Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1145

ตอนที่ 1145 น้ำตาหญิงงาม

ณ โลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก นอกวิหารที่ลอยอยู่กลางอากาศ หมิงหวงเจ้าภัยพิบัติแห่งโลกนี้ยืนเอามือไพล่หลัง เหมือนกำลังรอใครปรากฏตัว

เขามีความอดทนมาก ราวกับว่าต่อให้รออีกหมื่นปีก็ยังไม่เกิดคลื่นอารมณ์ใดๆ เวลาผ่านไปช้าๆ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ทันใดนั้นมวลอากาศตรงหน้าเกิดการบิดเบี้ยว จากนั้นซูเซวียนอีเดินออกมากลางความบิดเบี้ยว ซังข้างหลังเดินตามออกมา พอเห็นหมิงหวงแล้วก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจอะไร

“คารวะท่านผู้ยิ่งใหญ่” ทันทีที่หมิงหวงเห็นซูเซวียนอีก็สะบัดแขนเสื้อโดยพลัน….ซ้ำยังคุกเข่าลงข้างหนึ่งคารวะซูเซวียนอีราวกับเป็นมารยาทของศิษย์

“เต้าเอ๋อร์ ไม่มีคนนอกแล้ว เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ ยืนขึ้นเถอะ” ซูเซวียนอียิ้ม

“อาจารย์!” ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้น ตอนที่ยืนขึ้นสีหน้ามีความเคารพ ยามที่มองซัง เขายังเผยรอยยิ้มพลางพยักหน้า

“ศิษย์กับอาจารย์ไม่ได้เจอกันนานหลายปี ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม”

………….

ณ โลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก ภายในห้องอวี่เซวียน ประตูห้องเปิดออกอย่างเงียบเชียบ ซูเซวียนอีเดินเข้ามาช้าๆ

อวี่เซวียนหันหลังให้ประตูห้อง นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง มองฟ้ากระจ่างดาวข้างนอก ทันทีที่ซูเซวียนอีเดินเข้ามา นางตัวสั่น มีสีหน้าซับซ้อน

ซูเซวียนอีมองอวี่เซวียนเงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่ถึงถอนหายใจเบา ก่อนหยิบของสิ่งหนึ่งมาจากอกเสื้อ มาวางไว้บนโต๊ะแล้วพูดขึ้นเบาๆ

“เจ้าลำบากมาหลายปีแล้ว แต่ว่า…..เขาไม่เหมาะกับเจ้า จากนี้ไป เขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง”

ซูเซวียนอีเงียบไปอีกครู่หนึ่งก็ลอบถอนหายใจ ก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้องแล้วปิดประตูเบาๆ

จนกระทั่งคล้อยหลังซูเซวียนอี อวี่เซวียนหันกลับมา บนใบหน้ามีน้ำตา นางเหม่อมองรูปปั้นคล้ายเรือจากเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิตครึ่งหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ น้ำตารินไหลมากขึ้น

……………..

ณ เศษซากโลกแท้จริงดาราสัจธรรม ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยพายุหมุนไม่มีสิ้นสุดลากผ่าน พลังโลกน่าสะพรึงในพายุหมุนสามารถฉีกทำลายดาวได้จำนวนมาก สามารถฉีกอากาศ ฉีกทำลายร่างผู้ฝึกฌานได้ทุกคน

โลกแท้จริงดาราสัจธรรมกว้างใหญ่มีหลายแห่งมากที่เห็นเป็นเศษอวัยวะเกลื่อนกลาด ทั้งหมดเหล่านั้นเหลือมาจากซากศพผู้ฝึกฌานพันธมิตรเผ่าเซียนกับสำนักดารา สัจธรรม แต่ไม่ว่าฝ่ายใด ความจริงแล้ว…..พวกเขาก็เป็นคนโลกแท้จริงดาราสัจธรรม

ช่วงนั้นที่มหันตภัยมาเยือน บางทีพวกเขาสองฝ่ายอาจยังไม่ได้วางเรื่องบุญคุณความแค้นต่อกัน ทว่ากลางพายุหมุนนี้ ภายใต้ภัยพิบัตินี้ บุญคุณความแค้นทั้งหมดถูกมองข้ามไป ถูกลืมไป การมีชีวิตรอด…..คือเกียรติเพียงหนึ่งเดียว

ผู้ฝึกฌานพันธมิตรเผ่าเซียนตายตกไปไม่หยุด พวกเขาวอนขอกำลังเสริม จากพันธมิตรเผ่าเซียน แต่พวกเขาก็รอไม่ไหว เพราะสิ่งที่ได้รับคือความบ้าคลั่งจาก มหันตภัย เป็นฝันร้ายที่ไม่มีใครช่วยเหลือ

โดยเฉพาะผู้ฝึกฌานที่ใกล้กับใจกลางพันธมิตรเผ่าเซียน พวกเขาต่างฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าว เพราะพวกเขาเห็นฟ้ากระจ่างดาวพันธมิตรเผ่าเซียนพังทลายลง เห็นพื้นที่นี้กลายเป็นซากปรักหักพัง

แต่พวกเขาโชคดี เพราะรู้ว่าจากนี้ไปจะไม่มีพันธมิตรเผ่าเซียนอีก ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกหนี เลือกใช้ทุกวิธีเอาชีวิตรอดจากมหันตภัย!

ทว่าผู้ฝึกฌานที่ไม่รู้ว่าฟ้ากระจ่างดาวพันธมิตรเผ่าเซียนพังพินาศลงกลางภัยพิบัติเหล่านั้น ต่อให้พวกเขาหนีก็ยัง

กลับมายังพันธมิตรเผ่าเซียนด้วยความหวัง แต่พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่รออยู่คือความกลัวและสับสนหลังเห็นซากปรักหักพัง

เทียบกับพันธมิตรเผ่าเซียนแล้ว ผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมโชคดียิ่งกว่า ที่โชคดีไม่ใช่เพราะจำนวนการตายของพวกเขา แต่เป็นคนที่มีชีวิตรอด พวกเขาคือความหวังตลอดไป ซึ่งความหวังนั้นก็คือสำนักดาราสัจธรรม

เพราะวงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายทั้งหมดของสำนักดาราสัจธรรมถูกปิด บางทีชีวิตนี้พวกเขาอาจจะกลับไปไม่ได้อีก ไม่เห็นว่าในสำนักเป็นอย่างไร แต่ในความคิดพวกเขาคือสำนักดาราสัจธรรมยังอยู่

นี่คือความหวัง ความหวังนี้คงอยู่ในใจคนที่รอดชีวิตตลอดไป บางทีอาจสืบกันไปรุ่นสู่รุ่น…..

หลังมหันตภัยผ่านไปเจ็ดวัน พายุหมุนในโลกแท้จริงดาราสัจธรรมก็ยังไม่หายไป แต่กลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าต้องผ่านไปอีกนานเท่าไร กระทั่งคนฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนยังรู้ไม่แน่ชัด

ขอเพียงมีพลังโลกไหลผ่านช่องโหว่สามรกร้างก็จะมีพายุหมุนไม่มีจบสิ้น แต่ไม่ว่าจะหนึ่งปี สิบปีหรืออาจจะร้อยปีพันปี พลังโลกจะต้องมีวันหนึ่งที่หายไป พายุหมุนโลกแท้จริงดาราสัจธรรมก็จะหายไปด้วย

เมื่อมันหายไปแล้ว มหาโลกสามรกร้างจะต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนหรือไม่ก็ฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ หรืออาจจะเป็นมหันตภัยจากสองฝ่ายสู้รบกัน ซึ่งเทียบกับมหันตภัยจากพายุหมุนแล้ว นั่นคือภัยพิบัติอย่างแท้จริง เพราะนั่นไม่ใช่สายลมโลหิตที่จะลามไปเพียงหนึ่งโลกแท้จริง แต่ยังพัวพันไปถึงอีกสามโลกแท้จริง!

แต่ก่อนหน้าที่สายลมกลิ่นคาวเลือดแห่งมหันตภัยจะมาถึง ในระหว่างที่โลกแท้จริงดาราสัจธรรมเต็มไปด้วยพายุหมุนพลังโลก สำหรับมหาโลกสามรกร้างแล้ว ช่วงเวลานี้เปรียบได้ดั่งความสงบนิ่งก่อนพายุฝนจะมา

พวกเขาไม่มีวิธีอื่น และไม่มีทางซ่อนช่องโหว่ที่ถูกฉีกในโลกสามรกร้างได้ พวกเขาทำได้เพียงให้ตัวเองแกร่งขึ้น ให้สำนักแกร่งขึ้น ให้ทุกโลกแท้จริงแข็งแกร่ง เพื่อแสวงหาเสี้ยวความหวังในการมีชีวีตรอดจากภัยพิบัติครั้งสุดท้าย

จากนั้นก็รออย่างเงียบๆ รอการมาของภัยพิบัตินั้น!

แต่สำหรับฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนกับฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณสองฝ่ายนอกมหาโลกสามรกร้างแล้ว ช่วงที่ในมหาโลกสามรกร้างเงียบสงบ เป็นช่วงเวลาสำคัญที่พวกเขาต่างเปิดสงครามครั้งใหญ่

พวกเขาต้องต่อสู้แย่งชิงกันไม่หยุดเพื่อแย่งช่องโหว่นี้ เพราะช่องโหว่นี้อยู่ที่ ฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน ดังนั้นฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณจึงต้องจ่ายไปหลายเท่าเพื่อแย่งมาอีกทั้งขณะเดียวกัน หากฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณจ่ายไปอย่างสุดกำลัง เช่นนั้น ฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนก็ต้องจ่ายอย่างเต็มที่เช่นกัน

สรุปแล้วนี่อาจจะเป็นความสงบครั้งสุดท้ายในมหาโลกสามรกร้าง มันอาจจะสั้น อาจจะนาน แต่ไม่ว่าอย่างไร มันจะต้องมีวันหนึ่งที่จบลง ตอนนี้อาจจะไม่ไกลแล้ว

ภายในซากโลกแท้จริงดาราสัจธรรม เจ็ดวันผ่านไป ตอนที่พายุหมุนรุนแรงขึ้น ตรงต้นกำเนิดพายุหมุน ใต้ช่องโหว่สามรกร้าง ภายในลำแสงเชื่อมสวรรค์ในอดีต พลันมีแสงสีขาวพุ่งออกมาจากข้างใน มันพุ่งออกจากพายุหมุนที่รุนแรงที่สุดตรง ใจกลางไปในพริบตา

เมื่อออกมาแล้ว ตรงจุดที่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล รังไหมแปลงจากหงส์ขาวเหลือความบางเพียงหนึ่งชั้น เดิมทีรังไหมไม่อาจยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ มันควรจะพังลงเมื่อหลายวันก่อนแล้ว รวมถึงทุกอย่างในนั้นจะต้องหายไปในพายุหมุน

ที่มันยังคงอยู่ได้ก็เพราะว่าไป๋เฟิ่งในนั้นใช้วิชาต้องห้ามของสำนักหงส์ที่ไม่อาจแก้ไขได้เพื่อเอาชีวิตรอด วิชานี้ใช้อายุขัยเป็นพลัง เผาชีวิตเพื่อยืนหยัดนานขึ้น หลายเท่า นี่เลยทำให้นางอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้

ทว่าราคาที่นางต้องจ่ายช่างอนาถานักสำหรับนาง ภายในรังไหมเบาะบางจะเห็นว่าใบหน้าไป๋เฟิ่งไม่ใช่งดงามอย่างในอดีตอีก แต่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น อายุนางดูเหมือนไม่ใช่วัยสาวแรกแย้มอีก แต่คล้ายกับเพิ่งคลานออกมาจากโลงไม้ มีกลิ่นอายเสื่อมโทรมแก่ชราทั่วร่าง

นางยังคงสวมเสื้อคลุมขาว แต่กลับไม่งดงาม ซ้ำยังมีความโศกเศร้า

ความโศกเศร้ามาจากไป๋เฟิ่ง สำหรับนางแล้วเจ็ดวันนี้ประหนึ่งทั้งชีวิต

เดิมทีนางไม่ทำแบบนี้ได้ เดิมทีนางตายอย่างมีเกียรติกว่านี้ได้เล็กน้อย เดิมทีหากมีชีวิตดีๆ ไม่ได้ก็สามารถเลือกตายอย่างสวยงามได้ แต่นางไม่ยอม นางกลัวตาย กลัวเสียทุกอย่างไป นางยังคงฝันว่าจะบินขึ้นไปยังโลกแท้จริงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน นางยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อความฝันนี้ได้

ทว่ายามนี้นางเต็มไปด้วยความสิ้นหวังลึกๆ ทำได้เพียงอยู่ในรังไหมบอบบาง รอซูหมิงมา นางไม่มีพลังชีวิตให้เผาต่อแล้ว ต่อให้รังไหมยังอยู่ต่อไปได้ แต่ชีวิตนางอยู่ได้ไม่ถึงเดือนแล้ว

ช่วงที่แสงสีขาวที่บินออกมาจากใจกลางพายุหมุนกำลังจะบินจากไปไกลนั้นพลันหยุดชะงัก แล้วเปลี่ยนทิศทางตรงไปหาไป๋เฟิ่ง เมื่อเข้ามาใกล้แล้ว แสงสีขาวยัง ส่องเข้าไปในดวงตาแก่ชราของนาง หากเป็นสองวันก่อนนางคงตื่นเต้นมาก หากเป็นสามวัน

ก่อนนางคงดีใจจนน้ำตาไหล ไม่ว่าจะจ่ายไปเท่าใด ขอเพียงอีกฝ่ายช่วยนางก็จะตกลง

หากเป็นสี่วันหรือห้าวันก่อน การเลือกของไป๋เฟิ่งก็ยังไม่เปลี่ยนไป แต่ตอนนี้…..เจ็ดวันแล้ว

นางที่เหลืออายุขัยเพียงเดือนเดียวรู้ชัดว่าอายุขัยตนไม่อาจย้อนคืนได้แล้ว นางมองแสงสีขาวนอกรังไหมอย่างเฉยชา ใบหน้าไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ ดวงตาไม่มีน้ำตา แต่กลับมีการสะอื้นไห้ไร้เสียง

เงียบไปชั่วครู่ก็เหมือนมีเสียงถอนหายใจดังมาจากกาลเวลาห่างไกล ดังมาจากในสายลมหิมะ แสงสีขาวนอกรังไหมขยับแสงวูบวาบ มันข้ามผ่านรังไหม ก่อนม้วนไป๋เฟิ่งบินจากไปไกลในพริบตา

แสงสีขาวนี้คือแหวนสีขาวขนาดสิบกว่าจั้ง แหวนนี้คือสมบัติล้ำค่าของ ฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน เพียงแต่ว่าตอนนี้มันไม่ใช่ของฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนแล้ว แต่เป็นของโม่ซูที่จากลากับอดีตและเกิดใหม่!

มีเพียงซูหมิงเท่านั้นที่รู้ถึงระดับความยากในการกินซิงจี๋เต้า ทุกอย่างในแหวนสีขาวที่เกิดขึ้นในเจ็ดวันนี้ก็มีเพียงซูหมิงที่รู้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ช่วงที่แหวนสีขาวบินออกจากพายุหมุน นั่นหมายความว่าซูหมิงกินซิงจี๋เต้า กินวิญญาณเขาไปแล้ว

ซูหมิงในยามนี้รูปลักษณ์เปลี่ยนไปมาก ไม่ใช่ร่างแก่ชราของชายชราคนชุดคลุมดำอีก แต่หนุ่มขึ้นไม่น้อย ดูแล้วเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง หน้ำตาหล่อเหลา แต่กลับมีความมืดทะมึนอยู่ข้างใน ดวงตาสองข้างขยับแสงวูบวาบ ภายในแฝงไว้ด้วยชีวิตคนและ การดับสูญ

เขาสวมอาภรณ์สีดำ ทว่าวิญญาณในร่างกายภายใต้เสื้อคลุมดำกลับแกร่งกว่าวิญญาณเขาตอนก่อนหน้านี้เกือบสามส่วน

มิหนำซ้ำขั้นพลังยังเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ระดับการเพิ่มขึ้นน่าตะลึงกว่าวิญญาณ แต่หากเทียบกับแหวนสีขาวแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่โชควาสนา โชควาสนาที่แท้จริงคือแหวนสีขาวต่างหาก!

สมบัติล้ำค่าที่แม้แต่ฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนยังหายากยิ่ง ระดับความล้ำค่าของมันไม่อาจบรรยาย ตอนนี้มันกลายเป็นของซูหมิงแล้ว!

ในสมบัติล้ำค่าแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายพลังของขั้นไม่อาจกล่าว หากซูหมิงเข้าใจมัน มันจะมีส่วนช่วยต่อเขาอย่างมาก ถึงขั้นเพียงนำสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ไว้ข้างกาย ก็เท่ากับว่ามอบโอกาสเสี้ยวหนึ่งในการให้เขาก้าวไปสู้ขั้นพลังไม่อาจกล่าว!

โอกาสแบบนี้มากพอจะทำให้ผู้ฝึกฌานทุกคนบ้าคลั่ง นี่ต่างหากคือโชควาสนา ครั้งใหญ่ที่ซูหมิงได้รับ!

ภายในแหวนสีขาว ซูหมิงกำลังนั่งฌานสมาธิ ตรงหน้าเขาคือไป๋เฟิ่งซึ่งกลายเป็น หญิงชรา นางนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เหม่อมองไปนอกแหวนโดยไม่พูดมาสามวันแล้ว

นางเงียบ ซูหมิงก็ไม่ได้พูดอะไรกับนาง ความจริงแล้วที่เขาช่วยอีกฝ่ายเป็นเพราะในใจเกิดเสี้ยวความปลงอนิจจัง ปลงอดีต ปลงภูเขาทมิฬ ปลงแผนการวัฏจักรรวมถึงเสียงถอนหายใจในสายลมหิมะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version