Skip to content

สู่วิถีอสุรา 109

ตอนที่ 109 ธงปลายแหลม

ความเร็วของสายฟ้าเข้าถึงตัวเทพอำมหิตในชั่วพริบตา ในช่วงที่ปะทะกับหน้าอกด้านหลัง เสียงฟ้าผ่าดังสนั่น ทว่าเทวรูปชำรุดกลับไม่หยุดแม้แต่น้อย ราวกับไม่แยแสสายฟ้าสีดำ แม้รอบตัวเขาจะมีประกายสายฟ้าไหลเวียนจำนวนมากก็ตาม

แม้จะกล่าวเช่นนั้น โลหิตค้างค้าวจันทราจากตัวเทพอำมหิต กลับหายไปจากสายฟ้าที่รับพลังชำระล้างจากปี้ถูอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวตัวเขาหดเล็กลง ในความคิดซูหมิง เกรงว่าเมื่อสับขวานลง เทวรูปอาจหายไป

ทว่าการลงขวานครั้งนี้ แม้จะเป็นเพียงพลังน้อยนิดของสิงก่อนยุคบรรพกาล ก็แข็งแกร่งพอจะสังหารขั้นชำระล้างตัวเล็กจ้อยได้!

ขวานสงครามที่เขายกขึ้นมีเสียงร้องโหยหวนดังจากภายใน ราวกับมีวิญญาณร้ายตายตกอยู่ภายใต้คมขวานเล่มนี้จำนวนมากโอบล้อมบนขวาน ก่อนพลันสับลง

“ไม่!” นัยน์ตาปี้ถูฉายแววสิ้นหวัง ขวานสงครามสับลงไป ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนถูกภูเขานับหมื่นกดทับ ไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย ร่างสั่นสะท้าน ยกสองมือขึ้นเพื่อขวางการมาเยือนแห่งความตาย

ยามนี้ในร่างกายเขามีแสงดำขยับวูบวาบ เป็นแสงดำที่ทำให้เขารอดพ้นจากความตายก่อนหน้านี้ มันเข้ามาโอบล้อมตัวเขาเอาไว้เป็นกรงขังลักษณะกลม

นี่เป็นไม้ตายสุดท้ายของเขา ขณะขวานสงครามที่มีวิญญาณร้องโหยหวนโอบล้อมสับลง เมื่อเพิ่งปะทะกับกรงแสงสีดำ ลูกกรงพลันแตกสลายในทันที ไม่เหลือแม้แต่เสี้ยววินาที ประดุจความว่างเปล่า ขวานสงครามจึงทะลวงผ่านตรงเข้าไปหาปี้ถูที่กำลังสิ้นหวัง

เห็นปี้ถูกำลังเผชิญหน้ากับความตาย ความแค้นอบอวลไปทั้งตัวซูหมิง แต่ทันใดนั้น ในช่วงที่ขวานกำลังสับลง พบว่ามวลอากาศเบื้องหน้าปี้ถูพลันบิดเบี้ยว มีเงาคนเสื้อคลุมดำเดินออกมา เขายกมือขวาขึ้น ในฝ่ามือเปล่งแสงวูบวาบ ปรากฏเป็นโล่สีม่วงเข้าต้านขวานสงครามทันที

เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นฟ้าดิน โล่ในมือชายเสื้อคลุมดำเกิดรอยร้าว ร่างเขาเคลื่อนไหว ลากปี้ถูที่กำลังฮึกเหิมท่ามกลางความสิ้นหวังล่าถอยไปไกลหนึ่งร้อยจั้งก่อนหยุดลง ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ในเสื้อคลุม มองไม่เห็นว่าบาดเจ็บหรือไม่

ซูหมิงฝืนยิ้มปวดร้าว ในช่วงที่ขวานสงครามถูกยับยั้ง เทวรูปเทพอำมหิตที่รวมตัวขึ้นจากโลหิตค้างคาวจันทราถึงขีดจำกัด สลายเป็นฝุ่นละอองสีแดงจำนวนมากปลิวหายไปกับสายลม

เขาในยามนี้สัมผัสได้ถึงแรงกระแทก ร่างกระเด็นถอยเป็นลักษณะเส้นโค้ง ก่อนตกบนยอดเขามังกรทมิฬ กระอักโลหิตกองใหญ่ ตัวสั่นเทา บาดแผลในร่างกายกำเริบขึ้น รวมถึงภัยแฝงในร่างกายจากการฝืนทะลวงขั้นพลังก่อนหน้านี้ยังเข้าปกคลุมทั่วร่างเขาประดุจน้ำหลาก

เบื้องหน้าเขาเลือนราง สัมผัสได้ถึงความตาย ซูหมิงใช้พละกำลังที่เหลืออยู่ออกแรงกัดปลายลิ้นเพื่อฝืนไม่ให้ตัวเองหมดสติ พยามดิ้นรนลุกขึ้นนั่ง เขามองเห็นคนสวมเสื้อคลุมดำยืนอยู่เบื้องหน้าปี้ถูไกลๆ

“นายท่าน!” ปี้ถูราวกับยังคงหวาดกลัวกับเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาทราบดีว่าหากคนเสื้อคลุมดำไม่มา เขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

“สงสัยคงจะดูถูกชนเผ่าแถบชายแดนเขตพันธมิตรตะวันตกมากเกินไปหน่อย ตอนแรกก็เป็นขั้นชำระล้างสองคนแห่งผู้สืบทอดสายเลือดเผ่าเหมียวหมาน สองคนนั้นรวมพลังโลหิต จนแสดงพลังของขั้นชำระล้างตอนปลายได้สามกระบวนท่า

มาตอนนี้ยังได้เห็นเด็กน้อยอย่างเจ้าฝึกฝนวิชาหมานเพลิงขนานแท้ ไม่อยากเชื่อว่าจะทำให้ค้างคาวจันทราพวกนั้นเรียกเทวรูปอำมหิตสิงมาได้! การโจมตีเมื่อครู่……หากไม่ใช่เพราะขั้นพลังของเจ้าอ่อนแอเกินไป จึงทำให้แสดงพลังได้ไม่เต็มที่แล้วละก็ เกรงว่าข้าคงไม่อาจต้านทานได้”

คนเสื้อคลุมดำกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า ร่างสั่นไหวเล็กน้อย สีหน้ายังคงตื่นตะลึง หากไม่ใช่เพราะว่าปี้ถูยังมีประโยชน์ และเห็นว่าพลังจากขวานสงครามมีไม่มากพอ เขาจะไม่มีทางเข้ามาช่วยเด็ดขาด โลหิตไหลมาจากมุมปากเขาใต้ผ้าคลุม ทว่ากลับไม่มีใครมองเห็น

“ขั้นเซ่นไหว้กระดูก…เจ้าสังหารจิงหนานแล้วรึ?” บนยอดเขาอีกลูกหนึ่ง ท่านปู่ไม่มีแรงสู้เหลือแล้ว ยามนี้มองคนเสื้อคลุมดำพลางกล่าวเรียบๆ

“ถึงอย่างไรพวกเขาก็มาจากเผ่าใหญ่เหมียวหมาน จากการถือหางของพวกเขา การสังหารย่อมเกิดผลเสียภายหลัง” คนเสื้อคลุมดำมองท่านปู่แวบหนึ่ง แล้วพลันหัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาดูแหบพร่าและเย็นชา

เขามองท่านปู่ ใช้มือขวาหยิบตรามาจากอกเสื้อ บนตราสลักคำว่ากระดูกสันหลัง เผยกลิ่นอายเย็นเยือก ก่อนขว้างตราเข้าไปลอยอยู่เบื้องหน้าท่านปู่

ท่านปู่มองตรา สีหน้าพลันเปลี่ยน ดูย่ำแย่ยิ่งนัก

“ข้ามานี่ นอกจากตามหาโบราณวัตถุแห่งหมานเพลิงแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้ามาตามหาเจ้า! โม่ เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ หากเจ้าตายในมือของปี้ถู คงไม่ใช่อดีตสมาชิกของพวกข้า แต่ว่าตอนนั้นเจ้าทำผิดจึงต้องชดใช้” คนเสื้อคลุมดำดึงตราสีดำกลับ ไม่มองท่านปู่อีก เพียงแต่เดินไปทางซูหมิง

“ไม่คิดเลยว่าจะเจอผู้สืบทอดหมานเพลิงที่นี่จริงๆ…….”

ซูหมิงถอนหายใจแผ่วเบา สีหน้าเรียบเฉย

ต่อให้ไม่มีคนเสื้อคลุมดำ เขาก็รู้อาการของตัวเองดี ยามนี้ไม่มีทางรักษาได้แล้ว สิ่งที่รอเขาอยู่มีเพียงความตายเท่านั้น แม้แต่คนเสื้อคลุมดำเขายังไม่มอง แต่มองไปทางท่านปู่บนยอดเขาอีกลูกหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววอ่อนโยน เขาพยามสุดความสามารถแล้ว

“ทุกอย่างจบแล้ว…ขอโทษ ข้าไม่อาจดูแลเขาให้ดีได้” ท่านปู่โม่ซังเงียบขรึม เขาไม่นึกเลยว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นเพราะเขาไปเข้าร่วมกลุ่มที่น่ากลัวตอนนั้นโดยบังเอิญ เขาหลับตาลงท่ามกลางความขมขื่น

ทว่าในช่วงที่ท่านปู่กำลังหลับตา กายพลันสั่นสะท้าน บนตัวเขามีแสงสีเหลืองปรากฏขึ้น ความเข้มข้นของมันบรรลุถึงจุดสว่างจ้าแสบตา ประหนึ่งว่าไม่ใช่พลังจากโลกใบนี้ มันปะทุขึ้นมาจากในตัวของท่านปู่อย่างกะทันหันและรุนแรง

เมื่อกลิ่นอายพลังปรากฏขึ้น คนเสื้อคลุมดำที่กำลังเดินไปทางซูหมิงพลันชะงักฝีเท้า หันกลับมามอง ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในผ้าคลุมดำเผยความตื่นตะลึง เห็นโม่ซังเปล่งแสงสีเหลืองรุนแรง

ท่ามกลางแสงขยับวูบวาบ จุดชีพจรที่อยู่ในตัวโม่ซังพลันส่งเสียงระเบิดดังก้องกังวาน ธงเล็กขนาดเท่าฝ่ามือบินออกมาจากจุดชีพจรตรงหน้าอก ลอยอยู่ห่างเหนือศีรษะเขาเจ็ดชุ่น

โม่ซังตัวสั่น พลันลืมตาขึ้น ในช่วงที่แหงนหน้ามองเห็นธงเล็กสีเหลือง จึงพลันชะงักไปทั้งตัว

“เจ้า…เจ้าออกมาได้อย่างไร!” การปรากฏตัวของธงเล็กทำให้ท่านปู่เหลือเชื่อ เดิมทีเขาคิดว่าเจ้าสิ่งนี้คงจะไม่ออกมาตลอดชั่วชีวิต เพราะคนที่ให้มาในตอนนั้นได้หลอมรวมมันเข้าไปในสายเลือดของเขา หลายปีมานี้ท่านปู่ลองมานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าก็ไม่มีการตอบรับใดๆ สัมผัสได้เพียงว่ามันยังอยู่

สีหน้าท่านปู่ดูตื่นตะลึง สูดลมหายใจเข้าลึกมองซูหมิง นัยน์ตาฉายแววไม่มั่นใจ เหมือนกับเข้าใจอะไรบางอย่าง

ท่านปู่พยามฝืนตัวยืนขึ้น คว้าธงเล็กเอาไว้ เมื่อมันอยู่ในมือก็พลันขยายสูงขึ้นสามกว่าจั้ง มันไม่ใช่ธงเล็กอีกต่อไป แต่เป็นธงปลายแหลมผืนใหญ่

สีของมันจากสีเหลืองพลันกลายเป็นสีดำ ขณะที่มันขยายออก ในธงสีดำทึบมีจุดแสงดาว กลายเป็นท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีแสงดาวทอประกายอยู่ด้านใน!

ฟ้ากระจ่างดาวทอประกายดูแปลกตา เหมือนกับว่ามันไม่ใช่ท้องฟ้าที่ชาวหมานแหงนหน้ามองเห็น แต่มาจากสถานที่ห่างไกล บางทีผู้คนแถบนั้นแหงนหน้ามองถึงจะคุ้นเคย

คนเสื้อคลุมดำจิตใจสั่นไหว สัมผัสได้ถึงภัยอันตรายอย่างร้ายแรง ขณะสีหน้าเปลี่ยน เขาก้าวเดินไปเบื้องหน้าเพื่อขวางท่านปู่เอาไว้ ทว่าก็ขวางไม่ทัน ท่านปู่ยืนอยู่บนปลายยอดเขา ยื่นมือขวาก่อนโบกสะบักธงไปทางด้านซ้าย ราวกับมีลมพัดผ่าน ผืนธงโบกสะบัดแผ่ขยายอย่างเต็มที่จนเกิดเป็นระลอกคลื่น วินาทีที่คนเสื้อคลุมดำตรงเข้าใส่ มือซ้ายโม่ซังถือผืนธงแล้วเอี้ยวตัวสะบัดมันเต็มแรง

ผืนธงโบกสะบัด เมื่อลูบผ่านใบหน้าท่านปู่อย่างแผ่วเบาก็เปลี่ยนแปลงอีกครั้งทันใด มันขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง แทบจะเป็นในชั่วพริบตา ท้องฟ้าดาวทอประกายบนผืนธงพลันขยับแสงดาราเด่นชัดยิ่งนัก ก่อนจะลอยจากมือท่านปู่ ปลิวไสวอย่างอิสระอยู่บนท้องฟ้า

มันขยายใหญ่ขึ้นและกว้างขึ้นเรื่อยๆ พริบตาเดียวผืนธงขยายใหญ่เทียบเท่ากับท้องฟ้ายามค่ำคืน ขณะปลิวไสว ท้องฟ้าเปลี่ยนสี เมฆลมม้วนตัว ทั้งยังมีเสียงร้องดังสนั่นน่าสะพรึง ผืนธงลอยขึ้นสูง ท้องฟ้าถูกผืนธงยักษ์เข้ามาแทนที่!

ท้องฟ้ายามค่ำคืนพลันเปลี่ยน มีท้องฟ้าดาวทอประกายจากในผืนธงเข้ามาแทนที่ ทำให้ท้องฟ้าในยามนี้เปลี่ยนไปในชั่วพริบตาทันที!

นี่คือเคล็ดวิชาเปลี่ยนฟ้า เป็นเคล็ดวิชาที่ทำให้ผืนฟ้ายามค่ำคืนเลือนหาย แล้วแทนที่ด้วยท้องฟ้าดาวทอประกายในผืนธง ซูหมิงเหม่อลอย เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า แสงดาวบนท้องฟ้าดูแปลกตา

ปี้ถูเหม่อลอยเช่นเดียวกัน เนื้อตัวสั่นเทา เขามองไม่เห็นดวงดาวที่คุ้นเคย ตอนนี้ท้องฟ้ายามค่ำคืนดูแปลกตา เป็นท้องฟ้าที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ดวงดาราทั้งหมดไม่มีดวงไหนที่เขาคุ้นเคย!

เป็นที่ทราบกันดีว่าท้องฟ้ายามค่ำคืน ทุกคนส่วนใหญ่ได้เห็นทุกวันมาตั้งแต่เยาว์วัย พวกเขาคุ้นเคยกับดวงดาราทุกดวง ระยะห่างของพวกมัน ภาพสัญลักษณ์จากกลุ่มดาว ล้วนซึมซับอยู่ในความทรงจำ หากวันหนึ่งพลันเปลี่ยนจะสังเกตเห็นได้ทันที ความรู้สึกแปลกไปเช่นนั้นทำให้ผู้คนตื่นตระหนก!

คนเสื้อคลุมดำตัวสั่นเทาอย่างรุนแรง เขาเห็นท้องฟ้าแปลกตา แม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นพลังเซ่นไหว้กระดูก ทว่าความหวาดกลัวกลับไม่ลดน้อยลง เพราะเขาพอทราบเรื่องอยู่บ้าง……

“ท้องฟ้าจากต่างแดน! นี่มันท้องฟ้าจากต่างแดน!”

ในช่วงที่ท้องฟ้าปรากฏขึ้น ท่านปู่กระอักเลือด ร่างโซเซถอยหลัง ทว่ากลับแผดเสียงตะโกนไปทางซูหมิงที่กำลังเหม่อมองท้องฟ้า

“ซูหมิง จำผืนฟ้ากระจ่างดาวนี้เอาไว้!” กล่าวจบ ท่านปู่ล้มลงกับพื้นราวกับหมดแรง

ซูหมิงตัวสั่น มองดาวแปลกตาบนท้องฟ้า

ดาราด้านบนยามนี้เปล่งแสงเด่นชัด ดาราเหล่านั้นขยับประกายพร้อมกับเคลื่อนไหว ท่ามกลางสายตาของทุกคนเบื้องล่าง แสงดาราเชื่อมเข้าหากันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นลักษณะคนเลือนราง

ความใหญ่ของคน ราวกับครอบครองผืนฟ้าแห่งนี้ เมื่อแสงดาวสว่างขึ้น รูปร่างของเขาค่อยๆ เด่นชัด

เป็นชายหนุ่มวัยกลางคน!

ช่วงที่ซูหมิงเห็นใบหน้าเงาคนที่เชื่อมจากแสงดารา เขาพลันตัวสั่นสะท้าน สีหน้าดูเหลือเชื่อและเหม่อลอย เพราะเงาคนยักษ์จากแสงดาว มีใบหน้าคล้ายกับซูหมิงห้าส่วน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version