ตอนที่ 1005 ทวนดับทุกข์
“หลุดพ้นแล้วรึ….” จูโหย่วไฉก้มหน้าลง นั่งบนพื้นอย่างเงียบๆ โลกที่เขาอยู่รวมขึ้นจากบึงน้ำ ยามนี้ข้างกายเขาเป็นบึงน้ำแห่งหนึ่ง ภายในเห็นเป็นฟ้าคราม
จูโหย่วไฉมองฝ่ามือหนาของตัวเอง ผ่านไปพักใหญ่ก็กางมือออก ในฝ่ามือ….ปรากฏเม็ดยาสีแดงอ่อนหนึ่งเม็ด!
เขามองเม็ดยานี้ สีหน้านุ่มนวลขึ้นทีละน้อยและยังมีความขมขื่น
“ไม่ว่าเป็นใคร ข้าหลุดพ้นแล้ว…” จูโหย่วไฉกล่าวพึมพำเบาๆ เขายืนขึ้นมองบึงน้ำ ข้างกายแวบหนึ่ง ก่อนเดินไปอย่างเงียบๆ ตอนที่ยืนก้มหน้ามองลงไป เขาเห็น เงาสะท้อนตัวเองบนผิวน้ำ
ร่างกายอ้วนดุจหมู ไขมันหนาบนใบหน้ากองรวมกันจนน่ากลัว เส้นเลือดฝอยในดวงตา และยังมีเส้นผมยุ่งเหยิง มองไปมองมา จูโหย่วไฉก็หลับตาลง
ช่วงที่ลืมตาอีกครั้ง เขา…ยังเป็นจูโหย่วไฉ เขาขยับวูบไหวตัวกลายเป็นสายรุ้งยาวห้อเหยียดไกลออกไป
‘เผ่ายมโลกแห่งโลกแท้จริงที่ห้ามีวิชาคืนชีพคนตาย ขอเพียงมีเสี้ยววิญญาณก็จะทำให้คืนชีพกลับมาสู่โลกได้อีกครั้ง ถึงโลกแท้จริงที่ห้าจะหายไปแล้ว ถึงเล่าลือว่า เผ่ายมโลกสูญสิ้นไป แต่ว่า…ขอเพียงมีความหวังสักเล็กน้อย ข้าจะต้องไปโลกแท้จริง ที่ห้า จะต้องหาชาวเผ่ายมโลกให้พบเพื่อคืนชีพให้กับเจ้าให้ได้…’
…….
ซูหมิงกับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงกำลังข้ามผ่านกาลเวลา พลังชีวิตหลั่งไหลออกไปหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ซูหมิงรู้สึกเหนื่อยล้า ขณะเดียวกันก็อดนึกถึงสัญญาพันปีกับผู้ฝึกฌานในแดนประหลาดวงแหวนบูรพามิได้
สัญญานี้เกี่ยวข้องกับเวลา เดิมทีมีสัญญานี้อยู่ ทว่าเมื่อซูหมิงยึดวิญญาณเอ้อชาง สัญญาก็หายไปแล้ว แต่เงื่อนไขคือ…เขาต้องให้ร่างแยกเอ้อชางกินเอ้อชางตัวอื่นๆ อีกครั้ง ให้มันแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งยึดแดนประหลาดวงแหวนบูรพาให้กลายเป็นอาณาเขตของเขาอย่างสมบูรณ์
นี่คือเป้าหมายเขา ตอนนี้เป้าหมายยังห่างไกลอยู่เล็กน้อย แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า…ร่างแยกเอ้อชางในตอนนี้แกร่งเกินกว่าเอ้อชางตัวอื่นๆ แล้ว แต่ก็ยังไม่มากพอจะกินวิญญาณทั้งหมดในครั้งเดียว
ซูหมิงเดินหน้าข้ามผ่านไปทีละมิติ เขาไม่หยุดนานนัก พอมาถึงมิติหนึ่งแล้วก็จะใช้จิตสัมผัสตรวจสอบ หากไม่พบร่างสมบัติล้ำค่าก็จะจากไปทันที
ดังนั้นแล้วจึงสร้างความขมขื่นให้กับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง เขาเป็นร่างจิตแรก การข้ามผ่านทุกครั้งทำให้เขาเหนื่อยล้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปาก เพราะกลัวว่าจะไปยั่วยุให้ซูหมิงเกิดจิตสังหาร
ขณะตามอยู่นี้เขาถอนหายใจอยู่ภายในไม่หยุด ก่อนมาเตาหลอมลำดับห้า เขาไม่คิดเลยว่าตนจะต้องมีจุดจบแบบนี้ เกิดความรู้สึกเสียใจภายหลังไม่หยุดอยู่ในส่วนลึกในใจ…ว่าเหตุใดตอนนั้นถึงเผยเจตนาร้ายต่อซูหมิง
‘คนนี้จิตใจและการลงมือเหี้ยมโหด เจ้าเล่ห์มากมายหลายอย่าง จะล่วงเกินอีกไม่ได้เด็ดขาด’ บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงมองซูหมิงข้างหน้าด้วยความกลัวแวบหนึ่ง ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้บังคับให้ตนตามมา แต่เขาก็คาดการณ์ได้ว่าหากตนทำอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย เกรงว่าจะเป็นการมอบข้ออ้างในการลงมือให้กับอีกฝ่าย
“พอถึงแท่นเหยียบวิญญาณตรงชายขอบชั้นสองแล้ว มิติจะน้อยลงเรื่อยๆ โอกาสที่จะเจอมิติสมบัติล้ำค่าก็มากขึ้น เจ้ามีความเข้าใจที่นั่นเท่าไร” ซูหมิงพลันกล่าวขึ้นระหว่างที่เดินหน้าอยู่
“กล่าวได้ว่าชายขอบชั้นสามในเตาหลอมลำดับห้าค่อนข้างไม่มีอันตราย ถึงอย่างไรโอกาสที่ทุกคนจะเจอกันก็มีไม่สูง…” กล่าวถึงตรงนี้ บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเงียบไปครู่หนึ่ง เขาถอนหายใจอยู่ภายในอีกครั้ง
“ระหว่างชายขอบชั้นสามกับชั้นสองก็เช่นกัน เพียงแต่ว่าโอกาสที่จะเจอกันมากขึ้นเล็กน้อย ทว่าหากระวังตัวอยู่บ้างก็ไม่น่าจะเกิดเรื่องใหญ่มากนัก
แต่ว่าระหว่างแท่นเหยียบวิญญาณตรงชายขอบชั้นสองข้างหน้ากับชายขอบชั้นหนึ่งดุเดือดอย่างยิ่ง มิติตรงนั้นไม่มากแล้ว ดังนั้นจึงมีหลายคนโผล่ในมิติเดียวกัน หากมีสมบัติล้ำค่าด้วยละก็…” บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงมองซูหมิง
“ก็สู้กันจนตาย! ข้ามาเตาหลอมลำดับห้าหลายครั้งแล้ว ระหว่างชายขอบชั้นสองกับชั้นหนึ่งมีผู้แข็งแกร่งตายตกทุกครั้ง
คนที่เหลืออยู่ในช่วงสุดท้าย หากไปถึงแท่นเหยียบวิญญาณชายขอบชั้นหนึ่ง จุดที่พวกเขาจะไปคือใจกลางเตาหลอมลำดับห้า ตรงนั้น การแย่งชิงของพวกเขาจะบรรลุถึงจุดสูงสุด เพราะว่าที่นั่นจะเกิดสมบัติล้ำค่าที่แกร่งที่สุดเก้าชิ้น ความน่าหลงใหลของมัน…ต้องมิใช่คนธรรมดาเท่านั้นถึงจะต่อต้านไหว
แต่ตัวข้าหลายครั้งก่อนหน้านี้ อย่างมากสุดก็ไปถึงระหว่างชั้นสองกับชั้นหนึ่ง ไม่ได้เข้าไปถึงใจกลางก็จากไปแล้ว ดังนั้นข้าถึงยังมีชีวิตอยู่” บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงกล่าวเสียงต่ำ
ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ในใจเกิดความคิดขึ้น เขาเดินออกจากรอยแยกมิติเข้ามาอยู่กลางมิติใหม่ ผ่านมาไม่รู้กี่มิติแล้ว จากการประมาณล่วงหน้า น่าจะใกล้ถึงปลายทางหินเหยียบวิญญาณชายขอบชั้นสองแล้ว
แทบเป็นช่วงที่ซูหมิงปรากฏตัวในมิตินี้ เขาหน้าเปลี่ยนสีทันที ขณะเดียวกันบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงข้างกายมีประกายตกใจระคนดีใจวูบผ่านแววตา
เห็นเพียงว่าบนฟ้าของมิติแห่งนี้มีการต่อสู้อย่างดุเดือด เสียงครึกโครมดังสนั่น ก่อให้เกิดระลอกคลื่นจำนวนมากกลายเป็นแรงปะทะกระจายเป็นวงกว้าง เกิดพายุคลั่งลากยาวเข้ามาราวกับฟ้าดินถล่มทลาย
สองฝ่ายที่กำลังสู้กันอยู่คือจูโหย่วไฉกับร่างสมบัติล้ำค่าที่พวกเสวียนซางกับสวี่ฮุ่ยอยู่!
แผ่นดินของมิตินี้เป็นทะเลกว้างใหญ่ น้ำทะเลเกิดคลื่นลูกใหญ่ภายใต้ระลอกคลื่นจากการต่อสู้บนฟ้า คลื่นลูกใหญ่ส่งเสียงดังสนั่น ทำให้ผิวทะเลทั้งหมดเกิดน้ำวนยักษ์
ภายใต้การหมุนวนอย่างต่อเนื่องของน้ำวน จึงมองเห็นก้นทะเลในแวบเดียว!
ตรงก้นทะเลมีรูปปั้นอยู่รูปหนึ่ง เป็นรูปปั้นประหลาดสามหัว ทั่วร่างเปล่งแสง สีขาวดุจหินหยก มันอยู่ตรงก้นทะเล มีแสงสีขาวเปล่งสะท้อนไปบนฟ้า
รอบน้ำวนยังมีมังกรทะเลดุร้ายเกือบร้อยตัวกำลังวนเวียน พวกมันเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้าตลอดเวลา แต่กลับมีท่าทีไม่กล้าเข้าใกล้รูปปั้นสีขาว
“สมบัติล้ำค่า!” บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเอ่ยขึ้นทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงเข้ามาในมิติสมบัติล้ำค่า โดยเฉพาะระลอกคลื่นกับพลังจากตัวสมบัติชิ้นนี้ เห็นได้ชัดว่ามันเหนือกว่าสมบัติรองมากนัก มองแวบเดียวก็รู้ถึงความต่างของมัน
หนึ่งในสามหัวของรูปปั้นกำลังร้องไห้ สองกำลังหัวเราะ สามกำลังโกรธ!
สามหัวหนึ่งร่างอยู่ตรงส่วนลึกของก้นทะเล มอบไปใจต้องสั่นไหว พร้อมกันนั้นจะอดเกิดความรู้สึกประหลาดต่อสมบัติชิ้นนี้ขึ้นเล็กน้อยมิได้
การปรากฏตัวของซูหมิงกับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงดึงดูดความสนใจของสองฝ่ายที่กำลังสู้กันอยู่บนฟ้าทันที ร่างกายสมบัติมีสีหน้าสงบนิ่ง แต่พวกเสวียนซางสี่คนในนั้นกลับใจสั่นสะท้าน
สวี่ฮุ่ยสงบนิ่งมาก นางรู้ว่าซูหมิงจะต้องตามมาอย่างแน่นอน ตอนนี้มองไปไม่ดูแปลกใจอะไร และยังมีบรรพบุรุษหลงไห่ จากอายุและเป็นคนเจ้าแผนการของเขา ย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายหาตนพบจากการเหนี่ยวนำของสัญญาระหว่างตนกับอีกฝ่ายได้ ถึงจะมีร่างสมบัติล้ำค่าอยู่ ทว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเป็นวิญญาณหลัก หากบอกว่าไม่มีกลอุบายเหลือไว้เลยเขาคงไม่เชื่อ
ความจริงสิ่งที่ชี้นำซูหมิงมาที่นี่ นอกจากกระเรียนขนร่วงรวมถึงสวี่ฮุ่ยกับ บรรพบุรุษหลงไห่แล้ว ยังมีร่องรอยของเขาที่ทิ้งเอาไว้ในร่างกายสมบัติล่ำค่า
ร่องรอยนี้ไม่ได้อยู่ในร่างสมบัติล้ำค่า แต่อยู่ข้างนอก เขาเคยเป็นวิญญาณหลักมาก่อน การจะใช้กลอุบายเหล่านี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอยู่แล้ว
ทางจูโหย่วไฉ พอเห็นซูหมิงแล้วพลันหรี่ตาลง เขาไม่คุ้นหน้าซูหมิงอย่างยิ่ง แต่ยามที่เห็นบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงอยู่ข้างกายอีกฝ่าย เขาก็หันหน้าไปมองร่างสมบัติล้ำค่าอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง
‘สมบัติล้ำค่าตระกูลเสวียน!’ นัยน์ตาจูโหย่วไฉพลันรวดเร็วและดุดัน หากเป็นคนอื่นบางทีอาจมองไม่ออกเร็วขนาดนี้ แต่เขา….ทำได้
ร่างสมบัติล้ำค่ามาถึงที่นี่ก่อน เขาจูโหย่วไฉมาทีหลัง ดังนั้นถึงเกิดการต่อสู้กันก่อนหน้านี้ เวลานี้เห็นซูหมิงผู้ไม่คุ้นหน้ากับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงโผล่มา นัยน์ตา จูโหย่วไฉจึงขยับประกาย ในใจรู้แล้วว่าเหตุใดตอนสู้กับร่างกายสมบัติเมื่อครู่ถึงเกิดความรู้สึกแปลกตา
เห็นได้ชัดว่าร่างสมบัติล้ำค่าก่อนหน้านี้ควบคุมโดยผู้ฝึกฌานข้างกายบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง อีกทั้งดูแค่ว่าบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงตามอยู่ข้างกายใคร ก็จะมองออกทันทีว่าใครเป็นคนควบคุมหลักร่างสมบัติล้ำค่า
นัยน์ตาจูโหย่วไฉลอบเป็นประกายบางจนไม่อาจตรวจพบ แทบเป็นทันทีที่ในความคิดเข้าใจความสัมพันธ์ของซูหมิงกับร่างสมบัติล้ำค่า เขาก็ขยับวูบไหวตัวพุ่งไปยังน้ำวนบนทะเล มองจากทิศทางแล้วคือรูปปั้นสามหัว ด้วยความเร็วของเขาจึงเข้าไปใกล้ในพริบตา
ครั้นจูโหย่วไฉเคลื่อนไหว ร่างสมบัติล้ำค่าที่พวกเสวียนซางสี่คนอยู่พลันหน้าเปลี่ยนสี ขณะกำลังจะตามไปนั้น นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย ยามยกมือขวาขึ้นปรากฏแหวนวงหนึ่งบนนิ้วโป้งอย่างชัดเจน
พริบตาที่แหวนสีม่วงกับดำสองสีส่องแสงสว่าง พลันปรากฏทวนยาวสีม่วงกับดำขึ้นในมือซูหมิง เขาชูมันขึ้นแล้วปาใส่ร่างเงาจูโหย่วไฉที่กำลังห้อเหยียดไปอย่างไม่ลังเล
เสียงลากยาวทำลายอากาศในเสี้ยวชั่วขณะ ชั่วขณะที่เสียงแหลมเล็กประดุจ เสียงสะอื้นไห้ของสตรีดังก้อง ร่างสมบัติหยุดชะงักกลางอากาศโดยพลัน
พวกเสวียนซางสี่คนในร่างกายร้องโหยหวน จิตใจถูกเสียงนี้ปะทะใส่
“ทวนดับทุกข์! มะ….ไม่อยากเชื่อว่ามันจะอยู่ที่นี่!” ขณะที่เสวียนซางร้องโหยวน ก็เกิดความเหลือเชื่อขึ้น
กระทั่งสวี่ฮุ่ยยังจิตใจปั่นป่วนอย่างรุนแรง จิตสัมผัสพลันขาวโพลน
หากเพียงเท่านี้คงไม่เท่าไร พอบรรพบุรุษหลงไห่ได้ยินเสียงแหลม จิตแรกเขาเกิดเค้าลางไม่เสถียรในฉับพลัน จิตใจเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
“โลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ ทวนดับทุกข์ของเซียนนักรบฉางเหอ!”
จูโหย่วไฉที่กำลังมุ่งหน้าไปยังรูปปั้นเดิมทีรวดเร็วยิ่ง แต่ช่วงที่เสียงลากยาวแหลม แว่วมา เขาตัวสั่นและหยุดกลางอากาศ ตอนที่หันกลับไป เขาเหม่อมองทวนยาวที่กำลังตรงเข้ามา มองซูหมิงที่เส้นผมยาวแกว่งไกวอยู่กลางอากาศไกลๆ
ซูหมิงสวมเสื้อคลุมดำทั้งตัว ยามนี้ทำให้จูโหย่วไฉมีสีหน้าไม่แน่ใจ เขาเหมือนเห็นตัวเองในร่างชายวัยกลางคนรางๆ คนหนึ่งกำลังแยกวิญญาณอยู่ด้วยความเศร้า มาพร้อมกับการตัดสลับบุญคุณความแค้นต่ออาจารย์ และยังมีความเสียใจต่อคนรัก
“ที่แท้ก็เป็นเขา…”