ตอนที่ 21
สตรีของข้า…ใครก็ห้ามแตะ
และแล้วแผนการของเจินเจินกับเสี่ยวเหมยก็เกิดขึ้น…
เจินเจินเพียงแอบอยู่ตรงมุมมืดเพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม
ส่วนเสี่ยวเหมยก็กระทำการปรนนิบัติตามหน้าที่เช่นยามปรกติเหมือนที่เคยกระทำมาโดยตลอด
เมื่อกิจกรรมสุดสยิวเริ่มขึ้นและดำเนินไป ในระหว่างที่บุรุษกำลังอยู่เหนือเรือนร่างของสตรีด้วยสติทั้งหมดกำลังหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์ตึงเครียดและกำลังได้รับการปลดปล่อย
แต่ก่อนที่จะถึงจุดที่สุขสม
จังหวะนั้นเองที่เปิดทางให้เจินเจินได้เข้าไปจัดการได้โดยสะดวก
ฉับ!
เสียงตวัดดาบในมือของเจินเจินเพียงครั้งเดียวบุรุษผู้เก่งกาจก็ชะงักงันแข็งค้างกลางอากาศ
เสี่ยวเหมยใช้จังหวะนี้ผลักร่างของบุรุษผู้นั้นจนพลิกกายตกเตียงล้มพับสลบเหมือดไปในทันที
สตรีทั้งสองต่างมองสบตากันก่อนจะส่งยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตร
เสี่ยวเหมยรีบลุกขึ้นไปหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้เรียบร้อยก่อนจะรีบเดินมาสมทบกับเจินเจิน
หญิงสาวรีบถามหางานชิ้นต่อไปอย่างกระตือรือร้นพร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่ “ต้องทำอย่างไรต่อ”
“เจ้าเคยเห็นองค์ชายหรือไม่” เจินเจินถามออกไปเกี่ยวกับเป้าหมายที่สำคัญ
“เคยเห็นนะ แต่…” เสี่ยวเหมยตอบตามจริง “องค์ชายอะไรนั่น ดูท่าทางน่ากลัวยิ่งนัก”
“เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าย่อมตามประกบคอยช่วยเหลือเจ้า”
“อืม…” เสี่ยวเหมยก้มหน้ารับคาอย่างมั่นใจในฝีมือของเจินเจิน
“แล้วเราจะทำอย่างไรกับศพของทหารพวกนี้เล่า” เสี่ยวเหมยถามขึ้นอย่างนึกกังวล “ถ้ามีใครเข้ามาเห็นคงเกิดเหตุโกลาหลวุ่นวายน่าดู”
“นั่นล่ะที่ข้าต้องการ รีบไปเถอะ” เจินเจินตอบคำอย่างหมายมาดก่อนจะให้เสี่ยวเหมยเดินนาหน้าไป โดยที่เจินเจินเพียงแอบย่องตามติดอย่างเงียบเชียบ
เมื่อเสี่ยวเหมยและเจินเจินเดินออกจากห้องไปแล้ว บุรุษผู้ที่เดิมทีกำลังนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นกลับสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา
ด้วยเพราะเขาเป็นถึงแม่ทัพมีฝีมือร้ายกาจจึงมิได้เสียท่าโดยง่าย
ชายผู้ผู้เป็นแม่ทัพนั้นยันกายของตัวเองให้ลุกขึ้นมา แล้วมองตามหลังของสตรีสองนางนั้นอย่างแค้นเคือง เขาไม่มีทางให้พวกนางหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน
เขาลุกขึ้นไปใส่กางเกงก่อนจะเดินไปหยิบดาบเล่มใหญ่ตรงมุมห้องออกมาหวังจะพุ่งตัวออกไปตามสังหารสตรีทั้งสองที่บังอาจมาลูบคมเขา
ฉึก!
สิ้นเสียงดาบ ท่านแม่ทัพผู้ที่กำลังจะเข้าไปประทุษร้ายต่อเสี่ยวเหมยและเจินเจินก็ล้มแน่นิ่งไปอีกครั้ง
ครานี้เขาถึงกับตาเหลือกอย่างคาดไม่ถึงว่าจะมีใครมาแทงเขาจากทางด้านหลังซ้ำสอง
หลี่เซียวเหยายังคงแอบตามเจินเจินมา เขาลอบสังเกตการณ์อยู่เบื้องหลังของเจินเจินตลอดมาตั้งแต่ต้น
แต่เมื่อเห็นว่าบุรุษผู้ที่เจินเจินได้ทำการสังหารเมื่อครู่ยังไม่หมดฤทธิ์เขาจึงย่องเข้ามาแทงข้างหลังมันผู้นี้ซ้ำสอง
ชายหนุ่มใช้มือที่กำดาบเอาไว้หมุนไปมาเพียงนิดเพื่อตัดขั้วหัวใจ ก่อนจะดึงดาบออกจากทางด้านหลังของท่านแม่ทัพผู้นี้อย่างรวดเร็ว
เขาต้องคอยตามเก็บงานให้เจินเจิน
นั่นคือหน้าที่ของเขาในยามนี้
เสี่ยวเหมยใช้เวลาเดินมาซักพักจึงถึงห้องๆหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องพักขององค์ชาย เพราะมีทั้งนางกำนัลและข้าราชบริพารบางส่วนยืนอยู่หน้าห้องอย่างเป็นระเบียบ
หญิงสาวเพียงทำความเคารพเหล่าข้าราชบริพารที่ยืนอยู่หน้าห้องก่อนจะเอ่ยออกไปอย่างอ่อนหวาน “ข้าน้อยมารอปรนนิบัติองค์ชายเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นรึ ดีดี” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้นก่อนจะพาเสี่ยวเหมยเดินเข้าไปด้านในอย่างรู้หน้าที่
เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องอีกชั้นหนึ่ง ขุนนางผู้นั้นเพียงเอ่ยของอนุญาตเข้าไปยังบุคคลที่นั่งอยู่ภายในห้องอย่างนอบน้อม
ก่อนจะเปิดประตูให้เสี่ยวเหมยได้เดินกรีดกรายเข้าไปอย่างสวยงาม
ภายในห้องพักแห่งนี้แม้จะเป็นเพียงห้องๆหนึ่งในค่ายทหารแต่ยังคงไว้ซึ่งความหรูหราอลังการสมฐานะขององค์ชายแห่งแคว้นต้าไห่สำหรับใช้พานักพักพิงเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากภายในห้องจะดูดีสูงค่าสูงราคาแล้วนั้นยังมีกลิ่นอายของผู้สูงศักดิ์ลอยตลบอบอวลไปทั่วบริเวณอีกด้วย
เสี่ยวเหมยผู้ที่เป็นเพียงสตรีต่ำต้อยในหอโคมเขียว แม้จะผ่านบุรุษมาเกือบทุกรูปแบบ
แต่กับบุคคลระดับนี้ นางทำได้แค่เพียงลอบกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะหายใจเข้าปอดลึกๆอย่างนึกหวาดหวั่น
เสี่ยวเหมยนั้นนับได้ว่าเป็นสตรีที่สวยสดงดงามอันดับต้นๆของหอหมื่นสราญเลยก็ว่าได้ จึงได้รับการคัดเลือกและซื้อตัวมายังค่ายทหารแห่งนี้เพื่อรอรับใช้พวกเจ้านายระดับสูง
ก่อนหน้านั้นนางได้ปรนนิบัติพวกนายทหารและขุนนางมากยศมาแล้ว ล้วนเพราะพวกนั้นเป็นฝ่ายเรียกหา
แต่กับบุรุษระดับนี้นางยังไม่เคยได้ถูกเรียกใช้งานแต่อย่างใด
“เจ้า…เข้ามานี่” เสียงของบุรุษผู้ทรงอำนาจดังออกมาจากมุมหนึ่งของห้องแห่งนี้ เขาเรียกเสี่ยวเหมยที่กำลังยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงกลางห้อง
เมื่อเสี่ยวเหมยหันไปตามทิศทางของเสียง นางได้พบกับบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะที่มีจอกเหล้าพร้อมด้วยอาหารอีกหลายอย่าง
บุรุษผู้นั้นเป็นองค์ชายเจ้าของห้องอย่างไม่ต้องสงสัย เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สมฐานะอย่างไม่ต้องอธิบายใดๆ
เสี่ยวเหมยรีบเดินกรีดกรายด้วยท่วงท่างดงามเข้าไปหาองค์ชายผู้นี้ตามคา
“ถวายบังคมเพคะ องค์ชาย…หม่อมฉันเสี่ยวเหมยเพคะ” เสี่ยวเหมยทำความเคารพอย่างน้อมน้อมที่สุดในชีวิต
สายตาที่มองไปยังบุรุษหนุ่มผู้นี้หวานเยิ้มหยดย้อยมากมายเป็นพิเศษ
ริมฝีปากของนางยกยิ้มขึ้นอย่างมีจริตมารยาเปี่ยมเสน่ห์เหลือร้าย มันเป็นงานของนางที่ทำมาตั้งแต่ในวัยแรกแย้มจึงมิใช่เรื่องยากอันใด
องค์ชายผู้นี้มีนามว่า เว่ยหม่าเจิ้ง เขาเพียงหรี่ตามองสตรีผู้มาใหม่อย่างดูแคลน
เหล่าสตรีในเมืองหลวงนั้นเขาล้วนเชยชมมามากหน้าหลายตา พวกนางไม่ได้แตกต่างกันแต่อย่างใด ทั้งจริตทั้งมารยาทั้งรสชาติของเนื้อนวลนางล้วนแล้วไม่แตกต่างกัน
สตรีก็แค่เอาไว้อุ่นเตียง พวกนางมีเอาไว้แค่สนองตัณหาของเขาเพียงเท่านั้น มิได้มีค่าอันใด
“เข้าไปอาบน้ำชาระร่างกายให้สะอาดแล้วไปรอข้าที่เตียง” เว่ยหม่าเจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยพลางส่งสายตาไปทางหลังฉากกั้นที่อยู่ไม่ไกลกันกับเตียงนอนขนาดใหญ่
เสี่ยวเหมยก้มหน้าแย้มยิ้มรับคาก่อนเดินไปตามทิศทางนั้นแต่โดยดี
หญิงสาวใช้เวลาชำระร่างกายเพียงครู่ก่อนจะใส่ชุดคลุมเนื้อบางเบาที่มีเตรียมไว้ให้หลังฉากกั้นแล้วเดินออกมาไปทางเตียงนอนนางขึ้นไปนั่งรอบนเตียงนอนอย่างสงบเสงี่ยม
งานบริการเยี่ยงนี้มิได้มีสิ่งใดแตกต่างจากที่เคยปฏิบัติมา บุรุษทุกคนล้วนแล้วแต่เหมือนกันหมด ไม่ว่าสูงหรือต่ำ ดำหรือขาว เสี่ยวเหมยคิดในใจแม้สีหน้ายังคงอ่อนหวานประดับรอยยิ้มพราวเสน่ห์
ซักพักองค์ชายหนึ่งเดียวภายในห้องแห่งนี้ก็ลุกเดินเข้ามาหาทางเสี่ยวเหมย
เขาทอดมองมายังเสี่ยวเหมยด้วยสายตาน่าหวาดหวั่น จนเสี่ยวเหมยต้องหลุบตาลงเพราะไม่กล้าสบตาแต่อย่างใด
ด้วยเกรงว่าเขาจะมองเห็นแววตาที่แท้จริงของนาง แววตาแห่งความเกลียดชัง แววตาแห่งความขยะแขยงเหลือเกินกับบรรดาบุรุษเพศ ไม่ว่าผู้นั้นจะสูงศักดิ์รูปงามปานใด ก็ไม่สามารถลดความน่ารังเกียจลงได้เลยในความคิดของเสี่ยวเหมย
แต่แล้วเสี่ยวเหมยก็ต้องกระตุกสายตาขึ้นมองบุรุษผู้นี้อย่างกะทันหัน ด้วยเพราะคางเรียวงามของนางกำลังถูกฝ่ามือหนาของเขาจับกุมเอาไว้ก่อนจะบังคับให้หญิงสาวให้เงยหน้าขึ้นมอง
“อ่ะ…องค์ชาย…หม่ะ…หม่อมฉัน..เจ็บ เพ..เพคะ” เสี่ยวเหมยเอ่ยออกมาอย่างยากลำบากเพราะปลายคางยังคงถูกจับกุมด้วยฝ่ามือที่คล้ายคีบเหล็กก็ไม่ปาน
“เจ้าก็แค่สตรีชั้นต่ำ” เว่ยหม่าเจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงรอดไรฟัน
เสี่ยวเหมยถึงกับขมวดคิ้วงุนงงกับประโยคนั้นอย่างไม่เข้าใจความนัย “อ่ะ..อะไร..เพคะ”
“เจ้าบังอาจมองข้าด้วยสายตาเยี่ยงนั้น อยากตายหรืออย่างไร” เว่ยหม่าเจิ้งกล่าวอย่างบันดาลโทสะ แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงอึดใจเดียวแต่เขาก็มองออกถึงสายตาอย่างนั้นของสตรีนางนี้
“หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ หม่อมฉันเปล่านะเพคะ” เสี่ยวเหมยรีบออดอ้อนแก้ตัวพัลวันแต่เหมือนว่าจะไม่เป็นผลแต่อย่างใด นางแค่เผลอไผลชั่วครู่เดียวเท่านั้น ไม่น่าเลย…
เว่ยหม่าเจิ้งไม่เคยสนใจกับมารยาใดๆในตัวอิสตรี เขาจึงมิได้ใส่ใจกับเสียงออดอ้อนอย่างนั้น ชายหนุ่มจับกระชากร่างของเสี่ยวเหมยให้กระแทกลงกับเตียงนอนอย่างไม่สบอารมณ์
นางช่างบังอาจยิ่ง ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ นางกล้าใช้สายตาอย่างนั้นมองเขา นางเป็นเพียงสตรีด้อยค่า แค่ได้เข้ามาภายในห้องแห่งนี้ก็มากเกินพอแล้ว
เจินเจินที่แอบมองอยู่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบออกมาจากการซุ่มแอบดูอยู่
หญิงสาวพุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็วก่อนจะผลักร่างกำยำขององค์ชายเว่ยหม่าเจิ้งจนเซถลาออกห่างจากตัวของเสี่ยวเหมยและเตียงนอน
เสี่ยวเหมยเห็นดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นไปหลบอยู่ด้านหลังของเจินเจินในทันที
เว่ยหม่าเจิ้งถึงกับชะงักงันกับสตรีผู้มาใหม่ นางเป็นใคร กล้าดีอย่างไร นาง…กล้าผลักเขาเชียวรึ!
เมื่อเจินเจินแยกชายหนุ่มออกจากเสี่ยวเหมยได้แล้ว นางจึงเพียงยืนคุมเชิงให้เสี่ยวเหมยนิ่งๆ หญิงสาวรู้สึกไม่ถูกชะตากับบุรุษผู้นี้เอาเสียเลย
เว่ยหม่าเจิ้งและเจินเจินจึงยืนจ้องหน้ากันและกันอยู่อย่างนั้น
นานหลายอึดใจ…
เจินเจินจ้องมองเว่ยหม่าเจิ้งด้วยดวงตาเรียวสวยแฝงความน่ายำเกรงไม่มีล้อเล่น
นางกำลังประเมินฝ่ายตรงข้ามพร้อมเปิดศึก
หากเป็นยามที่บุรุษกำลังพลั้งเผลอ นางสามารถสังหารได้อย่างรวดเร็วชนิดตาไม่ทันกระพริบ
แต่ยามนี้ บุรุษผู้นี้ยังคงมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน นางต้องรอบคอบเข้าไว้มิเช่นนั้น อาจเสียท่าได้โดยง่าย
เว่ยหม่าเจิ้งมองเจินเจินด้วยสายตาประเมินค่าประเมินราคา
เขาสังเกตเห็นหญิงสาวตรงหน้าไม่เหมือนสตรีทั่วไปของเมืองหลวง
นางดูแตกต่าง
นางดูสวยสดงดงามหยาดเยิ้มแฝงความน่ายำเกรง
ภายใต้คิ้วเรียวสวย มีดวงตาเรียวดั่งหงส์มองสะกดเขาเอาไว้ได้อยู่หมัด
ใบหน้าเรียวงามน่าลูบไล้ ริมฝีปากได้รูปน่ากดจูบ ทรวดทรงองเอวรึ น่าจับมาขยำยิ่งนัก ยิ่งท่าทางแสดงออกถึงมาดน่าหวาดหวั่นนั่นอีก
อา…
นางช่างถูกใจ!
“เจ้าช่างเป็นสตรีอุ่นเตียงที่น่าสนใจยิ่ง” เว่ยหม่าเจิ้งเอ่ยออกมาตามความคิดของตนอย่างไม่มีปิดบัง สายตาคมของเขามองกวาดไปทั่วเรือนร่าง ริมฝีปากยกยิ้มอย่างถูกใจเปิดเผย
เจินเจินเพียงรับฟังนิ่งๆไม่ต่อคำใด กับบุรุษพวกนี้นางไม่นิยมเสียเวลาเสวนา นางเลือกจะทำตัวน่าเอ็นดูเฉพาะกับคนที่สมควรได้รับเท่านั้น
“หากคืนนี้เจ้าทำให้ข้าถูกใจ ข้าอาจจะพาเจ้ากลับเข้าเมืองหลวงกับข้า พร้อมยกฐานะของเจ้าให้ได้ตบแต่งกับข้า เจ้าว่าดีหรือไม่” เว่ยหม่าเจิ้งถามออกไปอย่างใจคิด เขาถูกใจนางเสียจริง
เจินเจินส่งยิ้มเย็นก่อนตอบเนิบนาบ “ถามดาบในมือของข้าก่อนเป็นไร” นางกล่าวพลางยกดาบในมือขึ้นระดับสายตาเตรียมพร้อมประจัญบาน
“หึหึ” ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจในกริยาอย่างนั้นของหญิงสาว ก่อนเอ่ยต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน “เช่นนั้น ข้าจะยอมเล่นกับเจ้าเสียหน่อยเป็นไร แม่จิ้งจอกน้อย…”
“เข้ามา!” เจินเจินตะโกนคำรามด้วยเสียงหวานใสพร้อมกระโจนเข้าใส่ก่อนตวัดดาบในมือส่งออกไปอย่างไม่กลัวเกรง
เว่ยหม่าเจิ้งถึงกับถอยร่นหลบคมดาบอย่างคาดไม่ถึงว่าหญิงสาวนางนี้จะมีฝีมือรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด และด้วยความเร็วร้ายกาจของนาง เขาจึงต้องเบี่ยงตัวเพื่อหลบของหญิงสาวอยู่หลายกระบวนท่า
แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น ชายหนุ่มก็สามารถตั้งรับพร้อมทั้งเปลี่ยนเป็นรุกได้อย่างทันท่วงที ชายหนุ่มหญิงสาวจึงต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร
เสี่ยวเหมยที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องเฝ้าจับตามองอย่างหวั่นเกรงกลัวว่าเจินเจินจะเป็นฝ่ายเสียท่าพลาดพลั้ง
หญิงสาวจึงคิดอยากจะช่วยเหลือเจินเจินอีกแรง
นางจึงพยายามมองหาสิ่งใดก็ได้ภายในห้องแห่งนี้เพื่อนามาเป็นอาวุธ
เจอแล้ว!
แจกัน!
เสี่ยวเหมยคิดได้ดังนั้นนางจึงวิ่งไปที่แจกันที่อยู่ตรงมุมห้องในทันที
หญิงสาวเอื้อมมือของตนไปทางแจกันเพื่อยกมันขึ้นมาก่อนจะเหวี่ยงออกไปหมายจะให้โดนเจ้าองค์ชายอะไรนี่อย่างมุ่งมั่น
เฟี้ยว!
เสียงแจกันแหวกอากาศมาจากมุมห้องตรงไปทางเจินเจิน เต็มๆ
เสี่ยวเหมยถึงกับอ้าปากค้าง ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ
เจินเจินถึงกับเสียหลักเมื่อต้องหลบแจกันใบโตขณะประมือกับบุรุษตรงหน้า
เสี่ยวเหมยนะเสี่ยวเหมย เจินเจินเข่นเขี้ยวในใจ
เว่ยหม่าเจิ้งได้ทีสบโอกาสดึงร่างของเจินเจินเข้ามากอดเอาไว้เสียเลย
“เสร็จข้าล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างกรุ้มกริ่มสายตาคมแฝงความเจ้าชู้อย่างชัดเจน
เจินเจินได้แต่กัดฟันโกรธขณะพยายามขัดขืนร่างของตนให้ออกจากการเกาะกุมจากวงแขนแข็งแกร่งขององค์ชายผู้นี้
ฟิ้ว!
เสียงดาบเล่มหนึ่งแหวกอากาศมาทางเว่ยหม่าเจิ้งอย่างแม่นยำ ทำเอาชายหนุ่มต้องเผลอปล่อยลำแขนของตนออกจากการเกาะกุมร่างระหงเพื่อเบี่ยงตัวหลบอาวุธลับ
เจินเจินรีบเบี่ยงร่างของตนออกเพื่อหลบการกอดรัดและหลบอาวุธลับไปพร้อมกัน แต่ยังไม่ทันจะได้ทรงตัวร่างของนางก็ถูกโอบเกี่ยวด้วยวงแขนของผู้มาใหม่อีกคน
วันนี้นางรู้สึกเปลืองตัวยิ่งนัก! เจินเจินคิดในขณะกลับหลังหันไปมองบุรุษผู้มาใหม่ซึ่งพุ่งตัวออกมาจากทิศทางใดมิอาจทราบได้ เขา…กำลังโอบกอดนางอยู่
หลี่เซียวเหยาที่ตามเก็บงานให้เจินเจินแอบตามมาทันเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรวมถึงการต่อสู้ของนางก่อนจะพลาดพลั้งเพราะแจกันใบนั้นจนถูกเจ้าหน้าหนาผู้นี้แอบกินเต้าหู้
เขาจึงไม่คิดที่จะหลบซ่อนอีกต่อไป
หลี่เซียวเหยาเหวี่ยงดาบในมือออกมาก่อนจะพุ่งทะยานออกมาแล้วดึงเจินเจินเข้ามากอดเอาไว้ก่อนจะอาศัยจังหวะที่นางกำลังชะงักงันมองหน้าเขาแย่งดาบในมือของนางมาถือเอาไว้
เขาเปลี่ยนให้นางไปอยู่ทางด้านหลังเพื่อใช้ร่างสูงใหญ่ของตนบดบังสายตาล่วงเกินจากบุรุษใจกล้าผู้นั้น
เจินเจินถึงกับตกตะลึงตาโตแข็งค้างเมื่อเห็นได้ชัดเจนแล้วว่าเจ้าของวงแขนกำยำที่โอบกอดนางคือใคร
นางคงไม่ได้คิดถึงเขามากเสียจนเห็นภาพหลอนใช่หรือไม่!
“นางเป็นสตรีของข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์” หลี่เซียวเหยาตะโกนคำรามพร้อมชี้ดาบขึ้นด้านหน้าอย่างเอาเรื่องไปทางเว่ยหม่าเจิ้ง มันผู้นี้บังอาจมาแตะต้องเจินเจินของเขา
เว่ยหม่าเจิ้งตั้งหลักได้อย่างรวดเร็วก่อนเอ่ยออกไปอย่างหมายมาด “หึ! แล้วอย่างไร ข้าต้องการนาง”
“อย่าได้ฝัน” หลี่เซียวเหยาเอ่ยแค่นั้นก่อนพุ่งร่างของตนเข้าใส่เว่ยหม่าเจิ้งอย่างรวดเร็ว
การต่อสู้รอบใหม่จึงเกิดขึ้นจากบุรุษทั้งสองซึ่งบัดนี้สาเหตุมาจากเจินเจินแบบเต็มๆ
ช่างน่าภาคภูมิใจยิ่งนัก เจินเจินคิดในใจอย่างปลาบปลื้มลืมเป้าหมายหลักไปโดยปริยาย
เสียงต่อสู้ฟาดฟันของสองชายหนุ่มเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ผลัดกันรุกผลักกันรับปะทะกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร
ฝ่ายหนึ่งหมายมาดอยากได้สตรีนางนี้ไปนอนกด
ฝ่ายหนึ่งหวังปกป้องมิให้ใครได้แตะต้องกระทั่งปลายเล็บ
การต่อสู้จึงโรมรันพันตูดังกระหึ่มไปทั่วที่พักแห่งนี้
มีผลทำให้เหล่านางกำนัลและข้าราชบริพารรวมถึงทหารเวรยามหน้าห้องต่างตื่นตัวจนเกิดเหตุการณ์อลหม่าน
หลี่เซียวเหยาไล่ต้อนเว่ยหม่าเจิ้งด้วยฝีมืออันร้ายกาจพร้อมดวงตาวาวโรจน์อย่างบันดาลโทสะ เขาอยากจะตัดแขนของมันผู้นี้ออกเสียให้จงได้ มันบังอาจใช้โอบกอดเจินเจินไปเมื่อครู่
แต่ด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายผสมผสานกับเสียงฝีเท้าของทหารมากมายที่กำลังใกล้เข้ามาทำให้หลี่เซียวเหยาต้องรีบผละออกจากการต่อสู้ก่อนจะฉุดร่างของเจินเจินให้ออกไปจากในห้องแห่งนี้ด้วยเกรงว่าจำนวนคนที่มากกว่าอาจจะทำให้ทั้งเขาและเจินเจินพลั้งพลาดเอาได้
ส่วนเสี่ยวเหมยนั้นนางอาศัยช่วงชุลมุนหลบฉากวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิตไปก่อนหน้านั้นอย่างรู้งานเป็นนานแล้ว
หลี่เซียวเหยาพาเจินเจินออกมาจากภายในที่พักขององค์ชายผู้นั้นก่อนจะใช้เวลาเพียงครู่กระโจนตัวออกมาจนถึงด้านนอก
เสียงโกลาหลภายในค่ายทหารยังคงดังอย่างกึกก้องต่อเนื่อง
ตามด้วยแสงสีแดงจากเปลวเพลิงโหมกระหน่ำอย่างโชติช่วงยิ่งเพิ่มความปั่นป่วนให้ค่ายทหารแห่งนี้ได้อย่างน่าชื่นชม
“เกิดอะไรขึ้น” เจินเจินถามขึ้นไปทางหลี่เซียวเหยาเมื่อเห็นความวุ่นวายที่เหนือความคาดหมาย
“ข้าสั่งการพวกสมุนของเจ้าให้ไปเผาโรงเก็บเสบียง” ชายหนุ่มตอบพลางจับจูงมือของหญิงสาวให้เดินเข้าไปรวมตัวกันกับพวกสมุนที่รออยู่ด้านนอกไม่ไกล
เจินเจินถึงกับอึ้งกับการสั่งการของหลี่เซียว
“หยุด!” เสียงของเว่ยหม่าเจิ้งดังขึ้นอยู่ทางด้านหลังของคนทั้งสอง “เจ้าช่างบังอาจยิ่ง ทหาร!จัดการ”
สิ้นเสียงของเว่ยหม่าเจิ้งเหล่าบรรดาทหารจึงโหมกระหน่ำดั่งพายุห่าฝนเข้ามาทางหลี่เซียวเหยาและเจินเจินในทันที
แต่ยังไม่ทันที่พวกทหารจะเข้าถึงร่างของคนทั้งสอง ศีรษะของแม่ทัพและรองแม่ทัพก็หล่นดัง ตุ้บ ตรงกลางวงอยู่เบื้องหน้าของเหล่าทหาร
ทำเอาทหารทั้งหมดถึงกับชะงักงันด้วยเพราะเจ้าของศีรษะเปรียบเสมือนหัวเสือของค่ายทหารแห่งนี้รองจากมังกรน้อยอย่างองค์ชายเว่ยหม่าเจิ้ง
เหล่าสมุนของเจินเจินสังเกตเหตุการณ์อยู่จึงไม่รอช้ารีบเข้ามาประจัญบานกับเหล่าทหารในทันที
“จัดการองค์ชายผู้นี้เสีย” หลี่เซียวเหยาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ “ตัดมือมันออกซะ จะได้ไม่กล้ามาแตะต้องสตรีของข้าอีก”
ประโยคนั้นทำเจินเจินถึงกับสะดึงสุดตัว
อา…
ถ้าไม่รู้จักกัน นางคงไม่เชื่อแน่ๆว่าเขาเป็นองค์ชายของเมืองหลวง
นางคงคิดว่าเขาเป็นประมุขคนหนึ่งของพรรคฝ่ายมารของนางอย่างแน่นอน…