ตอนที่ 1066 เก้าแดนเลื่องลือ
“จะ….เจ้า….” นัยน์ตาชายหนุ่มชุดคลุมเขียวฉายแววเหลือเชื่อถึงขีดสุด เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจตนจะไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อยและถูกอีกฝ่าย กุมชีวิต
กระทั่งแรงกดดันจากตัวซูหมิงตอนนี้ แม้จะไม่ได้กระจายออก แต่กลับทำให้เขาเกิดความรู้สึกหายใจติดขัดอย่างรุนแรง
และยังมีคำพูดซูหมิงที่แม้จะเรียบนิ่ง แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายแห่งการสังหาร หนาวเยือกจนมีกลิ่นคาวเลือด ทุกอย่างเหล่านี้ทำให้เกิดเสียงโครมดังในความคิดเขา ใบหน้าพลันซีดขาว เขารู้แล้วว่าก่อนหน้านี้ตนน่าหัวร่อเพียงใด เหมือนกับลูกแกะท้ารบกับมังกรใหญ่ และยังคิดว่าขั้นพลังจะแกร่งกว่ามังกรใหญ่อีก
โดยเฉพาะ….อีกฝ่ายที่แต่แรกก็ไม่สนใจตน ทุกอย่างเป็นเพราะเขากินเม็ดยาลับเพื่อกระตุ้นความเร็วจนไล่ตามความตายทัน
“ข้า…..” ชายหนุ่มชุดคลุมเขียวตัวสั่น ขณะกำลังจะพูดนั้น
“น่าเสียดาย หมดเวลาแล้ว” ซูหมิงส่ายศีรษะ เขาคลายมือซ้ายที่กำคอชายหนุ่มออกเล็กน้อย ช่วงที่ชายหนุ่มชุดคลุมเขียวหอบหายใจหนึ่งเฮือก ซูหมิงหมุนตัวกลับประหนึ่งสายฟ้าพร้อมกับใช้สองนิ้วมือขวาปาดคอชายหนุ่ม
กระบี่บินสีเขียวที่ซูหมิงใช้นิ้วหนีบอยู่ลากผ่านคอชายหนุ่มชุดคลุมเขียวในพริบตา โลหิตสาดกระจาย และยังมีหัวที่ถูกโลหิตอัดใส่จนลอยหมุนติ้วอยู่กลางอากาศ ดวงตายังฉายแววเหลือเชื่อ
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ เขาบีบสองนิ้วมือขวาพร้อมเกิดเสียงดังแกร๊ก กระบี่บินสีเขียวแตกกลายเป็นเศษร่วงลงสู่พื้น พร้อมกันนั้นเขาก็เอียงหน้ามองไปบนฟ้าทางขวา แวบหนึ่ง จากนั้นจึงละสายตากลับแล้วเดินกลับเรือรบ
ราวกับว่าทุกอย่างเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น เหมือนว่าศพและเศษกระบี่ที่ร่วงลงพื้นเป็นเพียงภาพมายา ซูหมิงยืนอย่างเฉยชา ส่วนเรือรบบินไกลออกไป
สิ่งที่เหลืออยู่คือผู้ฝึกฌานเกือบหมื่นคนที่นี่ ทุกคนต่างมีแววตาหวาดกลัวและเงียบสงบ
จนกระทั่งเรือรบหลายร้อยลำของซูหมิงลับไปไกล พลันเกิดเสียงดังเกรียวกราวขึ้น เสียงสนทนาอื้ออึงดังขึ้นลงที่นี่ บนฟ้าทางขวาที่ซูหมิงมองก่อนจากไป ตอนนี้มวลอากาศบิดเบี้ยวแล้วมีคนเดินออกมาสามคน
สามคนนี้เป็นชายวัยกลางคนหนึ่ง สวมเสื้อคลุมฟ้า ตรงหัวสวมมงกุฎสูง สีหน้าเรียบนิ่งแต่มีความน่าเกรงขาม เอกลักษณ์เฉพาะต่างกับคนอื่น ส่งผลให้เขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นมีเสน่ห์ไร้รูปวนเวียนอยู่
ด้านหลังเขาเป็นชายชราสองคน ตอนนี้ต่างมีสีหน้าทะมึนทึบ สายตามองไปตรงจุดที่ซูหมิงไป
“แกร่งมาก ข่าวลือไม่เกินจริงเลย หรือว่าเต้าเฟยเฟิงคนเดียว ต่อให้มีเป็นสิบเป็นร้อยก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา”
“ห้องโถงผู้อาวุโสสำนักเงียบกับเรื่องนี้ เห็นได้ว่าเป็นเพราะขั้นพลังรวมถึงความแกร่งของขุมอำนาจเต้าคง”
“ก่อนหน้านี้องค์ชายไม่ควรส่งคนไปหยั่งเชิงเลย…..สายตาที่เขามองมาก่อนไป ดูก็รู้เลยว่าเห็นพวกเรา” ชายชราสองคนข้างหลังกล่าวเสียงเบา
“หากจะสังหารเขา เจ้าสองคนมีความมั่นใจเท่าไร” ชายวัยกลางคนมองฟ้าตรงจุดที่ซูหมิงไป ขบคิดอยู่ชั่วครู่แล้วก็พูดขึ้นช้าๆ
“หากไม่มียอดฝีมืออยู่ข้างกายเขา ไม่มีสวี่ฮุ่ยคอยขวาง ไม่มีอาคมเชื่อมโยงของเก้าผู้เฒ่ายมโลก การจะสังหารเขา พวกข้าต้องใช้สมบัติผนึกด้วย และต้องการ ภัยพิบัติตะวันอีกสามคนช่วย รวมห้าคนถึงจะได้” ชายชราสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง หนึ่งในนั้นจึงตอบกลับ
“มีความมั่นใจกี่ส่วน?” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว
“เก้าส่วน” ชายชราอีกคนตอบเรียยนิ่งด้วยสีหน้าโอหัง
“เก้าส่วนยังน้อยไป การสังหารเขาห้ามเกิดข้อผิดพลาดใดๆ มิเช่นนั้นหากเขาไม่ตาย การแก้แค้นคงจะปวดหัวน่าดู ไม่มีวิธีสังหารเขาแบบมั่นใจสิบส่วนเลยรึ?” ชายวัยกลางคนส่ายหน้า
“มี ต้องเชิญยอดฝีมือมาหนึ่งท่าน ต่อให้เพิ่งก้าวสู่ธรณีประตูยอดฝีมือก็มากพอจะมีความมั่นใจสิบส่วนในการสังหารเขาง่ายๆ ทว่าเงื่อนไขคือต้องไม่มียอดฝีมือท่านนั้นของเขาติดตามอยู่ด้วย” ชายชราทางซ้ายเอ่ยด้วยความเย็นชา
“คอยดูระดับอำนาจคุกคามของเขาต่อไป หากจำเป็นจริงๆ ก็ให้เชิญผู้อาวุโสที่เพิ่งก้าวสู่ยอดฝีมือท่านหนึ่งมาลงมือสักเล็กน้อย แต่ผู้อาวุโสที่เพิ่งก้าวสู่ธรณีประตูต้องเป็นคนเดียว” ชายวัยกลางคนยิ้มเล็กน้อย มีสีหน้าเหมือนกุมดวงชะตาซูหมิงเอาไว้ทั้งหมด ราวกับว่าอยากเห็นท่าทีของซูหมิงว่าจะมีการคุกคามต่อเขาหรือไม่ หากมีการคุกคาม เช่นนั้นเขาก็จะเอาชีวิตซูหมิง
เขาคิดว่าตนมีความมั่นใจนี้เต็มสิบ
‘มียอดฝีมือติดตามแล้วอย่างไร เต้าคง เบื้องหลังเจ้ายังไม่พอ ปู่เจ้าตอนนี้ไม่ใช่ผู้อาวุโสสำนักที่เคารพอีก ตอนนี้ปิดด่านนั่งฌานอยู่ ตื่นอีกครั้งก็ไม่รู้อีกกี่ปีจากนี้ ไม่มีรากฐาน ไม่มีที่พึ่ง เจ้ามีคุณสมบัติอะไรมาเป็นองค์ชายอยู่ในระดับเดียวกับพวกข้า!’
ชายวัยกลางคนยิ้มเยาะก่อนหมุนตัวหายไปในอากาศ คำพูดชายชราสองคนข้างกายที่บอกว่าเขาไม่ควรส่งคนไปล่วงเกินซูหมิง เขารู้ว่ามันมีความหมายแฝงอยู่ข้างใน
‘ข้าแค่จะหลอกใช้เจ้าคนโง่อย่างเต้าเฟยเซียนเท่านั้น ด้วยขั้นพลังของเขาหากหยามเต้าคงได้จะดีที่สุด หากไม่ได้ แต่ถูกเต้าคงสวนกลับจนบาดเจ็บสาหัส องค์ชายคนอื่นก็จะได้รู้ขั้นพลังของเต้าคง
หากมีคนตาย เรื่องนี้จะดียิ่งกว่าเดิม ดูท่าตอนนี้คนที่แย่งชิงตำแหน่งกับข้าพวกนั้นก็คงจับตาดูเต้าคงกันแล้ว ดังนั้น……การโยกย้ายสายตาของทุกคนสักเล็กน้อยจะทำให้ข้าสบายขึ้น’
คล้อยหลังชายวัยกลางคน เมื่อคนเกือบหมื่นที่นี่แยกย้ายกัน เหตุการณ์ซูหมิงสังหารเต้าเฟยเซียนถูกคนเกือบหมื่นกระจายกันออกไปในทันใด
ซูหมิงยืนอยู่บนเรือรบด้วยสีหน้าสงบนิ่งตลอด สายตามองแม่น้ำและภูเขาที่นี่ มองแผ่นดินบนฟ้า ไม่ได้สนใจเด็กสาวหม่าเฟยข้างกายที่ตอนนี้กำลังมองตนด้วยสายตาพิลึก
แผ่นดินแม่น้ำและภูเขาแห่งนี้ค่อยๆ ผนึกรวมกับความทรงจำของเต้าคงในความคิดซูหมิง ทำให้เขาคุ้นชินกับที่นี่ขึ้นมาก หลายชั่วยามต่อมา เรือรบหลายร้อยลำก็มาอยู่ข้างอาคมเคลื่อนย้ายอีกแห่งตรงใจกลางแผ่นดินแห่งนี้
อาคมเคลื่อนย้ายตรงจุดนี้ไม่ได้ส่งไปข้างนอก แต่ใช้ส่งระหว่างแผ่นดินใหญ่แต่ละโลกในสำนักดาราสัจธรรม ครั้นแสงจากอาคมส่องสว่างวิบวับ ครู่ต่อมาบนแผ่นดินที่หกสิบสามกลางแผ่นดินใหญ่เก้าสิบเก้าแห่ง อาคมเคลื่อนย้ายในนั้นขยับแสงวิบวับ ก่อนตามด้วยพวกซูหมิงเดินออกมาจากในวงแหวนอาคม
ฟ้าที่นี่เป็นสีคราม แผ่นดินกว้างใหญ่ ไกลออกไปมีมหาสมุทร ภาพต่างๆ เหล่านี้ชัดเจนยิ่งในความทรงจำเต้าคงกลางความคิดซูหมิง ที่นี่คือบ้านเกิดของเต้าคง และก็เป็นที่ที่เขาเติบโต มิหนำซ้ำยังเป็นบ้านเกิดของผู้ติดตามเขาด้วย
เมื่อพวกซูหมิงปรากฏตัว ก็มีคลื่นเสียงที่รวมกับเสียงจำนวนมากดังก้องมาจากรอบๆ
“ยินดีต้อนรับองค์ชายเต้าคงกลับมา!” ความดังของเสียงคืออย่างน้อยสุดหลายหมื่นคนเอ่ยพร้อมกัน นอกวงแหวนอาคมมีผู้ฝึกฌานเกือบห้าหมื่นคนคุกเข่าคารวะเจ้านายของพวกเขาด้วยสีหน้าฮึกเหิม
เต้าคง คือเจ้าของแผ่นดินนี้ เมื่อก่อนใช่ ตอนนี้พอเป็นองค์ชายแล้ว ยิ่งเป็นเจ้าของอย่างเต็มภาคภูมิ
ในกลุ่มคนยังมีคนสายตรงสำนักดาราสัจธรรมอีกหลายร้อยคน คนเหล่านี้ล้วนเป็นสายเลือดเดียวกับเต้าคง พวกเขามองเต้าคงด้วยความตื่นเต้นและเชื่อว่าหาก เต้าคงยืนตำแหน่งองค์ชายได้อย่างมั่นคง เช่นนั้นสายเลือดพวกเขาจะผงาดขึ้นในสำนักดาราสัจธรรม
ซูหมิงมองทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ เขาพบว่าตนรู้นามของทุกคนที่นี่ ก่อนมองไกลออกไป เขามองกลุ่มผู้ฝึกฌานห้าหมื่นคนกับตาตัวเองอีกครั้ง และเกิดความรู้สึกตกตะลึงกับความใหญ่ของสำนักดาราสัจธรรม
นี่เป็นเพียงหนึ่งในเก้าสิบเก้าแผ่นดินใหญ่ หากนับดูแล้ว นั่นคือกำลังมหาศาลของผู้ฝึกฌานห้าสิบล้านคน นี่ยังไม่นับรวมแผ่นดินใหญ่อีกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าแห่งข้างล่าง ตรงนั้นเป็นของคนสายเลือดสาขาที่มีฐานะต่ำกว่าคนสายตรงรวมถึงกลุ่มต่างๆ จำนวนมาก
หากนับรวมกันแล้วซูหมิงก็ยากจะคำนวณได้ว่าสำนักดาราสัจธรรมมีเบื้องลึกเท่าไร
‘สงครามครั้งนี้ สำนักดาราสัจธรรมไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างเต็มที่ เหตุใดพวกเขาถึงทำแบบนี้ หรือว่ากำลังรออะไรอยู่ บางที….อาจจะใช้สงครามมาขัดเกลาศิษย์สำนักตัวเอง?’ ดวงตาซูหมิงขยับประกายวาวเล็กน้อยจนตรวจไม่พบ
ท่ามกลางการต้อนรับของคนหลายหมื่นคน เรือรบหลายร้อยลำของซูหมิงลงมาจอดบนแผ่นดิน แผ่นดินสั่นสะเทือน ผู้ฝึกฌานข้างบนต่างบินออกมา ที่นี่คือบ้านเกิดพวกเขา พวกเขาติดตามเต้าคงไปแดนต้นกำเนิดจิตและก็ไม่ได้กลับมาพันกว่าปี ยามนี้กลับมาแล้ว ทุกคนต่างมีสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย
“ไปเถอะ ไปห้องโถงผู้อาวุโสสำนัก” ซูหมิงกวาดสายตามองไปก่อนบินขึ้นฟ้า พวกสวี่ฮุ่ยที่ไม่ใช่สายตรงเลยไม่มีตราคำสั่งจึงไม่มีสิทธิ์ไปห้องโถงผู้อาวุโสสำนัก แต่เด็กสาวหม่าเฟยผอมแห้งกลับมีตราคำสั่งแบบนี้อยู่ นางพิจาณามองซูหมิงอยู่ หลายที ตลอดทางไม่มีการถามสิ่งใด เพียงแค่ติดตามอยู่ข้างกายซูหมิง ขณะอยู่ กลางอากาศยังมีปราการไร้รูปโผล่ขึ้นมาตรงส่วนลึกของฟ้าขวางซูหมิงเอาไว้
ภายในปราการแผ่แรงกดดันนุ่มนวล ถึงจะบอกว่ามันนุ่มนวล แต่ทันทีที่ซูหมิงรู้สึกถึงมันกลับหรี่ตาแคบลง แรงกดดันนี้เทียบเท่ากับพลังของยอดฝีมือขั้นชะตา คนธรรมดาไม่มีทางผ่านไปได้ง่ายๆ
มิหนำซ้ำดูจากลักษณะแล้วมันปกคลุมทั่วฟ้า ปกคลุมฟ้าไม่มีสิ้นสุดเหนือแผ่นดินเก้าสิบเก้าแห่ง
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ เมื่อเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดาราสัมผัสกับพลังนุ่มนวลก็เกิด แสงสว่างดาราขึ้น พลังนุ่มนวลเบาบางลงจนปราการหายไป จากนั้นเด็กสาวข้างกายก็หยิบตราออกคำสั่งสีฟ้าออกมาชิ้นหนึ่ง มันขยับแสงวิบวับและเปล่งแสงสีฟ้าปกคลุมทั่วร่างนาง ทำให้นางเดินผ่านปราการนี้ไปได้
ซูหมิงบินขึ้นตลอดทาง ช่วงที่ออกจากปราการไร้รูป เขาเห็นฟ้าสีขาว ทั่วฟ้าเป็น สีขาวทั้งหมด มองไกลออกไปที่นี่มีอยู่เก้าแผ่นดิน ทุกแผ่นดินมหึมายิ่ง ล้อมเป็นลักษณะวงกลมยักษ์
ทุกแผ่นดินจะมีตรงใจกลางที่หมุนวนเป็นแสงหลากสี รวมขึ้นเป็นลำแสงยักษ์ยิงขึ้นนภาสีขาวข้างบน อีกทั้งนอกลำแสงเก้าแผ่นดินนี้มีสัตว์ร้ายลักษณะมังกรวนเวียนอยู่ไม่น้อย
“เก้าแผ่นดินใหญ่ ลำแสงเก้าสาย ตรงนั้นคือเก้าแดนเลื่องลือของสำนักดาราสัจธรรม มีการฝึกฝนระดับต่างกันอยู่เก้าชนิด ศิษย์ทุกคนที่ผ่านเกณฑ์จะได้รับรางวัลอย่าง งามยิ่ง” หม่าเฟยพูดเบาๆ อยู่ข้างซูหมิง