Skip to content

สตรีอ้วนป่วนสวรรค์ 5

  • by

Chapter 5

ทำกับข้าว

กระทะใบใหญ่มาก ใหญ่เหมือนกระทะตามโรงทานที่ทำกับข้าวแจกผู้คนนั่นแหละ เธอมองเถากลืนจิตแวบหนึ่ง ก็นะ มันตัวใหญ่ขนาดนั้น ทำอาหารกินทีก็ต้องทำทีละเยอะๆ ทำนิดเดียวจะไปพอให้มันกินอิ่มได้ไง

เธอหันไปมองหาตะหลิว แล้วก็เห็นตะหลิวอันใหญ่มาก เรียกว่าขนาดพอเหมาะพอดีกับกระทะใบใหญ่นั่นแหละ เธอหยิบตะหลิวขึ้นมาถือตั้งท่า รอจนกระทะร้อนได้ที่แล้วเธอก็เอากระเทียมใส่ลงไป ผัดๆ สองทีแล้วเอาต้นหอม ผักชี พริกและพริกไทยอ่อนใส่ลงไปพร้อมกัน เธอผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นก็เทเกลือลงไป ตักน้ำผึ้งใส่ปรุงรสนิดหน่อย แล้วชิมรส “อืม ใช้ได้”

เธอหยิบปลาลงไปผัดแล้วใส่ผักตามลงไปทันที

กลิ่นหอมมากทำให้เถากลืนจิตสูดกลิ่น “หอมมาก”

มันพูดแล้วก็น้ำลายไหลจนเกือบจะไหลย้อยออกมาจากปาก มันรีบยกเถาเช็ดๆ น้ำลายที่ย้อยตรงมุมปาก

จ้าวเป่าฉินผัดเสร็จก็แล้วก็รีบตักใส่จานทันที ผัดปลาต้องผัดให้เร็วๆ ปลาจะได้ไม่เละจนดูไม่น่ากิน เธอตักแบ่งใส่จาน 3 จาน แล้วผัดปลาที่เหลือต่อ ก็ปลาเยอะขนาดนี้จะให้เธอผัดทีเดียวหมดได้ไง ก็ต้องแบ่งผัดซิถึงจะอร่อย

เถากลืนจิตขยับเข้าไปหยิบผัดปลามาจานหนึ่ง มันมองซ้ายมองขวาดูว่านายท่านไม่ได้อยู่แถวนี้มันจึงเป่าๆ ให้ปลาหายร้อน เป่าจนกระทั่งอุ่นๆ ดีแล้วมันก็อ้าปากเทกับข้าวจานนั้นเข้าปากไปในคำเดียว ทันทีที่ได้กินมันก็เบิกตาโตอย่างประหลาดใจ “อา…ยอยมาก!”

มันพูดไม่ค่อยชัดนักเพราะกำลังเคี้ยวอาหารอยู่

จ้าวเป่าฉินเหลือบมองมันแวบหนึ่ง สมแล้วที่จางอี้ปินเรียกมันว่า ‘ตัวตะกละ’ เธอลงมือผัดปลาต่อ

เถากลืนจิตกินหมดแล้วมันจ้องมองปลาอีกสองจาน แล้วมองที่อยู่ในกระทะซึ่งกำลังจะผัดเสร็จแล้ว มันคว้าปลาขึ้นมาอีกจานแล้วเป่าๆ จากนั้นก็เทเข้าปากไปในคำเดียว มันพูดทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวตุ้ยๆ “อร่อยมาก ข้าไม่เคยกินปลาอร่อยเท่านี้มาก่อนเลย เจ้าเก่งมาก”

จ้าวเป่าฉินพยักหน้าทีหนึ่ง เธอชินแล้วที่ถูกชมว่าทำอาหารเก่ง เธอก้มมองปลาในกระทะแล้วผัดอีกสองทีก็ตักปลาใส่จาน

เถากลืนจิตหยิบปลาจานที่สามมา มันเป่าๆ สองทีแล้วเทเข้าปาก

“เจ้าตัวตะกละ!”

เสียงเรียกดังขึ้น ทำให้เถากลืนจิตสั่นสะท้านเฮือก มันหันไปมองทั้งๆ ที่ถือจานค้างอยู่ มันเห็นนายท่านยืนอยู่ตรงประตู มันพูดทั้งๆ ที่อาหารเต็มปาก “โนยท่าน!”

“ไร้มารยาทยิ่งนัก!” จางอี้ปินตำหนิเสียงเข้ม

เถากลืนจิตสะท้านเฮือกอีกครั้ง มันรีบมองซ้ายมองขวาแล้วคิดหนีทันที แต่มันยังไม่ทันก้าวไป เท้ามันก็ไม่อาจขยับได้แล้ว “อ้า!”

“หนีซิ” จางอี้ปินพูดน้ำเสียงเย็นเยียบแล้วบ่นว่า “ข้าสอนไม่รู้จักจำ ให้กินดีๆ กินให้เรียบร้อย ไม่ใช่กินมูมมามเช่นนี้ แต่เจ้าไม่เคยจดจำสักที เห็นทีว่าคราวนี้ข้าคงต้องเอาเจ้าไปทิ้งไว้ในทะเลสาบดีไหม?”

“อ้า! ไม่ดีๆ นายท่านอย่าใจร้ายเช่นนั้นนะเจ้าคะ ข้าจำแล้วๆ ต่อไปข้าจะกินดีๆ ไม่กินมูมมามอีกเจ้าค่ะ” เถากลืนจิตรีบพูดออกมาอย่างเร่งรีบ มันยื่นเถาไปพันแขนนายท่านอย่างอ้อนวอนขอความเมตตา

“หึ!” จางอี้ปินสะบัดแขนออก เขานั้นอบรมสั่งสอนหลายครั้งแล้วแต่เจ้าตัวตะกละก็ไม่เคยจดจำสักที เมื่อไม่อยู่ต่อหน้าเขา มันก็กินมูมมานเช่นเดิมทุกครั้งไป มันถือว่าเป็นคนของเขา อ่อ ไม่ซิจะบอกว่าเป็นคนก็ไม่ได้ ต้องบอกว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของเขา แล้วสัตว์เลี้ยงของเขาจะมีกริยามารยาทไม่เรียบร้อยไม่ได้! เสียชื่อเสียงของเขาหมดน่ะซิ

“ข้าจะให้เจ้าอดข้าว ไม่ต้องกินแล้ว และจะเอาเจ้าไปทิ้งไว้ในทะเลสาบเป็นการลงโทษเจ้า”

“อ้า! ไม่นะนายท่าน อย่าให้ข้าอดข้าวเลยนะเจ้าคะ ข้ายอมถูกท่านลงโทษให้อยู่ในทะเลสาบก็ได้ แต่อย่าให้ข้าอดข้าวนะเจ้าคะ” เถากลืนจิตอ้อนวอนอย่างน่าสงสารมาก

จางอี้ปินรู้สึกแปลกใจขึ้นมา ปกติแล้วเจ้าตัวตะกละกลัวถูกทิ้งไว้ในทะเลสาบเป็นที่สุดเพราะมันจะถูกปลาในทะเลสาบไล่กัดเถา แต่คราวนี้มันกลับยอมถูกทิ้งไว้ในทะเลสาบแต่ไม่ยอมอดข้าว?

เขาได้กลิ่นหอมจึงตามกลิ่นมา แล้วก็เห็นเจ้าตัวตะกละกำลังกินอย่างมูมมามยิ่ง ทำเขารู้สึกโมโหมาก เขามองจ้าวเป่าฉินที่กำลังทำกับข้าว แล้วมองกับข้าวที่นางเพิ่งทำเสร็จ เขาเดินไปแล้วนั่งลงหยิบตะเกียบขึ้นมา เขาคีบปลาขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วกินคำหนึ่ง

เขาเบิกตาโต ปลาอร่อยมาก รสชาติกลมกล่อม กลิ่นก็หอมมาก เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าตัวตะกละถึงได้ยอมถูกลงโทษให้อยู่ในทะเลสาบแต่ไม่ยอมอดข้าว เขาวางตะเกียบลงแล้วหันไปพูดกับเจ้าตัวตะกละว่า “ข้าไม่เอาเจ้าไปทิ้งในทะเลสาบก็ได้ แต่ข้าจะให้เจ้าอดข้าว”

“อ้า! ไม่นะเจ้าคะ นายท่านใจร้าย! แง๊!” เถากลืนจิตร้องไห้บีบน้ำตา มันยื่นเถาไปจับแขนนายท่านอย่างขอร้องอ้อนวอนสุดชีวิต

จางอี้ปินทำเมินไม่สนใจมัน

“แง๊ๆ นายท่านอย่าใจร้ายกับข้าเช่นนี้นะเจ้าคะ ต่อไปข้าไม่กินมูมมามแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะกินดีๆ เจ้าค่ะ นายท่านเจ้าขา” เถากลืนจิตเขย่าแขนนายท่านอย่างขอร้องอ้อนวอน

จางอี้ปินดึงแขนออก ไม่สนใจมัน เขาหันไปมองจ้าวเป่าฉินที่กำลังทำกับข้าว

จ้าวเป่าฉินก็ไม่สนใจ เพราะถือว่าเป็นเรื่องของเจ้านายกับลูกน้อง เธอจะไปสอดอะไรได้ล่ะ อีกอย่างเธอก็ยังไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ตื้นลึกหนาบางของจางอี้ปินกับเถากลืนจิตเลย ดังนั้นดูอยู่เฉยๆ เถอะ

เถากลืนจิตยื่นเถาไปพันแขนนายท่านอีกครั้ง “นายท่านเจ้าขา”

จางอี้ปินทำเมินไม่สนใจ

“นายท่านเจ้าขา ข้าจะไม่กินมูมมามแล้วเจ้าค่ะ ข้าสัญญาด้วยกับข้าวฝีมือสตรีอ้วนเลยเจ้าค่ะ ต่อไปหากข้ากินมูมมามอีก นายท่านค่อยให้ข้าอดข้าวนะเจ้าคะ” เถากลืนจิตเขย่าแขนนายท่านยิกๆ

จางอี้ปินแอบยิ้มในใจ ดูเหมือนว่าเขาจะได้คำขู่ที่ได้ผลชะงัดแล้ว ฮี่ๆๆๆ ก็เจ้าตัวตะกละเคยร้อนรนเหมือนเช่นนี้หรือ ไม่เคยเลย มันไม่เคยจดจำบทลงโทษเลยสักนิด ไม่ว่าจะทำโทษมันไปกี่ครั้งมันก็ไม่เคยจดจำ แต่ครั้งนี้มันถึงกับยอมอ้อนวอนเขาเช่นนี้ อืม นับว่าคำขู่นี้ได้ผลยิ่งนัก ฮ่าๆๆๆ

จ้าวเป่าฉินผัดเสร็จอีก 1 กระทะ เธอตักปลาใส่จานแล้วเหล่มองจางอี้ปินกับเถากลืนจิตแวบหนึ่ง จากนั้นเธอก็ลงมือผัดกับข้าวกระทะต่อไปทันที ก็ต้องผัดให้หมด ไม่งั้นเดี๋ยวปลาจะเน่าผักจะเสีย เธอไม่อยากให้ของต้องทิ้งขว้างไปอย่างเปล่าประโยชน์ ดังนั้นผัดให้หมดเถอะ ผัดหมดแล้วเธอก็ค่อยแบ่งมาจานนึง ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นของจางอี้ปินกับเถากลืนจิตละกัน

“นายท่านเจ้าขา นายท่าน” เถากลืนจิตเขย่าแขน ส่งเสียงอ้อนวอนอย่างน่าสงสารมาก

จางอี้ปินเหลือบมองเจ้าตัวตะกละแวบหนึ่ง แล้วเขาก็ทำเสียงขึงขัง “หึ! ต่อไปถ้าเจ้ากินมูมมามอีก อย่าหวังเลยว่าข้าจะให้เจ้ากินข้าวฝีมือจ้าวเป่าฉินอีก ครั้งนี้ข้าจะผ่อนปรนให้ครั้งเดียวเท่านั้น”

“ขอบคุณนายท่านๆ” เถากลืนจิตก้มลงเอาศีรษะโขกพื้นอย่างดีใจยิ่ง มันรีบถอยไปแล้วยื่นเถาไปจะคว้าจานปลา

“เจ้าตัวตะกละ!” จางอี้ปินเรียกมันเสียงเข้มงวด

“นายท่านเจ้าขา” เถากลืนจิตหดเถากลับไป มันทำหน้าเจื่อนจ๋อยยิ่ง มองนายท่านอย่างอ้อนวอน

“หึ!” จางอี้ปินส่งเสียงคำหนึ่ง เขารอจนจ้าวเป่าฉินทำกับข้าวเสร็จแล้ว เขาใช้พลังยกจานกับข้าวทั้งหมดไป “พวกเจ้าตามข้ามา”

เถากลืนจิตรีบตามไปทันที

จ้าวเป่าฉินเทน้ำใส่กระทะเอาไว้แล้วเดินตามจางอี้ปินไป เธอหยิบตะเกียบไปด้วย

จางอี้ปินเหลือบมองข้างหลังแล้วสั่งว่า “เจ้าตัวตะกละ น้ำชา”

“อ่อ เจ้าค่ะๆ” เถากลืนจิตรีบหันหลังทันที มันเกือบจะชนจ้าวเป่าฉินซึ่งเดินตามหลังมาเข้าให้แล้ว

จ้าวเป่าฉินหลบได้ทัน เธอก้าวเบี่ยงมันไปแล้วเดินตามจางอี้ปินไป

จางอี้ปินเดินไปถึงศาลาหลังใหญ่ เขาวางจานกับข้าวทั้งหมดลงบนโต๊ะกลางศาลาแล้วนั่งลง

จ้าวเป่าฉินเดินเข้าไปวางตะเกียบ

“นั่งซิ” จางอี้ปินบอก

“ขอบคุณค่ะ” จ้าวเป่าฉินนั่งลงตรงข้าม

“เจ้าต้องพูดว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะ” จางอี้ปินสอนอย่างปราณี

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” จ้าวเป่าฉินพยายามหัดพูดให้เหมือนคนที่นี่ เธอยังไม่อยากถูกใครข่มเหงรังแกเพราะเป็นคนต่างถิ่นหรอกนะ อีกทั้งรูปร่างเธอก็อ้วนขนาดนี้ มักจะถูกคนรังเกียจและกลั่นแกล้งเป็นประจำ เพราะฉะนั้นเธอต้องทำตัวให้กลมกลืนกับผู้คนมากที่สุดจะได้ไม่ตกเป็นเป้าให้ใครรังแกเอา

“ดีๆ” จางอี้ปินยิ้มอย่างพอใจที่เด็กคนนี้ว่านอนสอนง่าย

จ้าวเป่าฉินมองไปรอบๆ ศาลาหลังใหญ่ ศาลาหลังนี้ใหญ่โตกว้างขวางมาก ขนาดเท่าโรงนาได้เลย โต๊ะที่เธอนั่งก็ใหญ่มากเช่นกัน ต่อให้คน 10 คนมานั่งล้อมรอบก็ยังเหลือที่อีกมาก เก้าอี้ก็มีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ เธอนั่งเก้าอี้ตัวใหญ่ ส่วนจางอี้ปินนั่งเก้าอี้ตัวเล็ก

ดูจากโต๊ะและเก้าอี้แล้วลักษณะของชิ้นงานน่าจะเป็นฝีมือของเถากลืนจิตล่ะมั้ง ศาลานี้ก็น่าจะใช่ด้วย

เถากลืนจิตเดินมาพร้อมกับถาดน้ำชา มันวางถ้วยน้ำชาตรงหน้านายท่านแล้วรินชาให้เขา “นายท่านเจ้าขา ชาเจ้าค่ะ”

“อืมๆ” จางอี้ปินส่งเสียงสองคำ ยกชาขึ้นจิบแล้วบอกมันว่า “มานั่งกินดีๆ”

“เจ้าค่ะ” เถากลืนจิตยิ้มหน้าบาน มันรีบนั่งลงใกล้ๆ นายท่าน แล้วยื่นเถาไปหยิบจานปลามา มันยื่นอีกเถาไปหยิบตะเกียบมา 2 คู่แล้วยื่นคู่หนึ่งให้นายท่าน พลางเลื่อนจานปลาไปให้นายท่าน “นายท่านเจ้าขา ตะเกียบเจ้าค่ะ”

จางอี้ปินรับตะเกียบมา เขาคีบปลากิน พลางใช้สายตาแทนคำสั่ง

เถากลืนจิตจึงยื่นเถาไปดึงจานปลามา มันคีบกินอย่างเรียบร้อย ไม่กล้ามูมมามสักนิด

จ้าวเป่าฉินจึงยื่นมือไปหยิบจานปลามาพร้อมกับหยิบตะเกียบมาคู่หนึ่ง เธอค่อยๆ คีบกิน

จางอี้ปินเหลือบมองท่าทางของจ้าวเป่าฉินแล้วพอใจยิ่ง ดูเหมือนเจ้าเด็กคนนี้จะได้รับการอบรมเรื่องมารยาทมาดีทีเดียว

เถากลืนจิตคีบกลืน คีบกลืน ก็มันไม่ค่อยๆ เคี้ยวหรอก มันใช้วิธีกลืนลงไปเลยเร็วกว่า ถ้าให้มันเคี้ยวก่อนกลืน กว่ามันจะกินอิ่มคงเย็นย่ำค่ำมืดกระมัง

จ้าวเป่าฉิน กินไปสักพักก็มองหาน้ำ เธอจึงยื่นมือไปหยิบกามารินชาเอง แล้วจิบน้ำ 2 อึก จากนั้นก็กินต่อ

จนกระทั่งกินเสร็จแล้วเถากลืนจิตก็เก็บจานไป

จ้าวเป่าฉินก็ช่วยถือจานไปเก็บ

จางอี้ปินมองหนึ่งคนหนึ่งเถาที่ดูสนิทกันมากขึ้นอย่างเบาใจ เขายังแอบกังวลว่าทั้งสองจะเข้ากันไม่ได้ แต่ได้เห็นเช่นนี้เขาก็เบาใจยิ่งนัก เขายิ้มจางๆ พลางยกชาขึ้นจิบ มองทิวทัศน์อย่างสุขใจ

เถากลืนจิตล้างจาน

จ้าวเป่าฉินก็ช่วยล้างด้วย

เมื่อล้างจานเสร็จแล้วเถากลืนจิตก็ไปตัดเย็บอาภรณ์ต่อ

จ้าวเป่าฉินเดินตามไป เธอตักน้ำไปถูบ้านเช็ดฝุ่น เธอชอบบ้านสะอาดๆ ต่อให้บ้านของเธอเป็นกระท่อมกลางนา แต่ถ้าเธอจะนั่งจะนอนก็ต้องสะอาดสะอ้านเข้าไว้ ก็ทำงานอยู่โรงพยาบาลมันต้องสะอาดนี่นา มันเลยติดเป็นนิสัยไปแล้ว

หลังจากถูบ้านเสร็จแล้ว เธอก็ไปเอาตำรามาไว้ในบ้าน แล้วนั่งอ่านตำราไปเรื่อยๆ

เถากลืนจิตตัดเย็บอาภรณ์เสร็จก็เรียกจ้าวเป่าฉิน “เจ้ามาสวมอาภรณ์นี่ซิ”

จ้าวเป่าฉินเงยหน้าจากตำรา ลุกไปดูอาภรณ์อีกชุดที่เพิ่งเย็บเสร็จหมาดๆ เธอมองดูสีสันของอาภรณ์ที่ดูดีมีรสนิยม นับว่าเถากลืนจิตเทสดีมาก เสื้อตัวกลางกับตัวนอกแมตสีกันได้ดี ไม่ดูฉูดฉาด ไม่ดูเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง เธอรับอาภรณ์มาแล้วเดินไปหลังฉากกั้นเปลี่ยนมาใส่อาภรณ์ชุดใหม่แล้วเดินออกไปให้เถากลืนจิตดู

เถากลืนจิตก้าวไปใกล้ๆ จับจ้าวเป่าฉินหมุนซ้ายหมุนขวา มันมองหัวจรดเท้า เท้าจรดหัว 2 รอบแล้วพยักหน้า “เอาล่ะ ชุดนี้พอดีกับตัวเจ้ามาก เช่นนั้นชุดนั้นเดี๋ยวข้าแก้ให้”

มันพูดแล้วก็ยื่นเถาไปหลังฉากหยิบอาภรณ์ชุดแรกออกมา แล้วมันก็ปล่อยตัวจ้าวเป่าฉิน มันหมุนตัวเดินไปนั่งลงแก้ชุดอย่างไม่สนใจสิ่งอื่น

จ้าวเป่าฉินจึงกลับไปนั่งอ่านตำราต่อ ตำราพวกนี้เขียนเกี่ยวกับแดนเทพไว้ละเอียดมาก เธออ่านแล้วพยายามจดจำในความสำคัญต่างๆ ให้ได้มากที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดของเธอก็คือเธอเรียนเก่ง จดจำสิ่งต่างๆ ที่อ่านได้แม่นยำ ดังนั้นเวลาที่ใครๆ บูลลี่เธอว่า ‘อ้วน’ เธอจะตอกหน้าคนเหล่านั้นด้วยประโยคว่า ‘ถึงฉันอ้วน ฉันก็เรียนเก่งกว่าพวกผอมๆ แต่ไร้สมองอย่างพวกเธอ’

แล้วนังพวกผอมๆ ไร้สมองเหล่านั้นก็จะกรี๊ดๆ อยู่พักหนึ่ง บางทีพวกมันอยากตบเธอ แต่พอเธอตั้งท่าสู้เท่านั้นแหละ พวกมันก็รีบเผ่นกันหมด คงกลัวเธอล้มทับจนกระดูกกรอบๆ ของพวกมันหักล่ะมั้ง ชิ! หาเรื่องกับใครไม่หา ดันมาหาเรื่องกับเธอ เธอน่ะปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่เด็ก หาเงินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต ไม่ได้ใช้ชีวิตสุขสบายเหมือนพวกมันที่มีพ่อแม่ส่งเงินให้เรียน ส่งเงินให้กินให้ใช้ ไม่ได้ลำบากเหมือนเธอ

เธอนั่งอ่านตำราจนหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตัวเธอค่อยๆ ล้มลงนอนกับพื้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ม้วนตำราตกจากมือแผ่อยู่บนพื้น

เถากลืนจิตแก้ชุดเสร็จแล้วจึงหันไปมองจ้าวเป่าฉิน มันเห็นนางหลับไปแล้ว มันจึงส่ายหน้าเบาๆ แล้วลุกไปอุ้มนางไปนอนบนเตียง มันเอาผ้าห่มๆ ให้นาง แล้วแอบลูบๆ แก้มนางนิดหนึ่ง ก็ผิวนางนุ่มมาก มันได้จับได้สัมผัสแล้วรู้สึกชอบมาก มันเป็นสตรีเหมือนกันแต่มันไม่ได้ชมชอบนางฉันท์ชู้สาวนะ มันแค่ชอบความรู้สึกที่ได้สัมผัสผิวนุ่มๆ ของนางเท่านั้นเองนะ เท่านั้นจริงๆ นะ มันไม่ได้คิดอะไรจริงๆ ไม่ได้คิดเลย สาบานให้ฟ้าผ่าก็ได้

จ้าวเป่าฉินยกมือปัดๆ อย่างไม่รู้ตัวแล้วพลิกตัวตะแคงนอนขดตัว เธอฝันหวานว่าอยู่ในดินแดนอัศจรรย์ที่มีแต่ขนมหวานเต็มไปหมด เธอยื่นมือไปคว้าขนมเค้กที่ลอยไปลอยมาแล้วจับมากัด 1 คำ

“อ๊าวววววว—” เถากลืนจิตร้องลั่นเมื่อถูกสตรีอ้วนคว้าเถาไปกัด มันรีบดึงเถาออกจากปากนางทันที มันยกเถาที่ถูกกัดมาดูแล้วเป่าๆ มันยกเถาถีบนางทีหนึ่งอย่างโมโห ผลั่ก!

“ฮื้อ—” จ้าวเป่าฉินส่งเสียงคำหนึ่งแล้วจับหมับ เธอดึงเถาไปกัดอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว

“อ๊าววววว—” เถากลืนจิตร้องอีกครา มันรีบดึงเถาให้หลุดจากปากสตรีอ้วนแล้วถอยกรูดอย่างหวาดผวา สตรีนางนี้ช่างนอนละเมอได้น่ากลัวยิ่ง!

จ้าวเป่าฉินฝันหวานว่ากินเค้ก แต่เค้กไม่อร่อยเลยสักนิดทั้งเค็มทั้งขมปี๋ จนเธอต้องถ่มถุยออกมา เธอกัดไปสองชิ้น แต่ทั้งสองชิ้นก็ทั้งเค็มทั้งขมเหมือนกัน จนเธอไม่คิดจะหยิบเค้กชิ้นไหนมากินอีก ไม่กินแล้ว พอๆ เลิกๆ

จากนั้นเธอก็หลับลึกไป

จางอี้ปินได้ยินเสียงเจ้าตัวตะกละร้องดังลั่น เขาสงสัยยิ่งนักจึงเดินไปดู

เมื่อไปถึง เขาก็เห็นเจ้าตัวตะกละเป่าๆ เถาตัวเองอยู่ เขาถามมัน “เป็นอะไร?”

เถากลืนจิตได้ยินเสียงนายท่านจึงหันไปมอง แล้วฟ้องว่า “นางกัดข้า”

“หือ?” จางอี้ปินหรี่ตามอง

เถากลืนจิตรีบเดินไปหานายท่าน เอารอยฟันให้ดู “ท่านดูซิเจ้าคะ นางกัดข้าเสียจนเป็นรอยเลยเจ้าค่ะ”

“เหตุใดนางจึงกัดเจ้า?” จางอี้ปินถาม

“ข้า…” เถากลืนจิตชะงักไป มันไม่กล้าพูดว่ามันลูบแก้มนาง นางจึงกัดมัน “คือข้า…”

มันอึกอักพูดไม่ออก จนในที่สุดมันก็แก้ตัวว่า “คือข้า…ข้าเห็นนางหลับ ข้าจึงอุ้มนางไปนอนที่เตียง แต่…เอ่อ…ไม่รู้เหตุใดนางจึงกัดข้า นายท่าน สตรีผู้นี้นอนละเมอน่ากลัวยิ่งเจ้าค่ะ ท่านต้องระวังตัวนะเจ้าคะ”

“อ่อ งั้นรึ” จางอี้ปินรับรู้ เขาเห็นว่าเจ้าตัวตะกละไม่เป็นอะไรมาก เขาจึงเดินกลับเรือนตัวเองไป

เถากลืนจิตลอบถอนหายใจ แล้วมันก็กลับเข้าไปนั่งเย็บอาภรณ์ต่อ

เช้ามืด เสียงหนึ่งดังขึ้น “กรร—”

จ้าวเป่าฉินตกใจสะดุ้งตื่นทันที “อะไร!?”

“กรร—” เสียงดังอีกครั้ง ดังสนั่นจนทำให้คนคิดว่ามีสิงโตมาคำรามอยู่ข้างหูได้เลย

“เสียงอะไร!” จ้าวเป่าฉินลงจากเตียง หน้าตาตื่น ตั้งท่าเตรียมวิ่งหนีแล้ว

“ฮื้อ เจ้าจะเอะอะไปทำไม ไม่มีอะไรหรอก แค่เสือเพลิงโลกันต์ร้องเท่านั้นเอง” เถากลืนจิตลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย มันไม่ได้ตื่นเพราะเสียงเสือเพลิงโลกันต์หรอก แต่ตื่นเพราะเสียงจ้าวเป่าฉินที่ร้องตกอกตกใจนี่แหละ เสียงเสือเพลิงโลกันต์มันได้ยินทุกวันจนชินแล้ว ต่อให้เสือเพลิงโลกันต์จะร้องดังยิ่งกว่านี้ ร้องจนแผ่นดินสะเทือนมันยังไม่ตื่นเลย

“เสือเพลิงโลกันต์!?” จ้าวเป่าฉินทวนคำอย่างสงสัย เธอตื่นตัวพร้อมจะวิ่งหนีได้ทุกเมื่อแล้ว ก็ขึ้นชื่อว่า ‘เสือ’ เธอก็ต้องคิดว่าเป็นสัตว์กินเนื้อที่ดุร้ายเอาไว้ก่อน แล้วเสียงมันดังใกล้มากเลยนะ ดังเหมือนมันอยู่ห่างแค่สิบเมตรยี่สิบเมตรแค่นี้เอง ระยะแค่นี้แค่มันกระโจนสองทีสามทีก็ถึงตัวเธอได้แล้ว

“นอนต่อเถอะ” เถากลืนจิตบอกแล้วมันก็นอนหลับตาต่อ

จ้าวเป่าฉินไม่อาจนอนหลับได้แล้ว เธอถูกเสียงเสือทำให้ตื่นซะแล้ว อีกทั้งยังไม่กล้าหลับต่อด้วย เพราะกลัวว่าถ้าหลับต่อ เมื่อตื่นขึ้นมาเธออาจจะเป็นแค่วิญญาณอีกก็ได้เพราะถูกเสือกิน เมื่อนอนไม่หลับแล้วเธอจึงลุกขึ้นแล้วค่อยๆ ก้าวย่องออกไปมองที่หน้าต่างอย่างระแวง

แล้วเธอก็ชนกับอะไรบางอย่างตรงหน้าต่าง ตุบ! เธอมองสิ่งที่เธอชน แล้วเธอก็เห็นแต่โคมไฟใหญ่ๆ สองดวง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version