ตอนที่ 22
ก.ข.ค.
เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายของค่ายทหารประจำชายแดนของแคว้นต้าไห่แห่งนี้ยังคงดำเนินต่อไปพร้อมเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำมอดไหม้ลุกลามไปทั่วทั้งค่ายตั้งแต่โรงเก็บเสบียงไปจนตลอดที่พักต่างๆ
เสียงต่อสู้ฟาดฟันกันของเหล่าทหารและพวกสมุนของเจินเจินยังคงดังกึกก้อง
องค์ชายเว่ยหม่าเจิ้งยังคงโดนรุมทึ้งจากสมุนหลายคนที่หลี่เซียวเหยาสั่งการเสียงเข้มให้เข้าไปจัดการโทษฐานล่วงเกินเจินเจิน
จนสุดท้ายเว่ยหม่าเจิ้งจึงถูกจับมัดเอาไว้ได้
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างความเสียหายและเรียกร้องความสนใจให้กับฝั่งเมืองหลวงของแคว้นต้าไห่ได้เป็นอย่างดี
ทุกอย่างจึงเป็นไปตามแผนการที่เจินเจินได้ตั้งใจเอาไว้
และถึงแม้ว่าจะมีเหตุการณ์สั่นสะเทือนด้วยภาพของความเสียหายอย่างหนักหน่วงอยู่มากมายอย่างนั้น
กลับมีมุมเล็กๆมุมหนึ่งที่คล้ายกำลังอยู่ท่ามกลางสวนสวยโรยด้วยกลีบดอกไม้นานาพรรณก็ไม่ปาน
มุมนั้นปรากฏภาพของหนึ่งชายหนึ่งหญิงกำลังยืนจ้องตากันและกันอย่างหวานซึ้งประหนึ่งดั่งใต้หล้านี้มีเพียงเราสอง มิได้มีใครหรือมีเหตุร้ายอันใดเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อย
เจินเจินยังคงยืนใช้สายตาหวานเยิ้มลึกล้าเงยหน้าขึ้นจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของหลี่เซียวเหยาอยู่อย่างไม่วางตา คล้ายกับเกรงว่าเขาอาจจะหายไปต่อหน้าต่อตาถ้าหากว่านางเผลอกระพริบหลับตาเพียงนิด
ใช่เขาจริงๆ เขาแอบตามนางมา…
เจินเจินคิดในใจขณะเอื้อมมือเรียวข้างหนึ่งของตนขึ้นลูบไล้เกลี่ยเบาๆไปทั่วใบหน้าได้รูปของหลี่เซียวเหยาเพื่อความแน่ใจว่าไม่ผิดตัวผิดตน ส่วนมือเรียวอีกข้างหนึ่งเอื้อมขึ้นลูบคลำไปทั่วแผงอกบึกบึนก่อนจะถือวิสาสะล้วงเข้าไปในสาบเสื้อด้วยความเคยชิน
อา…
เนื้อแน่นๆ กล้ามเป็นมัดๆ อย่างนี้
ใช่เลย!
หลี่เซียวเหยาที่ก้มหน้ามองสบตากับเจินเจินอยู่ด้วยสายตาคมเข้มสีดำนิลแฝงความหวานล้ำไม่ต่างกันพลางคิด มันใช่ตรงนี้หรือไม่!
ชายหนุ่มคิดอย่างนั้นขณะรู้สึกได้ว่ามือไม้ของเจินเจินทำเขาลมหายใจเริ่มติดขัดจนอยากจะดึงนางเข้ามารวบรัด
เขาเอื้อมมือของตนขึ้นจับมือของเจินเจินที่กำลังซุกซนออกมาจากสาบเสื้อก่อนยกมันขึ้นมากดจูบด้วยริมฝีปากแผ่วเบาเพื่อเป็นการหยุดการกระทำอันแสนทรมานจิตใจในยามนี้
หญิงสาวยังคงจ้องตากับชายหนุ่มก่อนจะเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น พวงแก้มนวลเนียนขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อรับรู้ได้ถึงริมฝีปากของเขาที่สัมผัสเรียวมือของนาง พลันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งแรกที่ได้เจอกัน ครานั้นนางก็ทำกับเขาอย่างนี้ ในยามนั้นเขาจับข้อมือของนางออกมาบีบและบิดออกอย่างแรง
แต่ครานี้…
ในครานี้…มันแตกต่าง
เขาทำอย่างนี้…
เขาทานางใจสั่นไหวรุนแรง
รุนแรงขึ้นไปอีก
“เป็นท่านจริงๆ” เจินเจินเอ่ยออกมาในที่สุดด้วยประโยคที่มิรู้ได้ว่าจะกล่าวสิ่งใดได้มากกว่านี้
“ข้าคิดว่าท่านคงจะอยู่กับว่าที่ชายาเอกของท่านเสียอีก” กล่าวเสร็จก็อยากจะกัดลิ้นตัวเอง นางไม่ควรเอ่ยถึงสตรีอื่นเมื่อมีโอกาสได้อยู่กับเขา นั่นเป็นมารยาขั้นพื้นฐานของสตรีนะ ฮือ…
“หากข้าไม่แอบติดตามมาเกรงว่าเจ้าคงจะเสร็จเจ้าคนหน้าหนาอย่างองค์ชายบ้าอะไรนั่น” หลี่เซียวเหยาเอ่ยออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อนึกถึงภาพที่เจินเจินเกือบจะเสียทีให้เจ้าบ้ากามตนนั้น
“ข้าไม่เสียท่าใครง่ายๆหรอกน่า” เจินเจินกล่าวออกไปอย่างมั่นใจ เพราะนางมอบหมายให้สมุนคอยสะกดรอยตามอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าสมุนที่คอยสะกดรอยเพื่อติดตามนางมาตลอดเวลาจะเป็นหลี่เซียวเหยาของนาง
เขาทานางตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อีกสิน่า จริงๆเลย
หญิงสาวคิดในใจพลางอมยิ้มกรุ้มกริ่มแก้มพองอยู่ตรงหน้าของหลี่เซียวเหยา
กิริยานั้นของเจินเจินทำหลี่เซียวเหยาคลำยอารมณ์คุกรุ่นจนต้องก้มหน้าลงหวังกดจมูกคมสันของตนเพื่อฝังลงกับแก้มนวลของนางอย่างไม่อาจห้ามใจ
แต่ยังไม่ทันได้สูดดมกลิ่นหอมของเนื้อแก้มนวลนาง เจินเจินพลันเอ่ยขึ้น “อ๊ะ! แย่แล้ว”
“อันใด!” หลี่เซียวเหยาถึงกับคิ้วขมวดมีโทสะฉับพลัน
หลายวันมาแล้วที่เขาได้แต่แอบมองนางอยู่ไกลๆท้ายขบวนกับเหล่าสมุน
หลายวันมาแล้วที่เขาเพียงแค่เห็นเฉพาะแผ่นหลังที่ตั้งตรงงามสง่าอยู่บนหลังอาชาตัวใหญ่สีดำนิลนั่น
หลายวันมาแล้ว…
ที่เขา
ไม่ได้สัมผัสนางอย่างที่ใจต้องการ…
หลี่เซียวเหยาถอนใบหน้าของตนออกห่างจากใบหน้าของเจินเจินพลางส่งสายตาดุดันอย่างนึกขัดใจ
“พวกของเสี่ยวเหมยเล่า” เจินเจินมิได้สนใจสายตาของ หลี่เซียวเหยาแต่อย่างใด ด้วยเพราะตอนนี้จิตใจนึกขึ้นได้ว่ามีพวกของเสี่ยวเหมยอยู่ด้านในของค่ายทหารที่กำลังลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงร้อนระห่าอยู่ในขณะนี้
“พวกนางยังอยู่ในนั้น ข้าต้องรีบเข้าไปช่วย” เจินเจินกล่าวพร้อมกับดีดตัวออกห่างหลี่เซียวเหยาเพื่อจะกลับเข้าไปในค่ายทหารแห่งนี้
หลี่เซียวเหยาจับดึงแขนของเจินเจินเอาไว้ก่อนเอ่ยออกมาอย่างรู้เท่าทันสตรีตรงหน้า “ข้าสั่งให้สมุนไปช่วยออกมาก่อนแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง”
“จริงรึ” หญิงสาวชะงักกึกกับประโยคนั้นของหลี่เซียวเหยา
อา…
เขาช่างรอบคอบรู้ใจนาง
เหมาะแก่การเป็นหัวหน้าพรรคมารของนางยิ่ง
เจินเจินคิดในใจด้วยสีหน้ากรุ่มกริ่มไม่เปลี่ยนแปลงแก้มแดงเปล่งปลั่งนวลเนียนของนางยังคงป่องออกมาอย่างน่าเอ็นดู ขณะถูกฝ่ามือหนาดึงให้หมุนตัวกลับเข้าหาแผงอก
หลี่เซียวเหยานึกเข่นเขี้ยวสตรีตรงหน้าที่บัดนี้เขารู้สึกได้ว่านางเริ่มเล่นตัว ทำให้เขาคิดอยากจะผูกมัดนางมากขึ้นไปอีก
ชายหนุ่มอยากจะหอมแก้มนวลเนียนที่บัดนี้ขยับขยุกขยิกอยู่ตรงหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้มหน้าเข้าหาหญิงสาว เสียงหนึ่งพลันแทรกขึ้นมา
“เจินเจิน” เสียงของเสี่ยวเหมยนั่นเอง หญิงสาวพร้อมพวกพ้องสตรีด้วยกันอีกสองนางวิ่งกระหืดกระหอบมาทางเจินเจินกับหลี่เซียวเหยา
“เจ้าอยู่ที่นี่นั่นเอง ข้าตามหาเสียนาน” เสี่ยวเหมยเข้ามาจนถึงตัวของเจินเจินพลางจับดึงเจินเจินให้ออกจากการเกาะกุมของหลี่เซียวเหยา พลางเอ่ยรัวเร็วขณะจับร่างของเจินเจินหมุนซ้ำยหมุนขวาอย่างสำรวจความเสียหาย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ไม่เป็นไรนะ ข้าขอโทษจริงๆนะ เรื่องแจกัน”
“ข้าไม่เป็นอะไร แล้วเจ้าเล่า พวกเจ้าด้วย” เจินเจินถามกลับออกไปอย่างเป็นมิตรพร้อมกวาดสายตาไปถ้วนทั่วทุกผู้คน พวกสตรีเหล่านี้ช่างน่าเห็นใจ
พวกนางเป็นเพียงสตรีต่ำต้อยไร้ผู้ใดเหลียวแล
เจินเจินเคยผ่านช่วงเวลาแห่งความรู้สึกของการเป็นเพียงสตรีชั้นล่างมาแล้ว เมื่อสมัยเป็นแค่เด็กหญิงในวัยเพียงแปดปี
ก่อนจะได้รับการช่วยเหลือจากประมุขพรรคมารบิดาของฮองเฮาหงเหม่ยหลง
นางจึงเข้าใจความรู้สึกและนึกห่วงใยเหล่าสตรีตรงหน้าอยู่หลายส่วน
หลี่เซียวเหยายืนมองบรรดาเหล่าสตรีพวกนี้ที่เข้ามาขัดจังหวะของเขากับเจินเจินอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย
แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
เจินเจินของเขาแม้จะเป็นเพียงสตรีไร้ศักดิ์ไร้ฐานันดรทางเมืองหลวง
แต่กับกลุ่มอิทธิพลมืดแล้วนางอยู่เหนือหลายผู้คน
ด้วยฝีมือที่เก่งกาจ ด้วยไหวพริบปฏิภาณ และด้วยจิตใจที่สูงส่งจนได้ใจพวกลูกน้องอย่างไม่ต้องสงสัย
ในด้านของกลุ่มอิทธิพลมืดนั้น นางเป็นรองเพียงฮองเฮาหงเหม่ยหลงเท่านั้น
และยามนี้ที่เขาสัมผัสได้ถึงตัวตนของนาง
คือนางไม่นิยมทำร้ายสตรีด้วยกัน
ผิดจากนิสัยทั่วไปของสตรีในเมืองหลวงที่เขาได้เห็นมานักต่อนักอย่างสิ้นเชิง
“เรียนหัวหน้า พวกทหารที่เหลือรอดชีวิตหนีตายกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงองค์ชายของแคว้นที่ถูกพวกข้ามัดตรึงอยู่ เอาอย่างไรต่อดี” สมุนคนหนึ่งของเจินเจินวิ่งเข้ามากล่าวรายงานกับเจินเจิน
“ทำตามแผนการขั้นต่อไป” เจินเจินผละออกจากพวกของเสี่ยวเหมยเพื่อไปตามทิศทางที่เหล่าสมุนรวมตัวกันอยู่เพื่อรอฟังคำสั่ง
“กระจายข่าวออกไปเกี่ยวกับการจับองค์ชายผู้นั้นเป็นตัวประกัน ให้คนของเราเฝ้าเอาไว้จำนวนหนึ่ง เจ้า…อาจินพาพวกอีกจำนวนหนึ่งเข้าไปแฝงตัวอยู่ในตัวเมือง เอาที่เป็นเมืองเล็กๆก่อนแล้วทำตามแผนการที่ข้าได้ให้ไว้ ส่วนเจ้า…อาเซียวพาพวกกระจายกำลังออกไปแฝงตัวตามเมืองใหญ่ๆ รอรับช่วงแผนการต่อจากอาจิน และพวกเจ้าที่เหลือกระจายกำลังออกไปอาพรางตัวเองเอาไว้ให้กลมกลืนกับผู้คนของแคว้นนี้ให้มากที่สุด ห้ามรวมตัวกันจนกว่าจะมีคำสั่งจากข้า จำเอาไว้ ห้ามทิ้งกันเด็ดขาด คอยระวังหลังให้กันด้วย ไปได้”
จบคำสั่งของเจินเจินเหล่าสมุนก็เคลื่อนกายกระจัดกระจายออกไปตามคา
หลังจากนั้นทั้งหลี่เซียวเหยาและเจินเจินรวมถึงสตรีคณิกาที่เหลือรอดจึงพากันออกเดินทางเข้าไปยังเมืองของแคว้นต้าไห่
ภายในตัวเมืองของแคว้นต้าไห่คราคร่ำไปด้วยผู้คนของแคว้นต้าไห่…
เจินเจินและหลี่เซียวเหยาปลอมตัวเป็นชาวบ้านธรรมดาอาศัยอยู่ภายในโรงเตี้ยมไปเรื่อยๆระหว่างเดินทางเข้าเมืองหลวงของแคว้นต้าไห่
การกระทำทุกอย่างเป็นไปอย่างใจเย็น เพียงเพื่อรอรับและสร้างเสริมแผนการขององค์ชายหลี่หงจินหยางให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างราบรื่น
แผนการนั้นคือต้องการสร้างความปั่นป่วนจากจุดเล็กๆไปหาจุดใหญ่ๆ
สร้างเรื่องราวจากเล็กน้อยจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างข่าวลือให้น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการสั่นคลอนของเมืองหลวง
การสร้างข่าวลือเกี่ยวกับกลุ่มโจรป่า
การสร้างข่าวลือเกี่ยวกับการไม่แน่นอนของการคงอยู่ต่อแคว้นต้าไห่แห่งนี้
และข่าวลืออีกมากมายที่มากพอจะทำให้ชาวบ้านนึกหวาดผวากลัวเกรงจนต้องพากันอพยพออกจากเมืองต้าไห่ไป
ด้วยเหตุผลหนึ่งคือสร้างความระส่าระส่ายให้แก่ผู้ปกครองแคว้นต้าไห่ และสอง เพื่อป้องกันการล้มตายของชาวบ้านตาดำๆ ไม่ให้ต้องรั้งอยู่เมื่อสงครามภายในแคว้นแห่งนี้ปะทุขึ้นด้วยฝีมือของพรรคพวกของแคว้นต้าหลี่และฝ่ายอิทธิพลมืดที่เจินเจินพาเข้ามา
ด้วยเพราะเป้าหมายหลักของการแอบมาเยือนแคว้นต้าไห่แห่งนี้ขององค์ชายหนึ่งเดียวของแคว้นต้าหลี่ก็เพื่อเข้ามาทำลายล้างและยึดครองแคว้นต้าไห่แบบเบ็ดเสร็จ
ในระหว่างที่รอให้แคว้นนี้ลุกโชติช่วงไปด้วยเปลวเพลิงของจริงจากภัยของสงครามนั้น ยังคงมีมุมเล็กๆมุมหนึ่งที่ยังคงสวยสดงดงามอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายที่นับวันจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
มุมนั้นมีชายหนุ่มหญิงสาวที่ยังคงอยู่ด้วยกันอย่างชื่นมื่นเนื่องจากยามนี้พวกเขาปลอมตัวเป็นสามีภรรยาแบบชาวบ้านทั่วไป
“ท่านพี่ ทานนี่เสียหน่อยนะเจ้าคะ” เสียงของภรรยาเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนหวานเอาอกเอาใจผู้เป็นสามีขณะตักข้าวและกับข้าวส่งให้อย่างอ่อนช้อยอยู่ตรงโต๊ะรับประทานอาหารภายในห้องอาหารของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
“ฮูหยิน ข้าอิ่มแล้ว” ฝ่ายสามีกล่าวออกไปอย่างไม่สามารถกินอะไรได้ลงอีกแล้ว
เนื่องจากภรรยาของเขาดูจะเล่นได้สมบทบาทเสียจริง จนเขานึกเคืองในการปลอมตัวอย่างนี้อยู่หลายส่วน
นางน่าจะปลอมตัวเป็นภรรยาของเขาเพียงแค่คนเดียว ไม่เห็นจะต้องให้มีเหล่าอนุภรรยาปลอมตัวติดตามมาด้วยเลย
“ท่านพี่เจ้าคะ ท่านก็ต้องกินด้วยนะเจ้าคะ อย่ามัวแต่ตักให้คนอื่น” เสี่ยวเหมยที่อุตส่าห์ปลอมตัวเป็นอนุภรรยาของ หลี่เซียวเหยาเอ่ยขึ้นไปทางเจินเจินที่ปลอมตัวเป็นฮูหยินใหญ่ของหลี่เซียวเหยา นางกล่าวขึ้นพลางตักอาหารให้เจินเจินอย่างต่อเนื่อง
“ท่านพี่เซียวเหยาของข้าอิ่มแล้ว ข้าก็อิ่มด้วย” เจินเจินที่ปลอมตัวเป็นฮูหยินใหญ่ของหลี่เซียวเหยากล่าวออกไปกับเสี่ยวเหมยที่ปลอมตัวเป็นอนุภรรยาเพื่อความแนบเนียนต่อผู้พบเห็นขณะอาศัยอยู่ภายในเมืองของแคว้นต้าไห่แห่งนี้
“เช่นนั้นเราออกไปเดินเล่นกันเถอะ ไปคุยกันตามประสาหญิงสาวนะเจ้าคะ” เสี่ยวเหมยเอ่ยออกมาพลางลุกขึ้นฉุดดึงเจินเจินให้ลุกตามตนเองออกจากโต๊ะอาหารก่อนจะพาเจินเจินออกจากห้องไป ตามด้วยดรุณีน้อยที่ปลอมตัวเป็นอนุภรรยาของหลี่เซียวเหยาอีกสองนาง
ขณะเดินออกไปยังแอบส่งสายตาจิกกัดอย่างนึกรังเกียจในความเป็นบุรุษเพศมาทางหลี่เซียวเหยาอีกด้วย
หลี่เซียวเหยาเพียงหรี่ตามองตามเสี่ยวเหมยอย่างเข้าใจความหมายทางสายตานั้นเป็นอย่างดี
ถ้าเป็นยามปกติฝ่ายภรรยากับอนุภรรยาต้องแตกคอกันเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานจากสามี
แต่นี่… พวกนางกลับแย่งชิงความโปรดปรานจากเจินเจินผู้เป็นภรรยาของเขาเสียอย่างนั้น
หลายวันมานี่แทนที่เขาจะได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองกับเจินเจินอย่างคู่สามีภรรยาแบบชาวบ้านธรรมดา แต่กลับต้องถูกกีดกันจากพวกของเสี่ยวเหมยที่กลัวว่าเจินเจินจะทิ้งพวกนางไป
เจินเจินนี่ก็กระไร ช่างใจอ่อนกับเสียงอ่อนเสียงหวานของสตรีด้วยกันไปเสียได้
หลี่เซียวเหยาคิดในใจอย่างแค้นเคือง แม้จะพยายามเข้าใจในตัวของเจินเจินและเหล่าสตรีด้วยกันแล้ว แต่ก็ยังอดเคืองไม่ได้
ถ้าเป็นบุรุษด้วยกันพยายามเข้าหาเจินเจิน เขาคงจัดการได้ง่ายกว่านี้
หรือถ้าเป็นฝ่ายสตรีพยายามเข้าหาเขา เขาก็สามารถสลัดได้โดยง่ายเช่นกัน
แต่นี่…
แบบนี้มัน…
ฮึ่ม!
บัดซบยิ่งนัก!
เวลาผ่านไปหลายชั่วยาม…
ภายในห้องๆหนึ่งของโรงเตี๊ยม…
“ท่านพี่…ข้ามาแล้ว” เสียงแว่วหวานของเจินเจินดังเข้ามาภายในห้องเมื่อเวลายามค่ำคืนมาเยือน
นางพยายามหาโอกาสอยู่ด้วยกันกับหลี่เซียวเหยาตลอดเวลา แต่เหมือนกับว่าช่างยากเย็น
ด้วยเพราะว่าเสี่ยวเหมยและดรุณีน้อยอีกสองนางไม่ยินยอมให้นางได้ห่างกาย
พวกนางเกรงว่าจะถูกรังแกจากพวกของหอโคมเขียวที่อาจจะไล่ติดตามให้พวกนางกลับไปเป็นหญิงคณิกาอีก
และที่สำคัญเสี่ยวเหมยนั้นยึดเอาเจินเจินเป็นที่ตั้งทั้งยังไม่ไว้ใจในตัวของหลี่เซียวเหยา
เพราะเสี่ยวเหมยนั้นนึกระหวาดระแวงบรรดาบุรุษเพศจนนึกหวงเจินเจินขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ยามนี้นางรอจนพวกของเสี่ยวเหมยหลับไปก่อนจึงแอบย่องออกมา
เจินเจินเข้ามาภายในห้องแห่งนี้แล้วกลับพบเพียงความว่างเปล่า
หลี่เซียวเหยาหายไปไหน หญิงสาวคิดพลางเมียงมองไปทั่วห้อง ไม่ใช่ว่าเคืองนางจนแอบกลับแคว้นต้าหลี่ไปแล้วนะ
ฮือ…
“มาแล้วรึ!” เสียงหลี่เซียวเหยาดังขึ้นอยู่ทางด้านหลังของเจินเจิน ทำหญิงสาวต้องรีบหันขวับกลับไปมองอย่างโล่งใจที่เขายังอยู่
“ท่านพี่…” เจินเจินส่งเสียงอ่อนหวานไปทางหลี่เซียวเหยาอย่างเอาอกเอาใจมากมายพร้อมกับกระโดดเข้าประชิดร่างของชายหนุ่ม
“พวกสมุนแจ้งข่าวมาหาข้าเมื่อครู่นี้ว่าศึกใกล้เข้ามาแล้ว” หลี่เซียวเหยาเอ่ยเป็นงานเป็นการขณะเอื้อมวงแขนขึ้นรับร่างบางที่โถมเข้าใส่
เขาต้องคอยสั่งการลูกน้องของเจินเจินเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงโดยเร็ว เขาจะได้พานางกลับแคว้นต้าหลี่แล้วไปแต่งงานเสียที
“ลำบากท่านแล้ว” เจินเจินเอ่ยเสียงหวานใส่หน้าของหลี่เซียวเหยา
ตั้งแต่มีเขาอยู่ด้วยกันนางไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับภารกิจเลย
ตั้งแต่เติบโตมาได้รับภารกิจก็หลายครั้ง แต่ละครั้งนางเหนื่อยสายตัวแทบขาด
แต่ครั้งนี้มีเขาอยู่ด้วย ช่างดียิ่ง
อา…
นางตัดสินใจแล้ว…
นางอยากสร้างอาณาจักรที่มีเพียงเราสอง
เป็นองค์หญิงมันยากและเป็นไปไม่ได้
เป็นเจ้าของอาณาจักรดูจะง่ายกว่ามาก
ไม่เห็นจะต้องเป็นองค์หญิงเลย
เจินเจินคิดในใจอย่างกรุ้มกริ่มพลางซบหน้าลงตรงแผงอกของหลี่เซียวเหยาคล้ายลูกแมวน้อยกำลังคลอเคลีย
กิริยานั้นทำหลี่เซียวเหยาหายเคืองนางเรื่องเกี่ยวกับพวกของเสี่ยวเหมยไปในทันที
“เจ้าไม่ไปนอนกับเสี่ยวเหมยอีกรึ เห็นนอนด้วยกันทุกคืน” หลี่เซียวเหยาแกล้งค่อนขอดเจินเจิน
“พวกนั้นหลับแล้ว ข้าจึงแอบมา” หญิงสาวกล่าวตามจริง
“ฮึ!” ชายหนุ่มส่งเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ
“ท่านไม่โกรธข้าได้หรือไม่” เจินเจินส่งเสียงหวานออดอ้อนอย่างเต็มที่เพราะรู้สึกผิดต่อหลี่เซียวเหยา แต่จะให้นางทิ้งๆขว้างๆพวกเสี่ยวเหมยได้อย่างไร
หลี่เซียวเหยาเพียงก้มหน้ามองเจินเจินนิ่งๆไม่ได้กล่าวคำใด ยิ่งเขาได้อยู่ใกล้นางมากเท่าไหร่เขายิ่งได้รู้จักตัวตนจริงๆของนาง เขายิ่งแน่ใจว่าชมชอบสตรีไม่ผิดคน
เจินเจินเห็นหลี่เซียวเหยานิ่งงันไร้วาจาเอื้อนเอ่ย จึงรีบงอนง้อโดยการหอมแก้มซ้ายขวาเอาใจ พลางเอ่ย “คืนนี้ข้าขอนอนห้องนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ”
หญิงสาวกล่าวพลางส่งยิ้มหวานประจบอย่างหยาดเยิ้มดวงตาพร่างพราวยั่วยวน
“นอนได้แต่อย่าคิดว่าจะได้หลับเลย ฮูหยิน” หลี่เซียวเหยากล่าวพลางส่งสายตาเปล่งประกายร้ายกาจจนเจินเจินถึงกับหน้าแดงเห่อร้อนอย่างคาดไม่ถึง
อา…
นางคิดว่ามารยาของนางร้ายกาจแล้วเชียว เจอมารยาของเขาเข้าไปนางถึงกับตาลาย
เจินเจินเงยหน้าเหม่อมองหลี่เซียวเหยาอย่างเผลอไผลโดยไม่รู้ตัวเลยว่าถูกปลดอาภรณ์ออกตั้งแต่เมื่อไหร่
หลี่เซียวเหยาเลื่อนปลายนิ้วไล้เกลี่ยไปทั่วแผ่นหลังของเจินเจินอย่างยั่วเย้า ก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นมาจับท้ายทอยของนางเพื่อประคองใบหน้างาม แล้วก้มหน้าลงขบเม้มแก้มแดงระเรื่ออย่างอ่อนโยน
เขาไล้ปลายลิ้นไปจนเจอกับริมฝีปากได้รูปก่อนจะละเลียดชิมอย่างเย้ายวน แล้วค่อยๆดื่มด่ำอย่างดูดดื่ม
“อืม…”
เจินเจินเริ่มครวญครางขณะทำได้เพียงแหงนหงายใบหน้าเพื่อตอบรับสัมผัสอย่างเคลิบเคลิ้มจนเกือบจะทรงตัวยืนไม่อยู่
นางทำได้เพียงเอื้อมมือขึ้นเกาะกุมไหล่กว้างใหญ่ของหลี่เซียวเหยาเอาไว้พร้อมเบียดเสียดหน้าอกนุ่มนิ่มเข้าหาชายหนุ่มอย่างต้องการไออุ่นจากแผงอกร้อนผ่าว
หลี่เซียวเหยาช้อนร่างของเจินเจินขึ้นอุ้มก่อนจะเดินเข้าไปทางเตียงนอนแล้ววางร่างระหงลงอย่างนุ่มนวลในขณะที่ริมฝีปากยังคงล้วงลึกอยู่ตรงกลีบปากของนาง
เอี้ยมตัวบางถูกปลดออกจากหลังลำคอก่อนจะค่อยๆไหลลื่นออกจากเนินสูงของเนื้อนูนนั้นเผยให้เห็นเนินอกอวบอิ่ม กางเกงชั้นในตัวบางกำลังถูกฝ่ามือกรุ่นร้อนของหลี่เซียวเหยาค่อยๆลูบคลำเค้นคลึงบนเนื้อนุ่มนั่นอย่างยั่วยวนจนเจินเจินต้องเอื้อมมือมาจับกุมฝ่ามือของเขาเอาไว้แน่นก่อนที่ฝ่ามือหนาของเขาจะเคลื่อนย้ายล้วงเข้าไปอยู่ภายใต้ชั้นในบางเบาแล้วทำบางอย่างด้วยความเร่าร้อนสร้างความร้อนรุ่มปั่นป่วนให้หญิงสาวจนต้องส่งเสียงครางออกมา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก! เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้น
“ท่านพี่เจินเจิน” ตามด้วยเสียงของดรุณีน้อยสองนางและเสี่ยวเหมย
“เฮ่อ!”
และตามด้วยเสียงถอนหายใจหนักหน่วงของบุรุษตรงหน้า
อีกแล้ว!
เจินเจินกับหลี่เซียวเหยาคิดในใจพร้อมกันอย่างไม่รู้ตัว
หลายวันมาแล้วที่เป็นแบบนี้
ให้ตายเถอะ!