Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1022

ตอนที่ 1022 สามภูผาสะท้อนจันทรา

“ตี้เทียน!” ในเตาหลอมลำดับห้า ในมิติที่กำลังถล่มทลายลง สามร่างแยกของ ซูหมิงคำรามเสียงดังก้องไปรอบๆ พร้อมกัน

ชั่ววินาทีเมื่อครู่นี้ซูหมิงมีความรู้สึกเด่นชัดว่าตนกำลังเรียกร่างจริงอยู่ อีกทั้งยังเหมือนว่าไปอยู่ในร่างจริง สามารถให้ร่างจริงข้ามผ่านมวลอากาศมาได้

แต่กลับถูกขวางหลายครั้ง ขณะขวาง ซูหมิงก็ใช้พลังบ้าคลั่งของที่นี่ฝืนพาร่างจริงมา แต่ช่วงสุดท้ายกลับถูกขวางอีกครั้ง

แต่ว่าการขวางครั้งนี้กลับทำให้เขารวมขั้นพลังทั้งหมด ใช้พลังของดวงจันทร์ภัยพิบัติ ใช้สามภูเขาสะท้อนดวงจันทร์บีบทำลายปราการทุกอย่างและลืมตาขึ้น!

คนที่ลืมตาคือร่างจริงของเขา!

แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาที แต่เขากลับได้เห็นคนชุดคลุมดำ เห็นใบหน้าใต้ชุดคลุมดำ นั่นคือ….ตี้เทียน!

“ร่างจริงของข้า สักวันหนึ่งข้าจะกลับไปเอาคืน!” ซูหมิงเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ถึงรอบตัวจะไม่มีวิญญาณชั่วร้าย แต่การถล่มของมิติก็มาถึงขีดสุดแล้วในยามนี้

ในวินาทีนี้การพังลงจากมิติสร้างเสียงโครมครามดังสนั่นแก้วหู ท่ามกลางเสียงครึกโครม ทั้งมิติระเบิดออกอย่างสมบูรณ์เหมือนกับการระเบิดของโลกหนึ่ง

เมื่อเกิดการระเบิด ภายใต้การถาโถมของพลังบ้าคลั่งทั้งหมด พวกมันหลั่งทะลักเข้าไปหาซูหมิงพร้อมกัน ประหนึ่งว่าเขาเป็นหลุมดำเพียงหนึ่งเดียวกลางมิติที่ระเบิดตัวเองแห่งนี้

สามร่างแยกหรี่ตาลงพร้อมกัน ช่วงที่พลังบ้าคลั่งทะลักเข้ามา สามร่างแยกของเขาประสานมุทราพร้อมกัน เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น ดวงจันทร์ภัยพิบัติของสามร่างแยกเปล่งแสงสว่างเด่นชัด

แสงสว่างรวมขึ้นจากสีเทา แดงและเหลือง ระหว่างที่แสงสว่างซ้อนทับกัน ซูหมิงตะโกนเสียงต่ำมาประโยคหนึ่ง

“สามภูผาสะท้อนดวงจันทร์!”

แทบเป็นทันทีที่เขาตะโกน ดวงจันทร์ภัยพิบัติของสามร่างแยกพลันขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตรงกลางสามร่างแยกเกิดการซ้อนทับกันและกัน

ดวงจันทร์ภัยพิบัติสามดวงกลายเป็นหนึ่งดวง ด้วยความใหญ่ของดวงจันทร์ภัยพิบัติ ตอนที่มันปรากฏขึ้นจึงถูกพลังบ้าคลั่งจากมิติพังลงรอบๆ ถาโถมเข้าใส่ แต่วินาทีที่ปะทะกัน ดวงจันทร์ภัยพิบัติพลันสูบกินพลังนั้นเข้าไป

เสียงครึกโครมดังกังวาน มีผลให้ดวงจันทร์ภัยพิบัติดวงนี้ของซูหมิงขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้งจนกระทั่งมีขนาดหลายสิบจั้ง ดวงจันทร์ภัยพิบัติเช่นนี้ไม่เคยมีผู้ฝึกฌานคนใดเห็นมาก่อน กระทั่งยังเป็นดวงจันทร์ภัยพิบัติมหึมาที่ไม่เคยมีมาก่อนในฟ้าดินแห่งนี้

เพราะว่าดวงจันทร์ภัยพิบัติดวงนี้รวมขึ้นจากขั้นพลังทั่วร่างของยอดฝีมือหลายสิบคน รวมขึ้นจากต้นกำเนิดที่สั่งสมมาแต่โบราณของมิตินี้ และรวมจากความตายสู่ความเป็น จากฤดูหนาวสู่ฤดูใบไม้ผลิกลางชีวิตซูหมิง

เสียงอึกทึกดังกังวาน มิติพังลง โชควาสนาครั้งนี้ซูหมิงไม่ได้สิ้นเปลืองแม้แต่น้อย เขาสูบรับมาทั้งหมด รวมออกมาเป็น…ดวงจันทร์ภัยพิบัติที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนแต่โบราณ เกรงว่าภายภาคหน้าก็คงจะไม่มีแล้ว!

ต่อให้เป็นดวงตะวันภัยพิบัติ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าดวงจันทร์ภัยพิบัติดวงนี้ก็อ่อนแออย่างหาที่เปรียบมิได้ นี่คือ…..ดวงจันทร์ภัยพิบัติที่มีอำนาจคุกคามถึงยอดฝีมือขั้น กุมชะตาเกิดดับสูญ!

วินาทีที่ดวงจันทร์ภัยพิบัติรวมออกมา สามร่างแยกของซูหมิงพลันหลอมรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นคนหนึ่ง ดวงจันทร์ภัยพิบัติอยู่ข้างหลัง ทำให้ทั่วร่างซูหมิงเต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายเหลือล้น!

ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครมีดวงจันทร์ภัยพิบัติใหญ่แบบนี้ แสงสามสีขยับวูบวาบกลางดวงจันทร์ ซ้อนทับบนตัวเขาไม่หยุดหย่อน ตอนที่แสงสีเทาสว่างบนตัวเขา เขาจะเป็นร่างแห่งยมโลกใต้จักรวาล หมายถึงความตาย หมายถึงการสูญสิ้น!

ตอนที่แสงสีแดงสว่างบนตัวเขา จะไม่ใช่แค่ร่างกายที่ถูกย้อมเป็นสีแดง แต่ยังมีจิตใจและวิญญาณ เขาในยามนี้คือเซียนหยิ่งทะนงที่ควบคุมการสังหาร สีแดงนั้นก็คือความกระหายต่อโลหิต และเป็นความยึดมั่นที่เขาอยากจะย้อมฟ้ากว้างใหญ่ให้กลายเป็นสีแดง!

เมื่อแสงสีเหลืองสว่างบนตัวเขา สิ่งที่เขาหมายถึงมิใช่ความตายหรือสีแดงใบไม้ร่วง ไม่ใช่การทำลายล้างหรือสังหารอีก แต่เป็นการคงอยู่นิจนิรันดร์กลางฤดูร้อนระอุที่มีพลังชีวิตถึงขีดสุด เป็นความสงสารและบำรุงต่อทุกสรรพสิ่งในฟ้าดิน เพียงติดตามเขาก็จะได้รับชีวิตไม่มีที่สิ้นสุด

นิสัยต่างกันสามชนิด กลิ่นอายพลังต่างกัน มอบความรู้สึกให้ต่างกัน เมื่อหลอมรวมด้วยกันแล้วจึงทำให้ซูหมิง…..มีกลิ่นอายชั่วร้ายเหลือล้น!

ในโลกนี้ คงต้องใช้คำว่าชั่วร้ายกระทั่งไม่อาจบรรยายความแปลกประหลาดของเขาแล้ว แต่สิ่งที่ยืนยันได้คือซูหมิงในตอนนี้ ไม่เคยมีใครเป็นอย่างเขามาก่อนใน มหาโลกสามรกร้างแห่งนี้

ช่วงที่ลืมตาขึ้น โลกพังพินาศลงกลางสายตา และยังมีร่างสมบัติล้ำค่า เมื่อมิติพังลงกลายเป็นความว่างเปล่าแล้ว มันก็ถูกม้วนกระเด็นถอยไปกลางกระแสวุ่นวาย

ซูหมิงหันหน้าไปมอง เขาในตอนนี้แผ่กลิ่นอายมรณะออกมาทั่วร่าง สวมเสื้อคลุมยาว สีเทา เส้นผมยาวสีเทา ดวงตาสีเทารวมถึงร่างเย็นชาไร้อารมณ์ดุจดั่งคนตาย

เขาเดินหน้าหนึ่งก้าว ภายใต้แรงปะทะจากโลกพังทลายลง เหมือนว่าจะไม่มีพลังใดกล้ามาขวางเขา เขาเหยียบเท้าลงหนึ่งก้าวก็มาปรากฏอยู่ข้างร่างกายสมบัติล้ำค่า ก่อนยกมือขวาขึ้นคว้าแขนร่างสมบัติล้ำค่าเอาไว้

สวี่ฮุ่ยใจสั่นไหว นางในตอนนี้พอเห็นแววตาซูหมิงกับดวงตาสีเทาแล้วก็ลมหายใจแข็งข้าง ความรู้สึกแปลกตาเด่นชัดทำให้นางแทบจะมองคนตรงหน้าไม่ออกว่านี่คือซูหมิง

ซูหมิงสีเทาคว้ามือร่างสมบัติล้ำค่าพลางเงยหน้าขึ้น ก่อนพุ่งไปยังมวลอากาศหลังมิติพังทลายลงด้วยแววตาเย็นชา

เกิดเสียงอึกทึก ระหว่างที่เสียงฉีกมวลอากาศดังสนั่นฟ้า ซูหมิงพาสวี่ฮุ่ยพุ่งเข้าไปในมวลอากาศ ก่อนเกิดแสงวิบวับพร้อมกับร่างเขาหายไปกลางโลกพังทลาย

วินาทีที่หายไป ซูหมิงยังหันไปมองเศษนับไม่ถ้วนหลังโลกด้านล่างพังลงแวบหนึ่ง ดวงตาไร้อารมณ์มองบนเศษหนึ่งในนั้นแวบหนึ่ง

เป็นยามนี้เอง ชายชรามู่หยากลางฟ้ากระจ่างดาวนอกเตาหลอมลำดับห้ามีสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง เขาสัมผัสได้ถึงทุกอย่างของซูหมิงในมิตินั้น นั่นเป็นเพราะก่อนเขาจะไปได้ฝากตระประทับเอาไว้

สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือซูหมิงสังเกตเห็นตราประทับของตน และสิ่งที่เขาเหนือความคาดหมายไปอีกคือซูหมิงในตอนนี้ ระดับความแปลกประหลาดทั่วร่างเขาทำให้แม้แต่มู่หยายังใจสั่นสะท้าน

“เดินจากความตายสู่ความเป็น เดินจากฤดูหนาวไปสู่ใบไม้ผลิ ซูหมิง….ยอดเยี่ยม!” ผ่านไปพักใหญ่ ชายชรามู่หยาจึงกล่าวพึมพำกับตัวเอง

“สามภูผาสะท้อนจันทรา…..สามร่างแยกแบ่งเป็นสัญลักษณ์ภูผา สะท้อนออกมาเป็นดวงจันทร์พร้อมกัน ดวงจันทร์นี้…..ไม่เคยมีมาก่อน ความแกร่งของมันมากพอจะทำให้ยอดฝีมือขั้นกุมทั่วไปหวาดกลัว!

เดิมทีเขาอาศัยโชควาสนานี้บรรลุถึงภัยพิบัติตะวันได้ กระทั่งก้าวสู่ขั้นกุม…..ทว่าเขากลับไม่ทำ ยิ่งเขาทำแบบนี้มันก็ยิ่งบ่งบอกว่ามีเป้าหมายใหญ่ยิ่ง!

จะมองออกได้ว่าเป้าหมายของเขาคือร่างจริง เพราะหากเขาทำไม่สำเร็จ เช่นนั้นต่อให้บรรลุถึงขั้นกุมก็ห่างไกลที่จะมี…..โชควาสนาอย่างตอนนี้!

หากวันหนึ่งเขามีร่างจริงที่หลอมรวมกัน เขาก็จะทำสำเร็จ จะบรรลุถึงขั้นเกิดที่เดินจากความตายสู่ความเป็นที่เขาตระหนักรู้!

นี่ก็คือเป้าหมายของเจ้า เจ้าจะสร้างอภินิหารวิชาที่ก้าวสู่ขั้นเกิดหนึ่งในสี่ขั้นพลังใหญ่กุมชะตาเกิดดับสูญได้โดยตรง!

อภินิหารนี้มากพอจะสูสีกับวิชาเคลื่อนย้ายภูผากับกระบี่เก้าชั้นฟ้า!

ซูหมิง ยอดเยี่ยม!” ชายชรามู่หยาเพ่งมองผืนฟ้าข้างหลัง ขณะพึมพำอยู่นี้ ต่อให้เป็นเขานัยน์ตายังฉายแววเคารพ

“ในอนาคตอีกไม่ไกล มหาโลกสามรกร้างจะมียอดฝีมือขั้นเกิดเพิ่มมาอีกคน จะปรากฏตัว….ในอีกเร็วๆ นี้!” ชายชรามู่หยาถอนหายใจด้วยความปลงอนิจจัง ก่อนหันหน้ากลับแล้วเดินไกลออกไป

“ซูเซวียนอี…..มีบุตรเช่นนี้ ต่อให้ตอนนี้เจ้าต้องแบกรับความเจ็บปวดอย่างสาหัส แต่ก็มากพอจะชื่นชม”

ร่างเงาชายชรามู่หยาเดินไกลออกไปทีละน้อย ก่อนหายไปในฟ้ากระจ่างดาว

กลางเตาหลอมลำดับห้า ซูหมิงพาสวี่ฮุ่ยเข้าไปในมวลอากาศ ขณะอยู่กลางมวลอากาศ เขาเหมือนผ่านกาลเวลาไปไม่รู้กี่ปี ระหว่างนั้นเขาเห็นจื่อหลงเจินเหริน อีกฝ่ายอยู่ในมิติแห่งหนึ่งในมวลอากาศ กำลังสู้กับสัตว์ร้ายจำนวนหนึ่ง

เห็นพวกเสวียนซางสามคนแยกย้ายกัน เห็นอวิ๋นโหยวร้องโหยหวนเสียงแหลม ร่างถูกวิญญาณเพลิงแผดเผา แล้วถูกกินจิตแรกไป

และก็เห็นหวาอวี้ผู้เชี่ยวชาญการผนึกวิญญาณกำลังเดินหน้าอยู่กลางบึงน้ำอย่างระมัดระวัง เขาไม่สังเกตเห็นเลยว่าในบึงน้ำข้างหลังมีดวงตาสีเขียวสิบกว่าคู่กำลังจ้องแผ่นหลังเขาอย่างเย็นชา

ซูหมิงยังเห็นบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง ในมือถือขวานสงครามกำลังเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ดูรู้สึกชอบขวานสงครามจนวางไม่ลง

ในเวลาเดียวกันยังมีบรรพบุรุษหลงไห่ ตอนนี้กำลังตามหลังเสวียนซางอย่างเงียบเชียบ มุมปากยิ้มเยาะ เขาตามมานานมากแล้วโดยที่เสวียนซางไม่รู้ตัว

และยังมี…จูโหย่วไฉ

ซูหมิงเห็นว่าจูโหย่วไฉอยู่ในมิติหนึ่ง นั่งอยู่บนยอดเขา น้ำตาไหลต่อดวงจันทร์ ในมือถือเม็ดยาเม็ดหนึ่ง น้ำตารินไหลหยดลงพื้น ตอนที่น้ำตาแตกออกก็มีเสียงจูโหย่วไฉพึมพำดังขึ้น

“ข้าจะต้องหาหินลำดับห้าให้เจอ ต้องไปโลกแท้จริงที่ห้า ไปตามหาเผ่ายมโลก ไม่ว่าข้าต้องแลกกับอะไร…..ข้าจะฟื้นคืนชีพเจ้าให้ได้!”

ซูหมิงเห็นทุกอย่างขณะข้ามผ่านไป คนอื่นเขายังเมินเฉยได้ แต่จูโหย่วไฉ เขาจำทวนสิ้นสูญได้ จำได้ว่าอีกฝ่ายเคยช่วยตนเอาไว้บนยอดเขา นี่คือบุญคุณ

บุญคุณนี้ต้องตอบแทน

เขาจำคำพูดจูโหย่วไฉเอาไว้ เส้นผมก็ไม่ใช่สีเทาอีก แต่กลายเป็นสีเหลือง ดวงตายังกลายเป็นสีเหลืองทอง กลิ่นอายพลังทั่วร่างเป็นพลังชีวิตมหาศาลจนไม่อาจบรรยาย และยังมีความอบอุ่นที่คนต้องอยากใกล้ชิดโดยควบคุมไม่ได้

เขาในรูปลักษณ์แบบนี้ ต่อให้ไม่ยิ้ม แต่ในสายตาคนอื่นเขากำลังยิ้ม ความอบอุ่นจากรอยยิ้มมีเสน่ห์ที่คนต้องยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อติดตามเขา เป็น….แสงสว่าง แห่งเทพอันน่าหลงใหลและน่าคารวะ

จนกระทั่งผ่านไปไม่รู้นานเท่าไร ตอนที่ซูหมิงเดินออกมาจากในมวลอากาศ ตรงหน้าเขาเป็นหมอกขมุกขมัว เห็นในหมอกว่ามีชายขอบที่รวมขึ้นจากแท่น เหยียบวิญญาณหลายแท่น

ที่นี่คือส่วนลึกสุดของเตาหลอมลำดับห้า เป็นชายขอบชั้นหนึ่ง หากข้ามที่นี่ไปก็จะเข้าสู่ใจกลางเตาหลอมลำดับห้าอย่างแท้จริง

ที่นั่นมี…หินลำดับห้า!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version