Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1054

ตอนที่ 1054 แขวนไว้ตรงหัวเรือ

“สี่ห้องโถงใหญ่แห่งสำนักดาราสัจธรรม นอกจากห้องโถงตำหนักแล้ว อีกสามห้องโถงแบ่งเป็นของสมาคมผู้อาวุโสสำนักสำนักที่ตื่นขึ้นทุกร้อยปี ต้องฟังคำสั่ง พวกเขาและปฏิบัติตามคำขอทุกอย่าง

ในนั้นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือห้องโถงผู้อาวุโส ในห้องโถงมีผู้อาวุโสควบคุมวิหารอยู่เก้าสิบเก้าคน ผู้อาวุโสสูงสุดเจ็ดร้อยคน ผู้อาวุโสใหญ่สามพันคน และผู้อาวุโสธรรมดาสามหมื่นคน

ผู้อาวุโสธรรมดาในนั้นรับศิษย์ได้ตามใจชอบ ศิษย์พวกเขาคือสมาชิกรอบนอกของ ห้องโถงผู้อาวุโส จำนวน….ยากจะนับไหว” สวี่ฮุ่ยเล่าโครงสร้างสำนักดาราสัจธรรม ต่อส่วน ซูหมิงมองผู้ฝึกฌานที่คารวะนอกดาวไกลๆ อยู่หลายหมื่นคนพลางนึกไปถึงอาจารย์เทียนเสียจื่อ

ตอนนั้นเทียนเสียจื่อเคยบอกว่ามีผู้อาวุโสแห่งสำนักดาราสัจธรรมคนหนึ่งรับเป็นศิษย์ ตอนนี้พอเทียบกับคำพูดสวี่ฮุ่ยแล้ว มันทำให้เขาเข้าใจห้องโถงผู้อาวุโสของสำนัก ฝ่ายนอกมากยิ่งขึ้น

“คำสั่งของห้องโถงผู้อาวุโสเป็นเหมือนกับใยแมงมุม ควบคุมทุกเผ่าพันธุ์และ ขุมอำนาจทั้งโลกแท้จริงดาราสัจธรรม พอเวลาผ่านไป พวกเขาจะห่อโลกแท้จริงดาราสัจธรรมให้กลายเป็นตาข่ายใหญ่

การก่อกบฏของพันธมิตรเซียนแห่งโลกแท้จริงดาราสัจธรรมครั้งนี้เหนือความคาดหมายของสำนักดาราสัจธรรม และมันก็เกี่ยวกับห้องโถงผู้อาวุโสด้วย

และยังมีห้องโถงสงคราม มันเป็นขุมอำนาจที่ทำให้ทุกกลุ่มของสำนักดาราสัจธรรมตัวสั่น พวกเขาเป็นดั่งดาบเล่มหนึ่ง เมื่อแทงไปที่ใดมันจะมีโลหิตไหลเป็นสายน้ำ…

ห้องโถงสงครามมีนักรบอยู่หนึ่งล้านคน ผู้ฝึกฌานล้านคนนี้ยึดมั่นแต่การทำลายล้าง พวกเขาเป็นพลังที่คมกริบที่สุดต่อการก่อกบฏของพันธมิตรเซียนครั้งนี้

จากนั้นก็เป็นห้องโถงรักษาการณ์โลก พวกเขาจะไม่เข้าร่วมสงครามภายในโลกแท้จริงง่ายๆ พวกเขาจะรักษาการณ์อยู่แต่ละมุมของโลกแท้จริงดาราสัจธรรม คอยขวางไม่ให้โลกอื่นรุกราน นี่ถือเป็นห้องโถงที่แกร่งที่สุดในด้านการป้องกันจากภายนอก

มีแค่ตอนที่สำนักดาราสัจธรรมใกล้จะเป็นอันตรายเท่านั้นพวกเขาถึงจะเคลื่อนไหว เพราะหากพวกเขาเคลื่อนไหว ก็จะมีโอกาสสูงมากที่โลกแท้จริงดารา สัจธรรมจะถูกโลกอื่นรุกราน

เหมือนเก้าสิบเก้าคนที่เจ้าเห็นก่อนหน้านี้ พวกเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องโถงรักษาการณ์โลก เพียงแต่ว่าถูกแบ่งออกมาเฝ้าทางเข้าแดนต้นกำเนิดจิตก็เท่านั้น

สุดท้ายก็คือห้องโถงสิบตำหนักใหญ่ เพราะห้องโถงนี้ตั้งขึ้นมาแบบลอยๆ มานาน ดังนั้นข้าเลยไม่รู้ว่าหลังสำนักดาราสัจธรรมเปิดห้องโถงตำหนักครั้งนี้แล้วจะมีคำสั่งอะไร” ขณะสวี่ฮุ่ยกำลังอธิบาย ซูหมิงก็เห็นว่าเข้าไปใกล้ดาวมากขึ้นเรื่อยๆ สายตามองผู้ฝึกฌานหลายหมื่นคนคารวะ เขารู้สึกได้ถึงความแกร่งและยิ่งใหญ่ของสำนักดาราสัจธรรมในโลกดาราสัจธรรมอย่างชัดเจน

จากตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ใช่กลุ่มเล็ก การที่มีคนหลายหมื่นคนบินออกจากดาวได้ เช่นนั้นในดาวจะต้องมีคนมากกว่านี้อย่างแน่นอน ถึงแม้จะไม่มีขั้นพลังบินออกจากดาว แต่จะต้องมีกำลังรบอยู่

โดยเฉพาะในหลายหมื่นคนนี้ ซูหมิงเห็นระดับเจ้าปกครองโลกไม่น้อย และยังมีหลายสิบคนตรงหน้าสุด พวกเขาล้วนเป็นเจ้าปกครองโลกตอนปลาย กระทั่งในนั้นมีภัยพิบัติจันทราสามคน ภัยพิบัติตะวันหนึ่งคน

ขุมอำนาจแบบนี้ห่างไกลจากเผ่าหมานในความทรงจำซูหมิงมาก แต่ตอนนี้…เผ่าพันธุ์ที่แกร่งเช่นนี้เห็นเรือรบของสำนักดาราสัจธรรมแล้วก็เคลื่อนไหวออกมาทั้งหมดและคารวะพร้อมกัน แสดงมรรยาทสูงสุดเป็นการเคารพต่อสำนักดาราสัจธรรม

ซูหมิงเงียบ เขารู้ว่าสำนักดาราสัจธรรมแกร่งมาก ถึงอย่างไรก็มีผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกแท้จริงอยู่คนหนึ่ง เป็นระดับผู้ปกครองของหนึ่งโลก ทว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความรู้สึกเล็กน้อยของเขาเท่านั้น ต่อให้มีความทรงจำเต้าคงก็ไม่ได้สัมผัสโดยตรง ทว่าตอนนี้……เมื่อเขาเห็นหนึ่งกลุ่มคารวะ เขาก็รู้สึกเด่นชัดถึงความยิ่งใหญ่และ น่าเกรงขามจากสำนักดาราสัจธรรม

เป็นที่รู้ว่ากลุ่มแบบนี้มีมากมายในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม กระทั่งมีกลุ่มที่แกร่งกว่าพวกเขาอีกไม่น้อย แต่ก่อนที่พันธมิตรเซียนจะก่อกบฏ ทุกกลุ่มล้วนปฏิบัติตามสำนักดาราสัจธรรมโดยมีเต้าเฉินเป็นผู้นำ

ขณะซูหมิงอยู่ในความเงียบ ในใจก็เกิดความรู้สึกปลงอนิจจัง เขาไม่ได้สังเกตเห็นกระเรียนขนร่วงข้างหลังเลยว่าตอนนี้มันดวงตาเปล่งประกาย ภายในสว่างวาววับ ราวกับมีหินผลึกเหลือคณานับกำลังขยับแสง มันตื่นเต้นจนตัวสั่น ใบหน้าดูตื่นเต้นถึงขีดสุด ช่วงที่เรือรบหลายร้อยลำเข้าไปใกล้หลายหมื่นคน มันพลันพุ่งทะยานออกไป

“หินผลึก ส่งหินผนึกทั้งหมดของพวกเจ้ามา ท่านกระเรียนต้องการหินผลึก! ให้ข้าหนึ่งหมื่น ไม่ ห้าหมื่น ย่ากระเรียนมันเถอะ ให้ข้าหนึ่งแสน!” กระเรียนขนร่วงข่มใจเอาไว้อยู่พักใหญ่ ก่อนตะโกนบอกจำนวนที่มันคิดว่ามากในความคิดมันออกไป

สิ้นเสียง ผู้ฝึกฌานสามหมื่นคนต่างอึ้งไปครู่หนึ่ง สิบกว่าคนตรงหน้าสุดก็อึ้งไปเช่นกัน แม้แต่ผู้ฝึกฌานบนเรือรบข้างซูหมิงยังมีสีหน้าประหลาดใจ

สวี่ฮุ่ยถอนหายใจ ส่ายศีรษะไม่ได้พูดอะไร ส่วนซูหมิงขมวดคิ้วมองท่าทางตื่นเต้นของกระเรียนขนร่วง แต่ก็ไม่ได้ขัดอารมณ์ตื่นเต้นของมัน

ทั้งฟ้าเงียบลงทันที มีเพียงเสียงกระเรียนขนร่วงที่ยังดังก้อง ผ่านไปหลายลมหายใจ ชายชราขั้นภัยพิบัติตะวันหนึ่งในสิบกว่าคนตรงหน้าผู้ฝึกฌานหลายหมื่นก็ยกมือขวาตบถุงเก็บวัตถุด้วยสีหน้าประหลาดใจ ก่อนหยิบถุงสีเขียวมรกตมาถุงหนึ่งแล้วส่งไปข้างหน้า ถุงก็พุ่งตรงไปหากระเรียนขนร่วง

“ในนี้มีหินผลึกหนึ่งล้านก้อน ขอให้ท่านรับเอาไว้”

กระเรียนขนร่วงเบิกตากว้าง มันคว้าถุงได้ก็รีบเปิดออก หลังนับอย่างละเอียดอยู่หลายครั้งด้วยสีหน้าจริงจังแล้วมันก็มีท่าทางยิ้มแย้มดีใจ ก่อนรีบกลับมาอยู่ข้างกาย ซูหมิง กอดถุงเอาไว้ด้วยดวงตาเป็นประกายชัด

“ร่ำรวยแล้ว ร่ำรวยแล้ว ย่ากระเรียนมันเถอะ ตลอดทางครั้งนี้ ท่านกระเรียนร่ำรวยแล้ว”

กลุ่มซูหมิงค่อยๆ จากไปท่ามกลางความเคารพของผู้ฝึกฌานหลายหมื่นคนและความประหลาดใจภายใน โดยรอบเงียบสงบ ไม่มีใครพูดใดๆ แต่จะมีคนเอียงหน้ามองกระเรียนขนร่วงอยู่ตลอด

เดิมทีบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงอยู่ข้างกระเรียนขนร่วง ยามนี้ถอยหลังไปหลายก้าวโดยจิตใต้สำนึก ในใจรู้สึกปลงอนิจจัง แอบคิดว่าหากเป็นตนจะขอสักพันล้าน แต่ เจ้าขนร่วงตะโกนอยู่นานกลับขอเพียงหนึ่งแสน ผลสุดท้ายอีกฝ่ายก็ให้เพิ่มมาไม่น้อย ช่างน่าขายหน้านัก…

ซูหมิงหลับตานั่งฌาน ส่วนกระเรียนขนร่วงข้างหลังยังคงนับหินผลึกและเหมือนไม่สนใจอะไร จนกระทั่งเรือรบเดินทางไปอีกหลายวัน ทันใดนั้นกระเรียนขนร่วงก็ร้องเสียงแหลม เสียงมันดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกฌานรอบๆ ทันที ตอนที่พวกเขามองไป ก็เห็นกระเรียนขนร่วงตัวสั่น ขบฟันตะโกนเสียงเล็ก

“สมควรตาย สมควรตาย เขาหลอกข้า นี่ไม่ใช่หินผลึกหนึ่งล้านก้อน มันขาดไปสามก้อน ยังขาดอีกสามก้อนถึงจะครบหนึ่งล้าน ข้าจะตายแล้ว ท่านกระเรียนจะตายแล้ว เหตุใดข้าถึงได้นับพลาด ยังขาดอีกสามก้อนเชียว หินผลึกของข้า…”

กระเรียนขนร่วงร้องโหยหวน ร่างกายสั่นไหว ราวกับเสียบางสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตไป

“หินผลึกอันน่ารักของข้า หินผลึกอันงดงามของข้า หินผลึกที่สำคัญกว่าชีวิตข้า สมควรตาย ข้าจะตายแล้ว ข้าจะตายแล้วจริงๆ”

พอทุกคนได้ยินคำพูดกระเรียนขนร่วงก็เงียบไปอีกครั้ง ในสายตาทุกคนที่มองกระเรียนขนร่วงไม่ใช่ประหลาดใจอีก แต่กลายเป็นเคารพ

พวกเขาเคารพอย่างหนึ่งคือความยึดมั่นต่อหินผลึกที่มาแทนทุกอย่าง

โดยเฉพาะเสียงร้องกับคำพูดไม่หยุดของมันดังมาตลอดสิบวัน พูดโน้มน้าวให้ซูหมิง กลับไปดาวกลุ่มนั้นไม่หยุดเพื่อไปเอาหินผลึกที่ขาดไปสามก้อน ความยึดมั่นนี้ทำให้ ทุกคนรู้สึกละอายใจที่ไม่อาจเปรียบสู้ได้

นอกจากนี้แล้วสายตาของทุกคนที่มองซูหมิงมีความยำเกรงอีกชนิดหนึ่ง หากเป็นพวกเขาคงจะถูกกระเรียนขนร่วงทรมานจนเสียสติไปแล้ว ทว่าซูหมิงกลับมีสีหน้าปกติ และยังตอบกลับหลายประโยค…

สุดท้ายแม้แต่บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงยังทนไม่ไหว ใช้มือขวาล้วงอกเสื้อหยิบ หินผลึกส่งให้กระเรียนขนร่วงสามก้อน

“นี่มันของเจ้า ไม่ใช่ของข้า ต่อให้เจ้าให้ข้าสามก้อนแล้ว ข้าก็ยังขาดอีกสามก้อน!” กระเรียนขนร่วงคว้าหินผลึกเอาไว้ ทว่าเสียงแหลมก็ยังคงดังกึกก้อง

ซูหมิงชินแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กระเรียนขนร่วงแสดงความยึดมั่นต่อหินผลึกถึงขีดสุดแบบนี้

เวลาผ่านไปช้าๆ ไม่นานก็เกือบครึ่งเดือน เรือรบหลายร้อยลำห้อเหยียดผ่านฟ้า ผ่านกลุ่มดาวไปทีละกลุ่ม การรีดไถของกระเรียนขนร่วงก็หนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น มันก็ยังยึดมั่นในหินผลึกสามก้อนที่นับพลาด

จนกระทั้งห่างจากสำนักดาราสัจธรรมอีกเจ็ดวัน ทันใดนั้นจูโหย่วไฉข้างหลังซูหมิงลืมตาจากสมาธิ ภายในมีประกายวาว จากนั้นก็เป็นกระเรียนขนร่วง มันที่พูดไม่หยุดเงียบลงโดยพลัน ส่วนบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงตาแวววาว และยังมีเก้าผู้เฒ่ายมโลก พวกเขาต่างลืมตาเล็กน้อยเผยเป็นเส้นบาง

เรือรบหลายร้อยลำยังส่องแสงสว่างจ้าในพริบตา ผู้ฝึกฌานเกือบหมื่นคนบนเรือต่างมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา

สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ดาวดวงหนึ่งตรงหน้า

จะให้กล่าวจริงๆ นั่นไม่ใช่ดาว แต่เป็นไข่ยักษ์ใบหนึ่ง!

ภายนอกเต็มไปด้วยความรู้สึกเหมือนโคลน คล้ายว่าเป็นหินหนืดยักษ์ก้อนหนึ่ง ดังนั้นมองไปมันจึงดูเหมือนดาว แต่ความจริงมันเป็นไข่

แรงกดดันที่แผ่มาแกร่งจนจูโหย่วไฉลืมตาขึ้น จากตรงนี้จะเห็นได้ถึงความแกร่งของสิ่งมีชีวิตในไข่ รอบไข่ยักษ์มีผู้ฝึกฌานอยู่หลายสิบคน ทุกคนต่างยืนเอาสองมือกอดอก สายตามองพวกซูหมิงเข้ามาด้วยรอยยิ้มเยาะ

บนไข่ยักษ์มีชายหนุ่มนั่งอยู่คนหนึ่ง เขาเปลือยกายท่อนบน มือถือกระดูกสัตว์หนึ่งอันกัดอยู่ในปากส่งเสียงดังแกรกๆ เส้นผมยุ่งเหยิง ในตัวมีกลิ่นอายพลังดึกดำบรรพ์แผ่มา ส่วนสายตากำลังหรี่ลงมองเรือรบหลายร้อยลำ

“หรูหราฟุ่มเฟือยมาก เจ้าก็คือเต้าคงคนที่ข้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่ก็เป็น ชนรุ่นหลังของใต้เท้าใช่หรือไม่” ดวงตาชายหนุ่มดุจดั่งดาบ เมื่อกวาดตามองทุกคนบนเรือรบในพริบตาแล้วก็มองซูหมิง

ขณะพูดอยู่เขาก็กัดกระดูกสัตว์ในมือจนหักแล้วกินเข้าไปทั้งหมด จากนั้นใช้ มือขวาหยิบเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดาราข้างๆ ขึ้นมาเพื่อเช็ดมือ แล้วตามด้วยเช็ดมุมปาก ดวงตาจ้องเขม็ง ความน่าเกรงขามเผยมาจากในตัวทั้งหมดอย่างเป็นธรรมชาติ

“เห็นปู่ของพวกเจ้าแล้วยังไม่คุกเข่าคารวะอีก ตอนนั้นที่บิดาเจ้ายังเป็นเด็กน้อย พอเจอข้าแล้วยังไม่กล้าไม่คุกเข่า เจ้ากลับไปถามมารดาที่ตายไปแล้วของเจ้าเสีย ในคืนฝนตกเมื่อพันปีก่อนยังจำเต้าเฟยเฟิงผู้นี้ได้หรือไม่!

อย่างเจ้าจะมีปัญญาอะไร ไสหัวไป!”

“เต้าเฟยเฟิง เขาคือ…” สวี่ฮุ่ยหรี่ตาลง ขณะกำลังจะแนะนำให้ซูหมิง ซูหมิงเอ่ยเรียบๆ ขึ้นก่อน

“เอาหัวมันแขวนไว้ตรงหัวเรือข้ากลับสำนักดาราสัจธรรม!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version