของจ้าวเป่าฉิน
“หา!” จ้าวเป่าฉินตกใจก้มมองท้องตัวเอง แล้วเงยหน้ามองจางอี้ปิน
จางอี้ปินหัวเราะหึๆ แล้วบอกว่า “ไม่ต้องกลัวไป เลือดมังกรนับว่าเป็นของดี เป็นของหายากมาก ต่อให้หยดลงพื้น ผู้คนยังยอมขุดดินที่มีเลือดมังกรเลย เจ้านับว่าโชคดีจริงๆ โชคดีจริงๆ”
เขาพูดแล้วก็เดินจากไป หัวเราะเบาๆ อย่างชอบอกชอบใจไปด้วย
จ้าวเป่าฉินมองตามอย่างงงๆ จนกระทั่งจางอี้ปินหายลับไปนานแล้วเธอจึงก้มลงเก็บม้วนผ้าขึ้นมา แล้วเดินกลับบ้านอย่างงงๆ
เมื่อไปถึงบ้าน เธอก็เห็นเถากลืนจิตยังง่วนกับกองผ้าอยู่ เธอจึงหมุนตัวเดินไปนั่งใต้ต้นไม้แล้ววางม้วนผ้าลงกับพื้น
เธอหยิบม้วนผ้ามา 1 ม้วนแล้วเปิดออกดู ภายในม้วนผ้ามีอักขระเรียงเป็นแถวๆ เธออ่านอักขระเหล่านั้นทีละแถวๆ
แรกๆ เธออ่านยังไม่ค่อยคล่อง เหมือนกับคนที่หัดอ่านภาษาต่างประเทศใหม่ๆ นั่นแหละ เธออ่านได้ช้ามาก แต่พออ่านไปสักพักเธอก็เริ่มอ่านได้ไวขึ้น ไวขึ้นเรื่อยๆ จากไม่คล่องก็เริ่มคล่องขึ้นมาแล้ว
เธอไม่รู้ว่าตัวเองนั่งอ่านม้วนตำรามานานเท่าไหร่แล้วเพราะไม่มีนาฬิกา จนกระทั่งท้องร้องนั่นแหละเธอจึงเงยหน้าขึ้น “หิวอ่ะ”
เธอวางตำราลงแล้วลุกไปเดินหาของกิน เธอเดินไปถามเถากลืนจิตว่า “คุณๆ มีของกินป่ะ?”
เถากลืนจิตเงยหน้ามอง แล้วได้ยินเสียงดังจ๊อกกกก—
จ้าวเป่าฉินทำท่าอายๆ “คือฉันหิวแล้วอ่ะ”
“หิว?” เถากลืนจิตทวนคำ มันมองเบื้องนอกแล้วก็ร้องลั่น “อ้า! ข้ายังไม่ได้ทำกับข้าวให้นายท่านเลย แย่แล้วๆ”
มันร้องโวยวายแล้วก็รีบลุกขึ้นวิ่งตึงๆ ออกไป
จ้าวเป่าฉินรีบถอยหลบทันที แล้วรีบวิ่งตามเถากลืนจิตไป
ก็เถากลืนจิตกำลังจะไปทำกับข้าวใช่ป่ะ ถ้าเธอตามไปก็อาจจะช่วยทำกับข้าวได้แล้วจากนั้นเธอก็ขอแบ่งข้าวมาสักชามพูนๆ ก็น่าจะได้มั้ง ถือว่าเป็นค่าแรงที่เธอช่วยทำก็ได้ เธอไม่คิดค่าแรงเป็นเงินทองขอแค่ข้าวชามเดียวเองนะ
เถากลืนจิตวิ่งตึงๆ ไปจนถึงเรือนครัว มันรีบเข้าไปจุดไฟตั้งกระทะ จุดไฟตั้งเตาต้มน้ำร้อน ครั้นจุดไฟเสร็จก็หันไปหยิบผักหยิบเนื้อมาหั่นๆ อย่างเร่งรีบ
จ้าวเป่าฉินตามไป มองเห็นเถากลืนจิตกำลังทำนั่น นู่น นี่ ง่วนไปหมด เธอจึงเดินไปถาม “จะให้ฉันช่วยทำอะไรมั่ง? ฉันขอแค่ข้าวชามนึงแลกค่าแรงก็ได้”
“เจ้ามาก็ดี มาช่วยข้าล้างผัก หั่นผัก ว่าแต่เจ้าหั่นผักเป็นหรือไม่?” เถากลืนจิตมองอย่างประเมินอยู่ในใจ
“เป็น” จ้าวเป่าฉินตอบ
อย่าหาว่าเธอคุยเลยนะ ตั้งแต่เธอเริ่มโตก็ออกไปรับจ็อบทำงานหาเงินตั้งแต่เด็กแล้ว ทั้งแจกใบปลิว รับจ้างส่งหนังสือพิมพ์ ปั่นจักรยานส่งพิซซ่าแถวบ้าน พอโตขึ้นอีกหน่อยก็ไปรับจ้างเป็นลูกจ้างในร้านอาหาร เริ่มทำตั้งแต่ล้างจาน ล้างผัก ช่วยหั่นผัก ช่วยเสิร์ฟ พออยู่ร้านอาหารนานๆ เข้าก็ช่วยพ่อครัวทำกับข้าว จากแรกๆ เริ่มทำกับข้าวง่ายๆ อย่างเจียวไข่ ตุ๋นไข่ ต่อๆ มาก็เริ่มทำกับข้าวยากๆ จนตอนนี้เธอพูดได้เต็มปากว่าตัวเธอก็มีฝีมือด้านทำอาหารคนหนึ่งได้เลย เรียกว่าเป็นเชฟแบบฝึกมากับเชฟใหญ่ก็ได้
เถากลืนจิตจึงยื่นถังใส่ผักให้นาง “เอ้า เอาไปล้าง”
จ้าวเป่าฉินรับถังใส่ผักมาแล้วมองๆ ดูของใช้ในครัว เห็นถังน้ำตั้งอยู่ด้านหนึ่งจึงเดินไปตักน้ำล้างผัก ครั้นล้างเสร็จแล้วเธอก็เอาผักไปวางบนโต๊ะแล้วถามว่า “ผักนี่จะทำกับข้าวอะไรเหรอ?”
“ผัดกับปลา” เถากลืนจิตบอกแล้วชี้ไปที่ปลาตัวหนึ่งซึ่งอยู่บนโต๊ะริมห้อง
จ้าวเป่าฉินมองตามแล้วอ้าปากค้าง เธอไม่เคยเห็นปลาอะไรตัวใหญ่ขนาดนี้เลย ตัวใหญ่ขนาดเท่าเครื่องซักผ้า 10 ก.ก. มันยาวประมาณ 2 เมตร ปลาตัวนั้นมีเกล็ดสีเงินทั้งตัว
“ไม่เคยเห็นปลาเงินซินะ” เถากลืนจิตเดาๆ จากท่าทางของนาง
จ้าวเป่าฉินพยักหน้าหงึกๆ
ปลาตัวใหญ่ๆ เธอเคยเห็นแต่ในคลิปเท่านั้น อย่างพวกปลาโลมา ปลาวาฬ ปลาฉลาม แต่ปลาตัวจริงๆ ที่ใหญ่ขนาดนี้เธอเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกก็ครั้งนี้แหละ
ก็บ้านเธอจนอ่ะ พ่อแม่ไม่มีเงินพาเธอไปท่องเที่ยวหรอกนะ แค่ค่าเทอมค่าเลี้ยงดูเธอกับพี่สาวพ่อกับแม่ก็ต้องลำบากมากแล้ว
จนกระทั่งพี่สาวเธอเรียนจบมหาวิทยาลัย พ่อกับแม่จึงลดภาระลงไปได้มาก
เมื่อเธอเรียนจบมหาวิทยาลัยอีกคน พ่อกับแม่จึงสบายขึ้นมาก แต่พ่อกับแม่ยังสุขสบายไม่ทันไรเธอก็ดันมาตายจากซะแล้ว เฮ้อ… แต่อย่างน้อยก็ยังมีพี่สาวของเธอที่สามารถดูแลพ่อกับแม่ได้
“เอ้า หั่นผักซิ” เถากลืนจิตสั่ง
จ้าวเป่าฉินจึงละสายตาจากปลาเงิน เธอหยิบมีดขึ้นมา ลองลูบๆ คมมีดดู พบว่ามีดคมดี เธอจึงหยิบเขียงมาแล้วโชว์สกิลหั่นผัก เธอหั่นฉับๆ อย่างว่องไวยิ่ง สมกับที่เป็นลูกมือเชฟใหญ่มาหลายปี
เถากลืนจิตมองแล้วตกตะลึงไป มันไม่เคยเห็นใครหั่นผักได้ไวเท่านี้เลย ช่างเป็นการหั่นผักที่ไวมาก แล้วผักก็เท่ากันทุกชิ้น โอ…
จ้าวเป่าฉินหั่นผักเสร็จแล้วก็เงยหน้ามองเถากลืนจิต “เป็นยังไง?”
“เยี่ยม” เถากลืนจิตชมคำหนึ่ง
จ้าวเป่าฉินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
เถากลืนจิตได้ทีจึงชี้นิ้วสั่ง “เจ้าหั่นปลาซิ”
“หั่นหมดนี่เลยเหรอ?” จ้าวเป่าฉินถาม
เธอมองปลาตัวใหญ่อย่างคำนวณอยู่ในใจ ด้วยความที่อยู่ก้นครัวมานาน ดังนั้นจึงติดนิสัยบริหารจัดการวัตถุดิบในครัวมาจากเชฟใหญ่ไปโดยปริยาย
“หั่นหมดนั่นแหละ ข้าจะผัดให้นายท่านจานหนึ่ง เจ้าจานหนึ่ง ที่เหลือข้ากินทั้งหมด” เถากลืนจิตบอก
จ้าวเป่าฉินมองขนาดตัวของเถากลืนจิตแล้วก็ไม่สงสัยว่ามันจะกินหมดไหม? ก็ตัวมันใหญ่ขนาดนั้น กินปลาตัวนี้ก็คงหมดแน่นอน ดังนั้นเธอจึงถือมีดไปแล้วจัดแจงทำปลา ก่อนจะลงมีดเธอก็ถามมันว่า “ปลานี่ล้างเรียบร้อยรึยัง?”
“ไม่ต้องล้าง ใครเขาล้างปลาเงินกัน เสียรสหมด” เถากลืนจิตตอบ
จ้าวเป่าฉินจับๆ ตัวปลา เธอยื่นหน้าดมๆ กลิ่น เธอไม่ได้กลิ่นคาวปลาจากปลาตัวนี้เลย อีกอย่างเธอก็ไม่รู้เกี่ยวกับปลาชนิดนี้ ดังนั้นเมื่อเถากลืนจิตบอกว่าไม่ต้องล้างก็ไม่ต้องล้าง เธอจึงจัดการแล่หนังปลาทันที แต่พอเธอจรดมีดลงไป คมมีดกระทบเกล็ดเสียงดังเคร้ง
“หือ?”
เธอเอามีดเคาะๆ เกล็ดปลา เสียงดังเคร้งๆ เหมือนมีดเคาะโลหะยังไงอย่างงั้น ทำให้เธอรู้ว่าเกล็ดปลาตัวนี้เป็นโลหะจริงๆ “โห…”
เธอลองแทงมีดลงไป เกิดเสียงดังเคร้ง! ขึ้นคราหนึ่ง “หือ? เป็นโลหะทั้งตัวเลยเหรอ?”
แล้วถ้ามันเป็นโลหะทั้งตัวอย่างนี้ เนื้อข้างในก็เป็นโลหะด้วยรึเปล่า?
เธอจึงลองแทงมันอีกที เคร้งงงง—
เสียงดังกังวานมาก ทำเธออึ้งไปเลย
เถากลืนจิตก้าวไปใกล้ พูดว่า “เจ้าไม่เคยหั่นปลาเงินซินะ”
จ้าวเป่าฉินจึงพูดว่า “เพิ่งจะเคยเห็นครั้งแรกนี่แหละ แล้วจะเคยหั่นได้ไง”
“เช่นนั้น ดูข้า” เถากลืนจิตพูดแล้วยื่นเถาไปหยิบมีดอีกเล่มมา มันก้าวเข้าไปจนชิดโต๊ะแล้วจัดแจงแล่ปลาเงินให้ดู มันแทงที่ตาปลาฉึก!
พลัน! ปลาเงินก็ชันเกล็ดขึ้นจนตั้งเด่ จากนั้นมันก็แทงมีดเข้าไปตรงใต้เกล็ดตรงใต้ปากปลา แล้วกรีดเป็นรอยยาวไปจนถึงหางปลา แล้วก็ดึงมีดออก มันจับปลาพลิกอีกด้านแล้วแทงตรงใต้เกล็ดเหนือปากปลา กรีดเป็นรอยยาวไปจนถึงหางปลา
เมื่อกรีดสองข้างเสร็จแล้วมันก็ดึงหนังปลาตรงหางลอกขึ้นเผยให้เห็นเนื้อปลาที่ขาวราวกับหิมะ จากนั้นมันก็พลิกปลาอีกด้านแล้วลอกหนังอีกด้านออก
มันเก็บเกล็ดทั้งสองด้านไว้ในหยกคุนเฉียน เกล็ดปลาเงินนี้พวกปรมาจารย์หลอมอาวุธต้องการนัก เอาไปใช้หลอมประดับศาสตราให้สวยงาม มันจึงเก็บสะสมเกล็ดปลาเอาไปขาย
อีกทั้งปลาเงินก็มีแต่เฉพาะในทะเลสาบในอาณาเขตที่อยู่ของนายท่านเท่านั้น ใครก็ไม่กล้ามาตกปลาในอาณาเขตของนายท่านหรอก ดังนั้นปลาเงินนี้จึงมีแต่นายท่านตกได้คนเดียว
หลังจากลอกหนังปลาเสร็จแล้วมันก็แล่เนื้อปลาออกมา แล่จนเหลือแต่ก้างและหัว ซึ่งก้างและหัวปลานี้มันก็เก็บไปเช่นกัน เพราะสามารถเอาไปขายให้ปรมาจารย์หลอมอาวุธได้ ดังนั้นมันจึงเก็บสะสมเอาไว้
จ้าวเป่าฉินยื่นมือไปจิ้มๆ เนื้อปลา เธอพบว่าเนื้อมันเด้งๆ เหมือนเนื้อหอยเชลล์ ซึ่งคิดว่าเอามาทำอาหารน่าจะอร่อยมากแน่นอน
เถากลืนจิตก็หั่นเนื้อปลาจนหมด
เมื่อผักพร้อม เนื้อปลาพร้อมแล้วมันก็ตั้งท่าจะผัดทันที จ้าวเป่าฉินส่งเสียงคำหนึ่ง “หือ?”
“นี่ๆ แล้วกระเทียม ต้นหอม ผักชี ไม่มีเหรอ?” เธอถามมันพลางมองหากระเทียม ต้นหอม ผักชี หรือไม่ก็หัวหอม
“จะต้องใส่ของพวกนั้นไปทำไม?” เถากลืนจิตพูดแล้วตั้งท่าจะผัด
“ไม่ใส่กระเทียม ต้นหอม ผักชี แล้วมันจะอะไรได้ไง?” จ้าวเป่าฉินพูดอย่างติติง
“ข้าทำกับข้าวไม่เคยใส่ของพวกนั้นสักครั้ง” เถากลืนจิตพูดอย่างราบเรียบมาก ก็มันทำกับข้าวทุกครั้งไม่เคยต้องใช้ของพวกนั้นเลย
จ้าวเป่าฉินอ้าปากค้างไป คิดในใจว่า มีแค่ผักกับปลาแล้วมันจะไปอร่อยได้ไงอ่ะ เธอจึงมองหากระเทียม ต้นหอม ผักชี แต่มองจนทั่วทั้งห้องครัวก็ไม่เจอเครื่องเทศเครื่องปรุงเลย แม้แต่เกลือยังไม่มี เดาได้เลยว่าอาหารที่เถากลืนจิตทำออกมารสชาติคง ‘หมาไม่แดก’ ชัวร์! คอนเฟิร์มล้านเปอร์เซ็นเลย!
“แล้วจะหากระเทียม ต้นหอม ผักชี ซีอิ้วขาว ซอสหอยนางรม พริกไทยดำได้จากไหนเหรอ?” เธอถามมัน
เถากลืนจิตส่ายศีรษะ “จะหาของพวกนั้นมาทำไม?”
“ก็เอามาปรุงรสนะซิ” จ้าวเป่าฉินบอก
“กระเทียม ต้นหอม ผักชีน่ะ ข้ารู้จัก แต่ซี…ซี กับ ซอส…ซอสอะไรนั่นน่ะข้าไม่รู้จักหรอกนะ”
“งั้นจะหากระเทียม ต้นหอม ผักชีได้จากไหน? พริกไทยดำด้วย แล้วก็เกลือ”
“ตามข้ามา” เถากลืนจิตบอกแล้วหันไปยกกระทะลงจากเตา จากนั้นก็เดินนำออกไป
จ้าวเป่าฉินรีบเดินตามไป
เถากลืนจิตเดินนำทางไปจนถึงสวนผัก ที่นี่มันปลูกผักไว้หลายชนิดมาก ส่วนใหญ่เป็นผักที่นายท่านซื้อเมล็ดจากพ่อค้าเอามาปลูกไว้
ยามนายท่านออกไปข้างนอกแล้วกินอาหารอร่อยที่ไหนก็มักจะถามพ่อครัวว่าอาหารจานนี้ใส่อะไรลงไปบ้าง แล้วก็ซื้อหาผักที่ใส่ในอาหารจานนั้นมาปลูกเอาไว้ วันไหนนายท่านอยากกินอาหารจานนั้นแต่ไม่อยากออกไปข้างนอก นายท่านก็จะเก็บผักจากในสวนไปทำกินเอง แต่ทำกี่ครั้งรสชาติก็ไม่เคยเหมือนที่เขาเคยกินจากเหลาอาหารเหล่านั้นเลยสักครั้ง จนนายท่านคร้านจะทำอาหารกินเองแล้ว ดังนั้นมันจึงคอยทำอาหารให้นายท่านกินเอง ซึ่งนายท่านก็ชมว่า ‘ดี’ ทำให้มันยิ้มดีใจมาก
จ้าวเป่าฉินมองสวนผักที่มีผักหลากหลายชนิด เครื่องเทศมีครบหมดทุกชนิด นี่มันซุปเปอร์มาเก็ตชัดๆ
เธอจึงเดินๆ ดูแล้วถอนต้นกระเทียม ต้นหอมขึ้นมา ต้นผักชีก็มี ดังนั้นเธอจึงถอนมันมาด้วย เธอเห็นพริกไทยออกลูก จึงเก็บพริกไทยอ่อนมาด้วย เธอเห็นพริก จึงเด็ดพริกมาแล้วกัดชิมนิดหนึ่ง พบว่ารสชาติเหมือนพริกหวาน ไม่เผ็ดมาก เอาไปใช้ผัดกับปลาต้องอร่อยแน่นอน
เมื่อได้วัตถุดิบที่จะใช้ผัดกับปลาจนเกือบครบแล้วเธอจึงถามหาเกลือ “แล้วเกลือล่ะ? น้ำตาลด้วย”
“เกลือน่ะมี อยู่ในครัวนั่นแหละ ส่วนน้ำตาล มันคือน้ำอะไร?” เถากลืนจิตทำหน้างงๆ มันไม่รู้จักน้ำตาลจริงๆ
“งั้นน้ำผึ้งล่ะมีไหม?” จ้าวเป่าฉินถามหาของทดแทน ไม่มีน้ำตาลใช้น้ำผึ้งปรุงรสแทนก็ได้
“น้ำผึ้งน่ะมี อยู่ในเรือนนายท่าน เดี๋ยวข้าไปเอามาให้” เถากลืนจิตพูดแล้วเดินจากไป
จ้าวเป่าฉินจึงหอบวัตถุดิบทั้งหมดกลับไปที่ห้องครัว เธอคำนวณแล้วว่าวัตถุดิบเท่านี้ย่อมไม่พอสำหรับผัดปลาตัวนั้นหรอก ดังนั้นเธอจึงหิ้วถังไม้ย้อนกลับไปที่สวนผักอีกครั้งแล้วถอนวัตถุดิบเพิ่ม
หลังจากได้วัตถุดิบพอแล้วเธอก็หิ้วถังกลับห้องครัว จัดแจงล้างผักที่เก็บมาใหม่แล้วหั่นๆ แยกผักแต่ละชนิดเอาไว้
เธอมองหาเกลือ เปิดไหนั้นไหนี้ทั้งห้องครัว ในที่สุดก็เจอเกลืออยู่ในไห เธอจึงหยิบเกลือออกมา กะให้พอดีกับผักและปลา
เถากลืนจิตกลับมา ถือไหน้ำผึ้งมาไหหนึ่ง มันวางไหบนโต๊ะแล้วมองผักที่ถูกหั่นแยกๆ เอาไว้
จ้าวเป่าฉินเอาฟืนใส่ใต้เตาเพิ่มแล้วยกกระทะขึ้นตั้งบนเตา