Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1082

ตอนที่ 1082 นามของเขาคือซัง

“หายไปแล้ว…” ผ่านไปพักใหญ่ ตอนที่ซูหมิงเดินออกจากแท่นราบ ทุกคนโดยรอบก็เพิ่งตั้งสติกลับมา แล้วตามมาด้วยเสียงดังเกรียวกราวดังสนั่น

“นะ…นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น เหตุใดคนมีปีกสีดำที่อยู่ในเสาแสงตลอดถึง…หายไป?”

“ถือว่าองค์ชายเต้าคงผ่านด่านหรือไม่?”

“เหลวไหล กระทั่งคนเฝ้าด่านยังหายไป เจ้าว่าองค์ชายเต้าคงจะผ่านหรือไม่เล่า!”

“เขามีขั้นพลังระดับใดกันแน่ เหตุใดถึงเป็นแบบนี้ หรือว่าคนเฝ้าด่านจะถูกเขาสังหาร?”

“สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ จุดสำคัญคือคนเฝ้าด่านนี้หายไป จากนี้พวกเรา…จะบุกแดนเลื่องลือด่านนี้อย่างไร?”

“เกรงว่าเรื่องนี้คงจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสำนักดาราสัจธรรม…” เสียงสนทนาดังชัดเจนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กระทั่งแดนเลื่องลือสามด่านก่อนหน้านี้ยังไม่เกิดเสียงดังแบบนี้

องค์ชายหลายคนรอบๆ รวมถึงเต้าหลินกับเต้าฝ่ามองซูหมิงด้วยสายตาหวาดหวั่นและตกตะลึงยิ่ง ขนาดส่วนลึกในใจยังเกิดความกลัวจนไม่อาจบรรยาย

กลับกันจิตสัมผัสสิบกว่าสายที่มาเยือนเหล่านั้น ตอนนี้เงียบและหายไปอย่างรวดเร็ว ทว่าทันทีที่จิตสัมผัสเหล่านี้จะหายไป สิบกว่าแห่งจากแผ่นดินเก้าสิบเก้าแห่งโลกตรงกลางและแผ่นดินเก้าร้อยเก้าสิบเก้าแห่งโลกข้างล่างพลันเกิดเสียงดังสนั่น มีร่างเงาขยับวูบวาบกันออกมา ส่วนใหญ่พอเงยหน้ามองเก้าแผ่นดินใหญ่ข้างบนแล้วก็พุ่งทะยานเข้าไป

พวกเขารู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว ผู้เฝ้าด่านแดนเลื่องลือด่านสี่หายไป เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และจะต้องเกิดวิกฤตอย่างแน่นอน หากไปสาย เกรงว่าเมื่อองค์ชายเต้าคงตายตกแล้วก็จะเสียโอกาสที่พวกเขาจะได้ท้าประลอง

นอกจากพวกเขาแล้ว ชายชราเป้ยปังตรงริมกลุ่มผู้ฝึกฌานรอบๆ บนแผ่นดินที่สี่ มีสีหน้ามืดทะมึน สายตามองลำแสงว่างเปล่าแล้วก็มองซูหมิง เขาเงียบไม่ได้พูดอะไร ฐานะเขาในสำนักดาราสัจธรรมเป็นเพียงสมาชิกของศูนย์กลาง เหนือกว่าเขายังมี ตาแก่อีกไม่น้อย เรื่องในวันนี้ตาแก่เหล่านั้นจะต้องรู้แน่ เกรงว่า…คงใกล้จะมาถึงแล้ว

ผู้อาวุโสสำนักสามคนข้างหลังเป้ยปังเบิกตาค้างอ้าปากกว้าง โดยเฉพาะชายชราหน้าดำ เขาสูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจ สายตาที่มองซูหมิงมีความหวาดกลัวเป็นครั้งแรก

แทบเป็นทันทีที่ซูหมิงเดินออกจากแท่นราบแล้วเหยียบบนฟ้า ทันใดนั้นฟ้าข้างบนแผ่นดินเก้าแห่งของโลกข้างบนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีเสียงฟ้าผ่าดังก้อง ปรากฏน้ำวนยักษ์แห่งหนึ่ง

ขณะน้ำวนหมุนโคจรยังมีดวงจิตสามดวงลงมาจากในน้ำวน แทบเป็นตอนที่ ดวงจิตสามดวงนี้ปรากฏ ผู้ฝึกฌานที่นี่ต่างใจสั่นสะท้าน ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นเกิด เป้ยปังยังตัวสั่น ก้มหน้าประสานมือคารวะบนฟ้า

จากนั้นผู้อาวุโสสำนักสามคนข้างหลังก็ประสานมือคารวะทันที ผู้ฝึกฌานสิบล้านคนรอบๆ ต่างคารวะพร้อมกัน

ซูหมิงยืนอยู่กลางอากาศ เงยหน้ามองน้ำวนนั้นด้วยดวงตาวาววับ เขาไม่คิดสร้างเรื่องใหญ่อีก แต่ก้มหน้าคารวะ

“เต้าคง!” ทันทีที่ซูหมิงคารวะก็มีเสียงอื้ออึงดังมาจากในน้ำวนบนฟ้าดุจดั่งเทพ เสียงดังกังวานไปสามโลก ดังไปยังแผ่นดินใหญ่นับพันแห่ง

“เจ้าทำอะไรกับแสงแก่นยมโลกที่รักษาการณ์อยู่ที่นี่ ทำให้กลิ่นอายชีวิตมันหายไป!” เสียงอื้ออังดังแว่วมาอีกครั้ง ความเย็นเยียบภายในส่งผลให้ทุกสิ่งมีชีวิตบนแผ่นดินหัวใจราวกับเหี่ยวเฉา ประหนึ่งว่าอีกฝ่ายเอ่ยเพียงประโยคเดียวชีวิตทั้งหมดจะหายไป

“ขั้นดับสูญ!” ในกลุ่มคนย่อมมีคนที่มีความรู้กว้างขวาง ตอนนี้ก้มหน้าลงกว่าเดิมด้วยความกลัว ศิษย์สำนักดาราสัจธรรมทุกคนรู้ว่าสำนักดาราสัจธรรม…มีการสั่งสมพลังมานานไม่รู้กี่ปีจนหยั่งลึกไม่อาจคาดเดาแล้ว!

“ไม่รู้” ซูหมิงส่ายหน้าแล้วตอบกลับเสียงเบา เขามีสีหน้าปกติ ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ต่อให้ที่นี่เป็นสำนักดาราสัจธรรมแล้วอย่างไร

เมื่อพันกว่าปีก่อนเต้าคงเข้าแดนต้นกำเนิดจิต ยอดฝืมือโลกแท้จริงดาราสัจธรรมที่เฝ้าแดนต้นกำเนิดจิตฟังแต่คำสั่งบรรพบุรุษเต้าเฉิน พอกลับสำนักดาราสัจธรรม ตอนทำสายเลือดหลอมรวมวิญญาณยังปรากฏสายเลือดสีทอง ทุกอย่างเหล่านี้ หาก ซูหมิงยังไม่เข้าใจเขาก็ใช้ชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์แล้ว

ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องเกรงกลัวใดๆ ในสำนักดาราสัจธรรม

พอซูหมิงตอบไป ดวงจิตสามดวงในน้ำวนบนฟ้าไม่ตอบกลับทันที แต่กลับมีแรงกดดันอึดอัดขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ากำลังรวมขึ้นไม่หยุดในขณะที่พวกเขาเงียบ ส่งผลให้ ผู้ฝึกฌานสิบล้านคนบนพื้นต่างตัวสั่นขึ้นมา

“ยกเลิกฐานะองค์ชายของเต้าคง” ผ่านไปพักหนึ่งถึงมีเสียงอื้ออึงแบบก่อนหน้านี้ดังมาจากในน้ำวน สิ้นเสียง ก็มีอีกเสียงดังก้องจากในน้ำวนพร้อมด้วยความน่าเกรงขาม

“ยกเลิกฐานะคนสายตรง”

“รวมถึงสายเลือดเดียวกับเขาทั้งหมด นอกจากผู้อาวุโสสำนักแล้ว คนอื่นลดขั้นเป็นสายเลือดสาขา”

“ส่งไปทะเลเต๋า อยู่ที่นั่นจนกว่าจะบอกความลับ หากในหมื่นปีไม่พูด ก็จงอยู่ทะเลเต๋าจนกว่าฟ้าจะสูญสลาย” เสียงอื้ออึงสามเสียงดังเนิบช้า ความน่าเกรงขามในน้ำเสียงราวกับว่าคำพูดสามารถตัดสินดวงชะตาของอาณาประชาราษฎ์ สามารถตัดสินทิศทางของหนึ่งโลก

“โทษนี้ มีผลทันที!” ชั่วขณะคำพูดสุดท้ายดังแว่วมาจากน้ำวน มีมือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นมาจากในน้ำวนและพุ่งไปหาซูหมิง

ซูหมิงดวงตาขยับประกายวาววับ เขาเงยหน้าจ้องฝ่ามือยักษ์ที่เข้ามาด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย เขากำลังเดิมพัน เดิมพันว่าเต้าเฉินที่นั่งฌานอยู่จะออกหน้าให้หรือไม่ ในเวลาเดียวกันหากเต้าเฉินไม่ออกมา เช่นนั้นเขาจะเรียกเตาหลอมลำดับห้ามาฆ่าล้างสำนักดาราสัจธรรม แม้จะต้องเสียฐานะของเต้าคงไป แต่เขาย่อมมีวิธีได้ฐานะใหม่ เพียงแต่ว่าหากไม่จำเป็นจริงๆ เขาจะไม่ทำแบบนั้น

ฝ่ามือยักษ์พุ่งเข้ามา ชั่วพริบตาที่จะปะทะกับซูหมิงและดวงตาเขาฉายประกายวาวและบ้าคลั่งนั้น กลับมีแสงสีทองลงมาเยือนในพริบตาจากสุดปลายของฟ้าที่สูงยิ่ง กว่าน้ำวน

ความเร็วของแสงทองไม่อาจบรรยาย แทบเป็นทันทีที่มันปรากฏก็ทะลวงผ่าน ฝ่ามือยักษ์ที่จะกดลงซูหมิง ท่ามกลางเสียงดังสนั่น ฝ่ามือนั้นไม่มีพลังต่อต้านแม้ แต่น้อย พริบตาเดียวก็พังทลายลง อีกทั้งแสงทองยังมาอยู่ตรงหน้าซูหมิงกลายเป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง!

เป็นใบประกาศที่ธรรมดามาก

ด้านบนมีน้ำหมึกที่ยังไม่แห้ง ตอนที่มันเปล่งแสงทองสว่างจ้า ยังมีกลิ่นอายพลังที่ทำให้ฟ้าดินสั่นไหว สำนักดาราสัจธรรมสั่นโคลงเคลง ทั้งโลกแท้จริงดาราสัจธรรมสั่นสะเทือนแผ่กระจายมาจากใบประกาศนั้นโดยไม่ปิดบังไว้แม้แต่น้อย

“มอบแดนเลื่องลือด่านสี่ให้องค์ชายเต้าคง มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการฝ่าด่านทั้งหมด” ช่วงที่เสียงราบเรียบดังแว่วมาจากในใบประกาศ ภายในมวลอากาศข้าง ใบประกาศปรากฏชายคนหนึ่ง เขาเป็นชายหนุ่ม พอปรากฏตัวแล้วก็ประสานมือคารวะซูหมิง ตั้งแต่ที่เขาเอ่ยมาก็ยังไม่มองน้ำวนแม้แต่หางตา แต่ยกมือขวาโบกใบประกาศลอยไปหาซูหมิง

“นี่คือของที่ท่านเต้าเฉินมอบให้องค์ชาย ข้าขอตัว” ชายหนุ่มกล่าวพลางยิ้มเล็กน้อยให้ซูหมิง ในรอยยิ้มนั้นมีความหมายลึกซึ้งที่ซูหมิงมองไม่ออก เหมือนเป็นความรู้สึกปลงอนิจจัง จากนั้นเขาหมุนตัวกลับเดินหายเข้าไปในมวลอากาศ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เขาไม่ได้มองน้ำวนนั้นเลย เมินเฉยราวกับไม่มีอยู่

โดยรอบเงียบเป็นเป่าสาก ทุกคนมีสีหน้าเหมือนปกติ แต่ในใจกลับเกิดคลื่นลูกใหญ่ โดยเฉพาะชายชราเป้ยปัง เขาหน้าเปลี่ยนสีติดกันหลายครั้ง ผู้อาวุโสสำนักสามคน ข้างหลังก็มีสีหน้าตกใจระคนลังเลใจ

คนชราเก่าแก่สามคนในน้ำวนที่มีอำนาจสูงสุดจากห้องโถงผู้อาวุโสสำนักที่ ถอดฐานะองค์ชายเต้าคงและส่งเข้าทะเลเต๋า พวกเขาเหล่านี้มีฐานะสูงยิ่งในห้องโถง ผู้อาวุโสสำนัก คำพูดของพวกเขาตัดสินทุกอย่างของโลกแท้จริงดาราสัจธรรมได้ในหลายช่วงเวลา

ทว่าใบประกาศนั้น…กลิ่นอายพลังจากในนั้นที่มากพอจะทำให้ทุกคนรู้ว่านั่น… มาจากเจ้าภัยพิบัติดาราสัจธรรม! โดยเฉพาะชายหนุ่มคนนั้น คนที่นี่ไม่มีใครไม่รู้จัก เขาก็คือศิษย์ที่เฝ้ารักษาการณ์มาตลอดไม่รู้กี่ปีนอกแดนนั่งฌานของบรรพบุรุษเต้าเฉิน และยังทำหน้าที่ประกาศคำสั่งจากบรรพบุรุษอยู่หลายครั้งมาก!

นั่นคือ…ศิษย์เพียงคนเดียวที่รับมาใหม่หลังจากศิษย์ทุกคนระเบิดตายอย่างกะทันหันตอนที่บรรพบุรุษเต้าเฉินปิดด่านนั่งฌาน!

นามของเขามีเพียงคำเดียวคือ…ซัง!

โดยรอบเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไร ซูหมิงมีสีหน้าปกติ เขาเก็บใบประกาศเข้า ถุงเก็บวัตถุแล้วหมุนตัวเดินไปทางมวลอากาศหนึ่งก้าว ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวห้อเหยียดไป ขณะเดียวกันก็ไม่มองน้ำวนบนฟ้าที่ตอนนี้เงียบจนเกือบจะอึดอัดแม้แต่ หางตา

จนกระทั่งซูหมิงบินจากไปไกล ภายในน้ำวนบนฟ้าก็ไม่มีเสียงใดอีก แต่พลันบิดเบี้ยวแล้วหายไปบนฟ้าอย่างนั้น

ทว่าการหายไปอย่างเงียบๆ แบบนี้ ทุกคนมองออกว่านั่นซ่อนความโกรธภายใต้ความเงียบเอาไว้ แต่ถึงจะโกรธก็ไม่มีประโยชน์ นั่นคือคำสั่งจากบรรพบุรุษเต้าเฉินส่งมาขัดคำสั่งของห้องโถงผู้อาวุโสสำนัก

ในเวลาเดียวกัน ทุกคนรอบๆ จากหวาดกลัวซูหมิงด้วยเรื่องนี้เปลี่ยนเป็นจะ ไม่ล่วงเกินง่ายๆ อย่างเด็ดขาด และก็มีคนนึกถึงแสงทองจากโลกข้างบนเมื่อหลายวันก่อน แสงทองจากสายเลือดหลอมรวมวิญญาณครั้งนั้นกลายเป็นการอธิบายที่ดีที่สุดต่อเหตุการณ์นี้

“องค์ชายเต้าคงจะบุกแดนเลื่องลือด่านห้าหรือไม่?” พอซูหมิงบินไปไกล ภายใต้สายตาจับจ้องของผู้ฝึกฌานสิบล้านคน ต่างพากันเกิดการคาดเดาขึ้น

แต่ไม่นานนักพวกเขาก็ได้คำตอบ ซูหมิงไม่ได้ไปแดนเลื่องลือด่านห้า แต่เดินมาทางพิธีแต่งตั้งกลางอากาศ

ตอนนี้เขาดูเหมือนปกติ ทว่าความจริงได้รับบาดเจ็บจากแสงแก่นยมโลกมา อีกทั้งเวลาก็ผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแดนเลื่องลือด่านสี่จะต้องมี ขั้นพลังกุมถึงจะทดสอบได้ ดังนั้นแล้ว เขาจึงไม่มีความมั่นใจในแดนเลื่องลือด่านห้าเลย จึงข้ามเรื่องนี้ไปก่อน รอจนโอกาสมาถึงค่อยไปดู

ซูหมิงบินกลับมาอยู่บนแท่นดอกบัวของตนในพิธีแต่งตั้งกลางอากาศแล้วนั่งขัดสมาธิลง ดวงตาสองข้างปิดลงก่อนเริ่มรักษาบาดแผลในร่างกาย

พอซูหมิงกลับมา ทุกคนก็ทยอยกันกลับมาจากแดนเลื่องลือด่านสี่ จนเมื่อ องค์ชายที่เหลือกลับตำแหน่งแล้ว เวลาก็ผ่านไป คนรอบๆ สนทนากันเสียงเบา องค์ชายหลายคนมีสีหน้าซับซ้อนและมืดทะมึน ไม่นานก็ครบเวลาหนึ่งชั่วยาม

ซูหมิงลืมตาขึ้น

“ผู้อาวุโสเป้ยปัง ช่วยรักษาบาดแผลให้ด้วย” ซูหมิงเอ่ยเรียบนิ่ง สายตามองเป้ยปังชายชราขั้นเกิด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version