ตอนที่ 1004 จูโหย่วไฉ
ตอนที่หมากสีดำในมือซูหมิงหายไป วิญญาณเพลิงแก่ชราสองตนทางซ้ายขวาของกระดานหมากต่างมองหน้ากันและกัน แล้วก็ก้มหน้าลง ก่อนหลับตาเล็กน้อย
ขณะเดียวกันวิญญาณเพลิงตัวอื่นรอบๆ ก็ต่างนั่งยองลงราวกับหลับใหลอีกครั้ง ไม่ได้ขับไล่หรือสนใจซูหมิงแม้แต่น้อย
ซูหมิงกวาดสายตามองไปรอบๆ สุดท้ายก็มองโครงกระดูกครึ่งตัวรวมถึงทวนยาวในมือข้างผนังหินไม่ไกล ดวงตาเป็นประกาย
“คนผู้นี้มาเมื่อสมัยโบราณกาล สังหารยอดผู้แข็งแกร่งสายเลือดวิญญาณเพลิงของข้าติดต่อกันไปเจ็ดตน ต่อให้เป็นข้าสองคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้…สุดท้ายข้าทำได้เพียงให้ชาวเผ่าเซ่นไหว้ เหนี่ยวนำเพลิงแห่งเตาหลอมลำดับห้าสามส่วนมาหลอมตนทั้งเป็น…
ทว่าความแกร่งของคนผู้นี้ เพลิงสามส่วนละลายร่างกายเขาได้เพียงครึ่งเดียว ผนึกวิญญาณเขาไว้ที่นี่ได้เท่านั้น นี่เป็นเพราะในใจเขาคิดจะตายอยู่แล้ว มิเช่นนั้น หากเขาจะไป…พวกข้าคงหยุดไว้ไม่อยู่
ทวนยาวในมือเขาย้อมไปด้วยพลังชีวิตของวิญญาณเพลิงจำนวนมาก หากเจ้าวางใจว่าเขาจะไม่มีวันฟื้นคืนชีพออกจากที่นี่ ก็จงเอาทวนของเขาไป” เสียงวิญญาณเพลิง แก่ชราดังกึกก้อง ซูหมิงมองร่างโครงกระดูกครึ่งหนึ่ง ตรึกตรองอยู่ชั่วครู่แล้วเดิน เข้าไป
ช่วงที่เดินมาอยู่ข้างโครงกระดูก เขาพิจารณามองโครงกระดูกอย่างละเอียดแวบหนึ่ง สุดท้ายก็มั่นใจว่าคนคนนี้….ไม่ใช่เลี่ยซานซิว!
ความจริงก่อนหน้านี้ตอนแรกสุดที่เห็นโครงกระดูกก็เคยเกิดการคาดเดาเล็กน้อย ถึงอย่างไรเลี่ยซานซิวก็มีทวนเล่มหนึ่งชื่อว่าฝังอสูร ตอนนั้นซูหมิงเคยได้ของเลียนแบบมาด้วย แต่เขาจำได้แม่นว่าทวนฝังอสูรของจริงอยู่ใต้เมืองจักรพรรดิต้าอวี๋ กำราบอสูรเงามืดอยู่ เลี่ยซานซิวไม่น่าจะเอามาด้วย
ยามนี้หลังจากพิจารณาอย่างละเอียดแล้วก็ลบการคาดเดาเมื่อครู่ไป สายตามองทวนยาวในมือโครงกระดูก ก่อนยกมือขวาขึ้นคว้าไปยังทวนยาว
ทว่าทันทีที่ซูหมิงสัมผัสทวนยาวที่เปลี่ยนไประหว่างสีม่วงกับดำนั้น มีกลิ่นอายมารเข้มข้นแผ่กระจายมาจากตัวทวนยาว ไหลผ่านมือขวาเขาเข้าสู่ร่างกาย เสี้ยวขณะเดียวก็อัดแน่นอยู่เต็มร่างกาย ความแกร่งของกลิ่นอายมารนี้ ระหว่างที่วนเวียนอยู่ในตัวเขาก็กลายเป็นแรงปะทะพุ่งไปยังสมอง
ภายใต้แรงปะทะนี้ ตรงหน้าซูหมิงเกิดความเลือนราง ในความคิดเกิดภาพต่างๆ ขึ้น ภาพเหล่านั้นเหมือนเป็นความทรงจำของทวนเล่มนี้ กำลังฉายอยู่ตรงหน้าเขา
ในภาพมีชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมดำทั้งตัวคนหนึ่ง มือถือทวนยาวเล่มนี้ จุดที่เขาอยู่ก็คือถ้ำใต้ดินที่นี่ บนใบหน้าเขาไร้คลื่นอารมณ์ แต่นัยน์ตากลับไม่มีความอาลัยอาวรณ์ต่อชีวิต ข้างกายยังมีวิญญาณเพลิงนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีวิญญาณเพลิงตัวใหญ่ เก้าตัวใช้พลังของขั้นกุมชะตาเกิดดับประมือกับเขา
เขามีสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ทุกการแทงทวนจะทำให้แผ่นดินสั่นไหวภูเขาโคลงเคลง เมื่อวิญญาณเพลิงเหล่านั้นตายตกไปทีละตน สุดท้ายวิญญาณเพลิงทั้งหมดรอบๆ จึงต่างบริกรรมคาถา ชายคนนั้นแก่ชราลงโดยเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ระหว่างนั้นใต้เท้า ชายวัยกลางคนพ่นทะเลเพลิงไม่มีสิ้นสุดออกมาท่ามกลางเสียงดังสนั่นฟ้าดิน ทะเลเพลิงนั้น…..จมชายวัยกลางคนไปในพริบตา
ภาพเปลี่ยนไป ที่ที่ชายวัยกลางคนปรากฏตัวคือฟ้าดินแห่งหนึ่ง ท้องฟ้าเป็น สีคราม แต่เมื่อเขาแทงทวนยาวไปแล้ว ทั่วฟ้ากลับกลายเป็นสีดำ สิ่งมีชีวิตหลายร้อยบนพื้นดินต่างแหลกสลายและตายไปพร้อมกัน จะเห็นได้ว่าโลกนั้นที่เขาอยู่ยังคงเป็นมิติแห่งหนึ่งในเตาหลอมลำดับห้า
ภาพที่สองเปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้อยู่ในฟ้ากระจ่างดาว ซูหมิงมองแวบเดียวก็เห็นว่าตรงหน้าชายวัยกลางคนคือเตาหลอมลำดับห้าที่กำลังพ่นทะเลเพลิงมหาศาล จะเห็นได้ว่าครั้งนี้คือความทรงจำตอนที่เขายังไม่เข้าเตาหลอมลำดับห้า
ภาพนี้คือการเล่าย้อนหลัง บรรยายความทรงจำของคนคนนี้ นั่นคือการย้อนความทรงจำของทวนเล่มนี้
ภาพที่สี่พลันชัดเจนในความคิดซูหมิง นั่นคือ…..กลางแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต บริเวณพื้นที่รักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริง ไม่รู้ว่าเป็นโลกแท้จริงใด แต่สองมือชาย วัยกลางคนในภาพมีแสงหลากสีกลายเป็นโซ่มัดสองมือเขาเอาไว้ รอบตัวยังมีอักขระเกือบร้อยตัวราวกับผนึก ข้างหลังมีชายชราเจ็ดคน พวกเขามองคนผู้นี้ด้วยสีหน้าซับซ้อน แล้วก้มหน้าคารวะ
ชายคนนั้นหมุนตัวกลับ สีหน้ามีความมัวหมองและเศร้าโศกบางๆ เขาก้มหน้ามองมือที่ถูกมัด หลังจากเปิดออกเล็กน้อยแล้ว ก็เห็นว่าในนั้นมีเม็ดยาสีแดงอ่อนเม็ดหนึ่ง เขากำมันเอาไว้แน่นแล้วเดินไกลออกไป
ภาพที่ห้า ซูหมิงเห็นว่าฟ้ากระจ่างดาวในภาพนี้ดูแปลกตาอย่างยิ่ง สีของฟ้าไม่ใช่สีดำ แต่เป็นสีแดง!
ฟ้ากระจ่างดาวนั้นเป็นสีแดง ชายวัยกลางคนถือทวนยาวอยู่กลางผืนฟ้าดวงดาว ส่งเสียงหัวเราะแหลม ก่อนจะพุ่งไปยังเด็กหนุ่มไม่มีเส้นผมตรงหน้า
เด็กหนุ่มสวมเสื้อคลุมยาวสีโลหิต ดูอายุยังไม่มาก แต่ในตัวกลับมีความรู้สึกผ่านโลกมาโชกโชนอย่างบอกไม่ถูก เขามองชายวัยกลางคนด้วยความเย็นชา เพียงแค่ยกมือ ขวาขึ้น ชายวัยกลางคนก็พลันกระอักเลือดและกระเด็นถอยไปทันที
“เจ้าก่อเรื่องพอรึยัง” เสียงเด็กหนุ่มเรียบนิ่ง แฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขามสูงส่ง
“ข้ายอมไม่เรียนเต๋าทำลายล้าง ไม่ก้าวสู่ขั้นดับ!” ชายวัยกลางคนตะโกนแล้วพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
ภาพเปลี่ยนไป ภาพที่หกพลันลอยขึ้นมาในความคิดซูหมิง ในภาพเป็นดาวแท้จริงดวงหนึ่ง ท้องฟ้ายังคงเป็นสีแดง บนพื้นดินเป็นชายวัยกลางคนกำลังกอดร่างศพสตรีคนหนึ่ง ขณะน้ำตาไหลก็เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า
ศพสตรีค่อยๆ หายไป จนกระทั่งกลายเป็นเม็ดยาสีแดงอ่อนเม็ดหนึ่ง!
ขณะเดียวกัน ในภาพนี้ เด็กหนุ่มชุดคลุมแดงก็เดินเข้ามาอย่างสงบนิ่ง ก่อนหยิบเม็ดยาส่งให้ชายวัยกลางคน
“กินมันเถอะ กินมัน เจ้าฝึกเต๋าทำลายล้างหยินศักดิ์สิทธิ์ของอาจารย์ได้ รออาจารย์เดินก้าวนั้นก่อน ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ เจ้าจะเป็นเจ้าภัยพิบัติหยินศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไป”
ซูหมิงเห็นถึงตรงนี้ก็ตัวสั่นสะท้านไปทั่วร่าง มือที่กำทวนยาวไม่คลายออก แต่กลับกำไว้แน่นแล้วยกขึ้นช้าๆ ค่อยๆ ดึงมาจากในมือโครงกระดูก
ต่อมาภาพในความคิดเปลี่ยนไปอีกครั้ง เกิดเป็นภาพที่เจ็ด ในภาพนี้ เด็กหนุ่มชุดคลุมสีโลหิตยืนอยู่ในโลกงดงามแห่งหนึ่ง ตรงหน้าเขาเป็นเด็กอายุแปดเก้าขวบ เด็กคนนี้นั่งคุกเข่าอยู่ใต้เท้าเด็กหนุ่ม กล่าวด้วยเสียงเยาว์วัย….
“อาจารย์”
ซูหมิงพลันลืมตาขึ้นมองโครงกระดูกครึ่งร่าง แล้วค่อยๆ ยกทวนยาวขึ้นมาอยู่ตรงหน้าตน เดิมทีมือโครงกระดูกจับทวนอยู่ แต่เมื่อซูหมิงยกมัน มือโครงกระดูกจึงถูกยกตามขึ้นมาด้วย ภาพนี้หากมองด้วยตาเนื้อ จะเหมือนว่าโครงกระดูกยกมือขึ้นเอง ราวกับกับส่งทวนในมือให้กับซูหมิง
จนกระทั่งมือโครงกระดูกคลายออก เมื่อทวนยาวสีม่วงกับดำสองสีอยู่ในมือซูหมิง อย่างสมบูรณ์แล้ว มันขยับแสงวิบวับและหายไปในมือเขา ทว่านิ้วโป้งมือขวากลับมีแหวนสีม่วงดำเพิ่มมาหนึ่งวง ครั้นเขาสะบัดมือ แหวนวงนี้จึงถูกซ่อนหายไป
ซูหมิงเงียบอยู่พักหนึ่งแล้วถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะประสานมือคารวะ โครงกระดูกลงลึกๆ
เขารู้สาเหตุที่ใจคนผู้นี้มีความคิดจะตายจากปากวิญญาณเพลิงเมื่อครู่แล้ว อีกฝ่ายคือจักรพรรดิแห่งโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ เป็นศิษย์ของเจ้าภัยพิบัติ หยินศักดิ์สิทธิ์ หากทุกอย่างราบรื่น เขาก็คงเป็นเจ้าภัยพิบัติหยินศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไป
ทว่าระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ภรรยาของเขาสิ้นชีพลงเพราะอาจารย์ที่เขาเลื่อมใสมาแต่เยาว์วัย ตัวเขาถูกเนรเทศไปยังแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต ทว่าวิญญาณเขาตายจากไปตั้งแต่หลับตากอดสตรีคนนั้นเมื่อนานมากแล้ว
ซูหมิงมองโครงกระดูกตรงหน้า กระทั่งนามของอีกฝ่ายยังไม่รู้ แต่เขาเข้าใจว่าคนที่ฝึกเต๋าทำลายล้างเพื่อก้าวสู่ขั้นดับ ตัวเขา….จะต้องเป็นยอดฝีมือขั้นเกิด ผู้แข็งแกร่งแบบนี้…ระดับความยอดเยี่ยมของเขาจะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างแน่นอน
ฝึกฝนถึงขั้นเกิดได้ก็แทบจะไม่มีพลังใดทำให้เขาตายได้แล้ว ต่อให้มีก็ไม่มากแน่นอน ดังนั้นตอนนี้เขาจึงยังมีชีวิตอยู่ ถึงจะเหลือเพียงโครงกระดูกครึ่งร่างก็ตาม
ทว่าซูหมิงไม่รู้สึกถึงวิญญาณอีกฝ่ายจากโครงกระดูกรวมถึงทวนยาวในมือ ความทรงจำเมื่อครู่เป็นเพียงเสี้ยวความคิดในทวนเล่มนี้ ตอนนี้เมื่อทวนหายไปในมือเขาแล้ว เสี้ยวความคิดจึงหายตามไปด้วย
เมื่อคารวะเสร็จแล้ว ซูหมิงเงยหน้าขึ้น หมุนตัวกลับเดินไปยังทางออกของที่นี่ วิญญาณเพลิงรอบๆ ยังคงนั่งยองอยู่ ต่างหลับตาลงช้าๆ เหมือนจะหลับใหลอีกครั้ง ซูหมิงเดินไปหลายก้าวแล้วหยุดชะงักครู่หนึ่ง สายตามองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงที่กำลังมองตนด้วยสีหน้าร้อนรน
“จิตแรกนี้เป็นของข้า” ซูหมิงกล่าวเรียบนิ่ง
สิ้นเสียง วิญญาณเพลิงที่จับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงคลายมือออก บรรพบุรุษ หุ่นเชิดเพลิงรีบบินมาอยู่ข้างซูหมิงทันที ซูหมิงยกเท้าขึ้นแล้วขยับวูบไหวกลายเป็นสายรุ้งยาวห้อเหยียดไปยังทางออก ส่วนบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงรีบตามมาติดๆ ตอนนี้เขาหมดซึ่งเจตนาร้ายใดๆ ต่อซูหมิงแล้ว
สองคนรวดเร็วยิ่ง ทะลวงผ่านในเส้นทางลับใต้ดิน ไม่นานซูหมิงก็พุ่งออกมาจากรอยแยกพื้นดินบนพื้นของมิตินี้
บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงอยู่ข้างหลัง ตอนที่พุ่งออกมา เขายังมองรอยแยกบนพื้นด้วยความหวาดผวา ก่อนมองซูหมิงอีกครั้งแล้วประสานมือคารวะ
“ขอบคุณสหายมาก”
ซูหมิงหมุนตัวกลับมามองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงแวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบใดๆ เพียงเงยหน้ามองฟ้า ภายใต้การตรวจสอบด้วยจิตสัมผัส เขาไม่พบร่างกายสมบัติล้ำค่าในฟ้าดินแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหนีรอดจากวิญญาณเพลิงไปยังมิติอื่นแล้ว
ทว่ามีกระเรียนขนร่วง มีสวี่ฮุ้ยและบรรพบุรุษหลงไห่ การเชื่อมต่อระหว่างพวกเขากับซูหมิง ทำให้เพียงเขาเข้าไปในมิติที่พวกเขาอยู่ก็จะสังเกตเห็นทันที
บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงลังเลอยู่ชั่วครู่ เขาไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องกายเนื้อเด็กหนุ่ม ชุดคลุมขาวที่สองฝ่ายตกลงกันเอาไว้ ตอนนี้เขาอ่อนแออย่างยิ่ง เกรงว่าหากเอ่ย คำร้องออกไปจะทำให้ซูหมิงไม่พอใจ
“ไปเถอะ” ซูหมิงเอ่ยเรียบๆ จิตสัมผัสหาทางออกเจอแล้ว ตัวเขาขยับวูบไหวพุ่งไปยังทางออก ส่วนบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงก็รีบตามอยู่ข้างหลัง ผ่านไปพักหนึ่งสองคนหน้าหลังก็มาถึงทางออกบิดเบี้ยว เดินเข้าไปและหายไปจากโลกนี้
สิ่งที่สองคนนี้ไม่รู้คือ ตอนที่ซูหมิงเอาทวนยาวสีม่วงกับดำมาจากมือโครงกระดูก ในอีกมิติหนึ่ง จูโหย่วไฉผู้มีร่างกายอ้วนใหญ่และมีรูปลักษณ์ดุร้ายตัวสั่นสะท้าน เขาหันไปมองทอดไกล สีหน้ามีแต่ความซับซ้อน