Skip to content

สู่วิถีอสุรา 115

ตอนที่ 115 จะไม่ทำพลาดอีก

ตั้งแต่ได้สัมผัสกับนักรบหมานจากชนเผ่าเหล่านั้น

ยามนี้ผ่านมาแล้วสองเดือน ซูหมิงยังคงอาศัยอยู่ที่นี่ หลอมโอสถแดนใต้ตลอดทั้งวัน ทำให้อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นเรื่อยๆ

ยามนี้เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในถ้ำ หลังจากกินโอสถชำระล้าง ก็นั่งบำเพ็ญเพียรอย่างสงบนิ่ง เส้นเลือดสองร้อยสี่สิบสามเส้นบนตัวเขา เหลือเพียงสิบเส้นที่ยังมืดสลัว ส่วนที่เหลือดูมีพลังชีวิต

ในช่วงเวลาหนึ่งปีกว่าพร้อมกับโอสถแดนใต้

ในที่สุดอาการบาดเจ็บสาหัสและภัยแฝงก็ค่อยๆ หายไป ในช่วงเวลาหนึ่งปีนี้เขาคิดถึงชนเผ่า คิดถึงท่านปู่ คิดถึงเสี่ยวหง ไป๋หลิง และยังมีเหลยเฉิน

ซูหมิงไม่ทราบว่าตอนนี้ชนเผ่าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ทราบว่าเสี่ยวหงจะยังซุกซนอย่างมีความสุขบนภูเขาทมิฬหรือไม่ ไม่ทราบว่าหลังจากตนผิดสัญญากับไป๋หลิงแล้ว นางยังรออยู่หรือเปล่า

ทุกครั้งที่นึกถึงสิ่งเหล่านี้ ซูหมิงจะเจ็บปวดหัวใจ ตนอยู่ในแดนแปลกตาเพียงลำพัง มองดวงจันทร์บนท้องฟ้า เขาคิดถึงบ้าน คิดถึงท่านปู่ที่เขาไม่เชื่อว่าตายตกไปแล้ว และยังมีทุกอย่างที่คุ้นเคย ทว่าตำแหน่งโดยละเอียดของบ้าน เขากลับไม่มีเบาะแส ทราบเพียงอย่างเดียวคือเป็นเขตแดนพันธมิตรตะวันตก เผ่าร่องลมสืบสายเลือดมาจากเผ่าเหมียวหมาน

ทว่าพันธมิตรตะวันตกกับแดนอรุณใต้ เห็นได้ชัดว่าอยู่ห่างกันมากโข เขาไม่ทราบเส้นทางโดยละเอียดเลย

“ข้าต้องหาแผนที่ไปยังพันธมิตรตะวันตก!”

“อีกอย่าง ข้าต้องแข็งแกร่งขึ้น ถึงจะมีพลังตามหาบ้านจนพบ…..มีแค่ตัวข้าแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ถึงจะทำให้พวกคนเสื้อคลุมดำชดใช้อย่างสาสมได้!”

ภายในเวลาหนึ่งปีกว่า ซูหมิงขบคิดถึงสงครามกับชนเผ่าภูผาดำอยู่บ่อยครั้ง ในสงครามครั้งนั้นมีเงื่อนงำที่เขามองข้ามไปจำนวนมาก เงื่อนงำเหล่านี้ล้วนชี้ไปทางคนเสื้อคลุมดำ

ซูหมิงพลันลืมตาขึ้น ตื่นจากฌานสมาธิ มองความมืดมิดรอบตัว ความรู้สึกโดดเดี่ยวแล่นเข้ามา ความรู้สึกเช่นนี้เวลาหนึ่งปีกว่าไม่ทำให้เขาเคยชินหรือปรับตัวได้เลย

ซูหมิงอยู่ภายในถ้ำมาเป็นเวลานาน จึงเดินออกมาอย่างเงียบๆ ผ่านรอยแยกจนถึงปากถ้ำ เขามองดวงจันทร์บนท้องฟ้า โดยรอบเงียบสงัด ก่อนนั่งลงด้านข้าง สูดอากาศเย็นชื้นอยู่เล็กน้อย จากนั้นหยิบสวินกระดูกขนาดเท่ากำปั้นมาจากอกเสื้อ ลูบด้านบนเบาๆ

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไร นอกจากซูหมิงแล้วไม่มีใครได้ยินเสียงเพลงสวิน ราวกับมันก้องกังวานอยู่ภายในที่แห่งนี้ เสียงของมันแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้า ผ่านไปนานยังไม่เลือนหาย

ซูหมิงไม่อาจบรรเลงเป็นจังหวะ บนตัวสวินกระดูกมีรอยร้าวเล็กน้อย ไม่อาจเป่าจนเกิดเสียงได้ เสียงนี้ไม่ได้มาจากการเป่า แต่มันอยู่ในจิตใจของเขา เขาถือสวินกระดูก หลับตานึกถึงบทเพลงในจิตใจ

ในดินแดนแห่งนี้ มันเป็นสิ่งเดียวที่อยู่เป็นเพื่อนเขา เขาฟังจนราวกับมีเพลงสวินดังขึ้นข้างหูจริงๆ เหมือนกับว่าพบเจอความคุ้นเคยจากในนั้น

ทุกครั้งที่เหงา มักจะนึกถึงความงดงามที่เคยมี

ทุกครั้งที่โดดเดี่ยวจะนึกถึงความสุขในวันวาน…..

ผ่านไปนานจนดวงจันทร์บนท้องฟ้าสว่างจ้าที่สุด ซูหมิงหลับตานั่งอยู่ตรงนั้น มีแสงจันทร์ลอยอยู่บนตัวเขา ค่อยๆ กลายเป็นเงารางก่อขึ้นจากแสงจันทร์ ลอยมาจากในร่างกายเขา โอบล้อมรอบตัว

เงารางที่ว่านั่นเป็นค้างคาวจันทราหลายตัว พวกมันมีชีวิตเป็นนิรันดร์หลังจากจ้าวหมานเพลิงแสดงอภินิหาร แม้จะบอกว่าถูกเทพหมานใช้เคล็ดวิชาสร้างจากบรรพกาลปรับเปลี่ยนให้มีร่างกายเป็นสัตว์กึ่งคน ทว่ากาลเวลาก็ผ่านมานานนับหมื่นปี พลังจากอภินิหารในตอนนั้นย่อมเสื่อมลงไม่น้อย ทำให้ชีวิตนิรันดร์ของพวกมันราวกับเกิดรอยรั่ว

แต่การต่อสู้กับปี้ถูและคนเสื้อคลุมดำ กลับไม่เพียงพอจะสังหารพวกมัน สิ่งที่สลายไปมีเพียงร่างกายเท่านั้น วิญญาณของพวกมันยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวซูหมิง ซ่อนอยู่ในร่างกายของเขา มันจะปรากฎตัวเมื่อแสงจันทร์สาดส่อง เว้นแต่จะเป็นคนฝึกฝนวิชาหมานเพลิง มิเช่นนั้นแล้ว ผู้อื่นจะมองไม่เห็นพวกมัน

ในจุดนี้ซูหมิงยังหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ เป็นเพียงความรู้สึกจากวิญญาณค้างคาวจันทราเหล่านั้น

นี่เป็นที่พักพิงที่ดีที่สุดของซูหมิงในยามนี้ และเขาไม่สนใจด้วยว่าเด็กหนุ่มที่เขาสอบถามข้อมูลเมื่อสองเดือนก่อน จะนำเรื่องเขาไปบอกคนอื่นหรือไม่ เขาไม่อยากสังหารผู้อื่นอย่างไร้เหตุผล ทว่าหากมีคนมาหาเรื่องเขา ก็ต้องเตรียมตัวตาย

เมื่อดวงจันทร์บนท้องฟ้าเลือนหาย แสงตะวันยามรุ่งอรุณโผล่ตรงขอบฟ้า มีเสียงร้องเรียกเบาๆ ดังมาจากป่าฝนใต้ภูเขา

“ผู้อาวุโส……ผู้อาวุโส…..”

“ผู้อาวุโส ข้าผิดไปแล้ว…..ผู้อาวุโส…”

สีหน้าซูหมิงเรียบเฉย เสียงนี้เขาได้ยินแทบทุกวันตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ป่าฝนกว้างใหญ่ เทือกเขามากมาย การจะหาคนคนหนึ่ง ถึงไม่บอกว่าเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร แต่ก็ใกล้เคียง

เสียงดังกล่าวเป็นของเด็กหนุ่ม เมื่อสองเดือนก่อนในช่วงที่ซูหมิงจากไป เขาได้คาดการณ์ล่วงหน้าเอาไว้แล้ว เด็กหนุ่มคนนั้นคงลังเลอยู่ว่าจะพูดหรือไม่พูดดี หากพูดก็อาจเป็นที่สนใจของชนเผ่าอื่น และอาจมีผู้แข็งแกร่งเข้ามา

ทว่าด้วยความใหญ่ของป่าหานก่วง การจะหาคนคนหนึ่งไม่ง่าย อีกทั้งหากซูหมิงคิดหลบ ก็ยิ่งหายากไปกว่าเก่า

ที่สำคัญสุดคือ คนเหล่านี้มาขอร้องเขา จากความฉลาดของเด็กหนุ่ม หากเป็นเช่นนั้นคงไม่เกิดผลประโยชน์ใด กลับกันอาจสงผลเสียต่อซูหมิง

เด็กหนุ่มไม่ทำให้ซูหมิงผิดหวัง ภายในเวลาสองเดือน เขามาเพียงคนเดียวอยู่บ่อยครั้ง และจะร้องเรียกซูหมิงเช่นนี้

ซูหมิงได้ยินเสียงร้องเรียกดังมาแต่ไกล ทว่าก็ไม่สนใจ ลุกขึ้นกลับเข้าไปในถ้ำและหลอมโอสถแดนใต้ต่อเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง ผ่านไปหลายวัน เสียงจึงค่อยๆ หายไป

ผ่านไปอีกครึ่งเดือน ตอนที่เส้นเลือดดำซูหมิงเหลือเพียงเก้าเส้น เขาได้ยินเสียงเบามาจากในป่าฝนอีกครั้ง

“ผู้อาวุโส……ผู้อาวุโส…..”

เสียงร้องเรียกดังติดต่อกันสองวันและยังคงดังต่อไป ซูหมิงลืมตาขึ้นจากฌานสมาธิ สีหน้าดูครุ่นคิด

“ความผิดแบบเดิม ข้าจะไม่ทำพลาดเป็นครั้งที่สอง……” ซูหมิงราวกับนึกอะไรได้ จึงเดินออกมาจากถ้ำ หลังจากสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์แล้ว ร่างกายขยับไหว วิ่งห้อเข้าไปในป่าฝน

ณ ป่าฝน สีหน้าฟางมู่ยังคงสำนึกเสียใจภายหลัง ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความรอบคอบและตื่นตัว ในมือถือดาบกระดูกสีดำ ดาบเล่มนี้ปล่อยไอหนาวเยือก มันเป็นอาวุธป้องกันตัวของเขา ถึงอย่างไรเขาก็ออกจากชนเผ่าเพียงลำพัง นี่เป็นเรื่องที่อันตรายยิ่งนัก หากเจอศัตรูเข้า มีดาบเล่มนี้อยู่ยังพอใช้ประโยชน์ได้

เขาวิ่งอยู่ในป่าฝน พลางเรียกคำซ้ำๆ ในช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา

“ผู้อาวุโส……ผู้อาวุโส……”

ผ่านไปนาน เขาหอบหายใจแรง หลังพิงต้นไม้ข้างๆ สีหน้าดูจนปัญญายิ่งนัก

“หรือว่าคนประหลาดจะจากไปแล้ว มิเช่นนั้นตลอดเกือบสามเดือนที่ผ่านมาก็น่าจะได้ยินเสียงตะโกนของข้าบ้าง….เฮ้อ หากเขายังไม่จากไปก็คงไม่ยอมพบข้า” ฟางมู่ถอนหายใจเบา สีหน้าดูอมทุกข์ หลังจากมองไปรอบๆ แล้วจึงกัดฟันเดินหน้าต่อไป

“ผู้อาวุโส…..ท่านอยู่หรือไม่!” เห็นตะวันใกล้ลาลับ บนท้องฟ้ามีเงาจันทร์เลือนราง สีหน้าเขาดูถอดใจ ตะโกนไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง

“อยู่”

ฟางมู่เพิ่งกล่าวจบ มีน้ำเสียงเย็นเยือกพลันดังมาจากด้านหลัง ทำให้เขาตกใจสะดุ้ง ยืนขึ้นกระโดดไปเบื้องหน้า หมุนตัวกลับด้วยความตื่นตัวพร้อมกับยกดาบในมือ ในช่วงที่เขาเห็นเงาคนยืนอยู่บนกิ่งไม้ด้านหลังก็มีท่าทางดีใจทันที

“ผู้อาวุโส กว่าข้าจะหาท่านเจอ นี่ก็สามเดือนแล้ว” ฟางมู่รีบเก็บดาบกระดูก มองเงาคนภายใต้เสื้อคลุมหนังสัตว์ด้วยความตื่นเต้น รีบเดินเข้าไปหลายก้าว แล้วคารวะซูหมิงหนึ่งครั้ง

“ผู้อาวุโสช่วยข้าด้วย ผู้เยาว์นามฟางมู่ ก่อนหน้านี้ปิดบัง แท้จริงแล้วข้าเป็นคนเผ่าบูรพาสงบ บิดาข้าเป็นจ้าวเผ่า ขอแค่ผู้อาวุโสช่วยบรรเทาอาการบาดเจ็บของข้า ผู้เยาว์และบิดาจะตอบแทนอย่างงามแน่นอน ดาบเล่มนี้ถือเป็นการขอขมาที่ผู้เยาว์เสียมารยาทปกปิดความจริงก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสโปรดรับไว้”

เด็กหนุ่มนามฟางมู่สีหน้าดูจริงใจยิ่งนัก หลังจากยืนคารวะซูหมิงแล้วจึงรีบยื่นดาบกระดูกสีดำให้ด้วยสองมือ

ดาบกระดูกเล่มนี้เปล่งประกายสีดำ เผยกลิ่นอายทะมึนทึบ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของธรรมดา แต่เป็นศาสตราวุธหมานเลียนแบบเหมือนกับหอกเกล็ดโลหิต สิ่งนี้เป็นของล้ำค่ายิ่งนักสำหรับชนเผ่าเล็ก

นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย มองดาบเล่มนี้จากมือเด็กหนุ่ม เขาเดาได้ไม่ยากว่าสามชนเผ่าที่ครอบครองเมืองเขาหานจะต้องเป็นเผ่าระดับกลาง ไม่ใช่เผ่าเล็กอย่างแน่นอน

ร่างขยับไหว ซูหมิงเดินมาอยู่เบื้องหน้าฟางมู่ มองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง แล้วจึงหยิบดาบกระดูกสีดำ เขาไม่ได้ขับเคลื่อนพลังโลหิต แต่เป็นวิญญาณค้างคาวจันทราจากในร่างเข้าไป ทำให้ดาบกระดูกพลันขยับแสงสีดำในทันที ไอหนาวมลายหาย ตัวดาบกลายเป็นสีแดงราวกับถูกแผดเผา กระจายไอความร้อน

ต้นไม้โดยรอบราวกับถูกเผาไหม้ในชั่วพริบตา คลับคล้ายแห้งเหี่ยวก็มิปาน

ไอร้อนปะทะเข้าใส่หน้า ทำให้ฟางมู่รีบถอยหลัง สีหน้าตื่นตะลึง หัวใจเต้นแรง เขามองไม่เห็นถึงขั้นพลังของซูหมิง ทว่าก็ทราบดี ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งรุ่นเดียวกันในเผ่า ก็ไม่อาจทำให้ดาบกระดูกแสดงอานุภาพพลังได้เช่นนี้ มีเพียงแค่บุคคลอย่างท่านพ่อเท่านั้น ในช่วงที่บิดาส่งดาบเล่มนี้ให้เขาก็เคยเกิดเหตุการณ์น่าตะลึงเช่นนี้มาก่อน ทว่าไม่ใช่ความร้อน แต่เป็นความหนาวเยือก

‘หรือว่า…หรือว่าเขาจะเป็นขั้นชำระล้าง!’ ฟางมู่ปากแห้ง ดีใจที่ตนไม่ได้นำเรื่องนี้ไปบอกคนอื่น แต่เลือกมาคนเดียว มิเช่นนั้นแล้วคงจะทำให้บุคคลนี้ไม่พอใจ อาจเกิดผลลัพธ์ร้ายแรง

ฟางมู่มองไม่เห็นสีหน้าของซูหมิง ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกลึกลับ ทันใดนั้นซูหมิงพลันยกมือซ้าย แล้วนำเม็ดโอสถสองเม็ดที่ฟางมู่ยังเห็นไม่ชัดยัดใส่ปากเขาด้วยความเร็วประดุจสายฟ้า ขับเคลื่อนพลังโลหิตเล็กน้อย ทำให้โอสถสองเม็ดละลาย แม้แต่ลักษณะของมันฟางมู่ยังสัมผัสไม่ได้ รู้สึกเพียงในปากมีไอร้อนหลอมละลายเข้าสู่ร่างกาย

“ให้เวลาเจ้าสิบห้าลมหายใจ จำสมุนไพรชนิดนี้ให้ได้ ครั้งหน้านำมาหนึ่งพันต้นเพื่อแลกยารักษา! นอกจากนี้แล้ว ข้ายังไม่ชอบให้มีคนมาแอบมอง แค่ครั้งนี้เท่านั้น!” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง ทว่ากลับมีความเย็นชาจากเสียงแหบพร่า มือขวาถือดาบกระดูกกวัดแกว่ง เปลือกต้นไม้ข้างกายหลุดร่วง เผยให้เห็นเป็นลักษณะสมุนไพรชนิดหนึ่ง รูปร่างของมันคือสมุนไพรสำหรับการหลอมโอสถวิญญาณผา ใบตาข่ายเมฆา!

จากนั้นเขาไม่สนใจฟางมู่อีก แต่เหยียบอากาศลอยขึ้น ใต้ฝ่าเท้าเขามีวิญญาณค้างคาวจันทรา เหยียบขึ้นไปทีละตัว จึงทำให้ซูหมิงในยามนี้เดินอากาศได้

ผู้อื่นมองไม่เห็นวิญญาณค้างคาวจันทราใต้ฝ่าเท้า ในสายตาของฟางมู่ เมื่อซูหมิงเดินเหยียบอากาศขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาเบิกตากว้าง สูดลมหายใจ

“ขั้นชำระล้างจริงๆ …” ผ่านไปนาน เขาจึงเรียกสติกลับมา ทว่าไม่นานก็นึกถึงคำพูดของซูหมิงท่อนสุดท้ายก่อนจากไป เหม่อลอยไปเพียงชั่วครู่ รีบมองไปรอบๆ พบว่ามีเงาคนสูงใหญ่ค่อยๆ เดินมาจากในป่าฝน

“ท่านพ่อ!” ฟางมู่ขยี้ตา ดูตกใจยิ่งนัก

ชายฉกรรจ์สวมเสื้อคลุมสีฟ้า เดินมายืนข้างฟางมู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มองทิศทางที่ซูหมิงจากไป ขมวดคิ้วขึ้น

“อาการบาดเจ็บดีขึ้นหรือไม่?” เขากล่าวเสียงต่ำ

ฟางมู่จิตใจสั่นไหว รีบตรวจสอบอาการบาดเจ็บในร่างกาย พบว่ามันดีขึ้นเล็กน้อยจริงๆ จึงพยักหน้า

“ท่านพ่อ ท่านตามข้ามาตลอดเลยหรือ ไม่อยากเชื่อว่าผู้อาวุโสจะเห็นท่าน หรือว่าเขาเป็นขั้นชำระล้างจริงๆ ?”

“ไม่เหมือน…พลังโลหิตในร่างกายเขามี…” ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้ว ยังไม่ทันกล่าวจบ ภาพใบตาข่ายเมฆาบนต้นไม้ด้านข้างค่อยๆ กลายเป็นเศษผงปลิวหายไป นี่เป็นจุดแข็งของพลังความละเอียดอ่อน พลังโลหิตทุกเส้น เขาควบคุมมันได้อย่างประณีต

“สิบห้าลมหายใจพอดี…..นี่คือความละเอียดอ่อนของขั้นชำระล้าง!” ชายฉกรรจ์พลันหรี่ตาลง

“จบสิ้นแล้ว ข้ายังไม่ทันได้จำรูปร่างของมันเลย!” ฟางมู่ข้างกายดูร้อนรนทันที

“มันคือใบตาข่ายเมฆา ข้าจะช่วยเจ้าหามันเอง บุคคลนี้เจ้าจงจำเอาไว้ว่าต้องเคารพให้มาก อย่าใช้คำพูดล่วงเกินเป็นอันขาด มองเขาเป็นเหมือนผู้อาวุโสในชนเผ่า บางทีเขาอาจจะเป็นโชคดีของเจ้า” ชายฉกรรจ์สูดลมหายใจเข้าลึก แม้จะสงสัย ทว่าก็เชื่อเจ็ดถึงแปดส่วน จึงหันกลับไปกำชับอย่างเข้มงวด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version