Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1185

ตอนที่ 1185 เส้นทางแห่งชีวิต

‘วิหารเหล่าเทพ เล่าลือว่าเป็นต้นกำเนิดของเทพบรรพชนทั้งหมด….’ ซูหมิงมองโครงกระดูกนั้น คิ้วขมวดขึ้น โครงกระดูกนี้มาพร้อมกับความเก่าแก่ เห็นได้ชัดว่าอยู่ที่นี่มานานไม่รู้กี่ปีแล้ว

แต่วิหารเหล่าเทพแยกออกจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์ หากไม่ใช่ยันต์กดตะวัน ซูหมิงคงไม่มีทางเข้ามาที่นี่ อีกทั้งยังถูกขังอยู่ที่นี่สี่ปี เขามองโครงกระดูกนั้น ดวงตาโครงกระดูกว่างเปล่าก็เหมือนมองเขาเช่นกัน คล้ายๆ กับมีการเย้ยเยาะเล็กน้อย เย้ยเยาะความคิดที่ซูหมิงอยากออกจากที่นี่ เย้ยอนาคตของเขาที่บางทีอาจจะเหมือนกับเขาที่เลือดเนื้อหายไปกลายเป็นโครงกระดูก

บางทีกระดูกสีดำอาจจะเกิดจากการตกตะกอนจากกระดูกหลังตายมานาน และก็เป็นไปได้ว่า…เขาอาจจะกินโลหิตสัตว์ร้ายมากกว่าซูหมิงจึงทำให้ร่างกลายเป็น สีดำ ซ้ำแล้วกระดูกยังเป็นเช่นนี้

‘เซ่นไหว้…ของเซ่นไหว้…’ ซูหมิงถอนหายใจเบา เขายังจำได้ว่าเมื่อสี่ปีก่อนหลังถูกยันต์กดตะวันเหนี่ยวนำมาโดยไม่ทราบสาเหตุแล้ว ตอนที่จะเคลื่อนย้ายตนมาที่นี่ ก็มีเสียงอื้ออึงดังก้องมาจากในยันต์กดตะวัน

‘ไม่มีของเซ่นไหว้ ก็เซ่นไหว้ตัวเอง…คนเซ่นไหว้น่าจะพูดถึงข้า ตามสภาพการณ์ตอนนั้นแล้ว ข้าทำบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจซึ่งไปสอดคล้องกับเงื่อนไขการเปิดบางอย่างในรอบไม่รู้กี่ปีของยันต์กดตะวัน เพียงแต่หลังการกระทำนั้นของข้าเปิดยันต์กดตะวันแล้ว ข้าทำไม่ได้ ดังนั้นเลย ถูกลงโทษ เลยกลายเป็นของเซ่นไหว้ถูกส่งมาที่นี่’ ความจริงซูหมิงเข้าใจเรื่องนี้ เมื่อหลายปีก่อนแล้ว ของเซ่นไหว้ที่ว่ามีความเป็นได้เดียวคือวิญญาณของร่างแยกกลืนนภา และก็มีเพียงจิตสำนึกที่เกิดขึ้นเองจาก วงแหวนอาคมธูปสวรรค์แบบนี้เท่านั้นที่บางทีอาจจะสอดคล้องกับเงื่อนไขของเซ่นไหว้ สอดคล้องกับเทพจากในคำว่าวิหารเหล่าเทพ

เพียงแต่ตอนนั้นซูหมิงเก็บวิญญาณร่างแยกกลืนนภาไป นี่จึงเท่ากับว่าหลังเปิดยันต์กดตะวันแล้ว เขาไม่เอาของเซ่นไหว้ออกมา ดังนั้นเลยเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ตามมา

‘ในเมื่อที่นี่มีโครงกระดูกและข้าถูกส่งมาที่นี่ เช่นนั้นบางทีที่นี่อาจจะไม่ได้เปิดมานานมาก แต่ที่นี่จะต้องมีโครงกระดูกแบบนี้อีกไม่น้อยแน่ กระทั่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีคนเป็น’ ซูหมิงดวงตาวาววับ เขาหาคำตอบนี้มาตลอดสี่ปี หากอยากออกจากที่นี่ การหาคนรอดรอดที่นี่เป็นวิธีหนึ่ง ต่อให้ไม่มีคำตอบ แต่ก็เข้าใจเรื่องวิหารเหล่าเทพที่ว่าได้

เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง สายตามองฟ้าสีขาวนอกถ้ำ รู้ว่าหมอกสีขาวข้างนอกจะอยู่อีกเจ็ดวัน จากนั้นสีจะเปลี่ยนไป เมื่อสีเปลี่ยนจะเกิดอันตรายต่างกัน จนกระทั่งสีแดงมาเยือนแผ่นดินอีกครั้ง นี่เหมือนกับวัฏจักร

ซูหมิงหันไปมองถ้ำอีกแวบหนึ่งด้วยสีหน้าแน่วแน่ เขาอยู่ถ้ำนี้มาหลายปีแล้ว ยังคงอยู่แค่รอบๆ บริเวณนี้มาโดยตลอด ซึ่งเป็นที่ที่ให้เขาหลบก่อนพวกตัวประหลาดในหมอกสีแดงเหล่านั้นจะมา

แต่ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่แผนระยะยาว หากจะออกจากที่นี่จะต้องเข้าใจ โลกภายนอกมากกว่านี้ อย่างน้อยต้องรู้ที่มาของร่างเงาในหมอกแดงเหล่านั้น อย่างน้อย…ต้องเข้าไปในวิหารยักษ์ที่เคยปรากฏบนฟ้า บางทีอาจจะพบวิธีออก จากที่นี่

ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาขยับประกายวาว ผิวหนังเขาพลันแก่ชราลงอย่างรวดเร็ว ร่างกายแก่ชราลงทีละน้อย เส้นผมเป็นสีขาว กลิ่นอายมรณะอบอวลในตัว นี่คือวิธีลดการใช้พลังในร่างกายให้น้อยที่สุดอย่างหนึ่งที่เขาคิดขึ้นเองตลอดสี่ปีมานี้ เพื่อรักษาพลังของสมบัติล้ำค่าไม่ให้ใช้อย่างสิ้นเปลือง

หลังกลายเป็นชายชราแล้ว เขายืนขึ้นเดินออกจากถ้ำ ช่วงที่เดินออกมาก็มองทอดไกล หมอกขาวม้วนตลบบนแผ่นดิน หมอกปกคลุมบนฟ้าจนเป็นสีขาวมองไม่เห็นสุดปลาย

อีกทั้งยังไม่มีเสียงใดๆ ที่นี่เงียบสงบราวกับหลุมศพใหญ่ ซูหมิงเดินลงเขามาเงียบๆ ก่อนมุ่งหน้าไปทางตะวันออกอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจหมอกเหล่านั้น เขาไม่ได้ใช้พลัง แต่ใช้เพียงขาสองข้าง แม้ไม่อาจเทียบกับการห้อเหยียดด้วยพลัง แต่ก็เร็วกว่าคนธรรมดามาก

จุดนี้ ตอนที่ซูหมิงเพิ่งเข้ามาในโลกหมอกก็ยังไม่ชินมาก อีกทั้งยังช้ามากด้วย ความรู้สึกอ่อนแอที่ใช้พลังไม่ได้ทำให้ร่างกายเขาเหมือนจะรับไม่ได้ ทว่าเมื่อได้กินเลือดสัตว์ร้ายเหล่านั้น โลหิตเขาถูกเปลี่ยนไป อีกทั้งคุณสมบัติร่างกายยังถูกเปลี่ยนไปด้วยช้าๆ

เขาไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ดีหรือไม่ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องการมันที่นี่

เขาคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมโดยรอบมากแล้ว ตลอดทางไม่มีการหยุดพักใดๆ จนวันที่สี่มาถึง เขายืนอยู่บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่งทางตะวันออก ตอนที่หันกลับไปมอง แม้สายตาจะถูกหมอกบดบัง แต่ก็ยังหาถ้ำที่อยู่มาหลายปีพบ

เพราะที่เขาอยู่ตรงนี้คือจุดที่ไกลที่สุดเท่าที่เขาเคยมาระหว่างการสำรวจสี่ปี

เขามองถ้ำที่ถูกบังด้วยหมอก สีหน้ามีความแน่วแน่ เขาซ่อนตัวอยู่ที่นั่นปลอดภัยมากจริงๆ แต่ในความปลอดภัยก็เท่ากับถูกขังอยู่ที่นั่นด้วย จุดจบก็จะกลายเป็นเหมือนกับโครงกระดูกนั้น

หากอยากออกจากวิหารเหล่าเทพสมควรตายนี้ก็ต้องออกจากถ้ำปลอดภัย แม้ภายนอกจะอันตรายมาก แต่ในความอันตรายก็ยังมีเสี้ยวโอกาสที่จะได้ออกจากที่นี่

การตัดสินใจแบบนี้มิใช่จะแน่วแน่กันได้ง่ายๆ ถึงอย่างไรหากทุกสิ่งมีชีวิตหาที่ปลอดภัยเจอในสภาพแวดล้อมอันตราย หากจะให้เขาออกไปอยู่ในอันตรายอีกครั้ง นี่ถือเป็นการย้อนแย้งกับนิสัยคนและสัญชาตญาณการมีชีวิต

สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่จะเลือกอยู่ที่ปลอดภัย แม้จะรู้อยู่แล้วว่าจะไม่เกิดผลใดๆ รู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายต้องตาย แต่ตายช้าวันหนึ่งก็ดีกว่าตายเร็วกว่ามาก

ซูหมิงก็อยู่เงียบๆ มาหลายปีถึงเกิดความเชื่อมั่นนี้ขึ้น ยามนี้มองไปข้างหลัง อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้วก็หันหน้ากลับมาแล้วมุ่งหน้าลงจากยอดเขาที่เขาเคยมาไกลที่สุดในอดีต พุ่งผ่านหมอกไปยังจุดที่เขาไม่เคยไปมาก่อนตลอดสี่ปี

หมอกปกคลุมสายตา จึงมองไม่เห็นจุดที่ห่างไปเพียงไม่กี่ชุ่น ทุกครั้งที่ใช้จิตสัมผัสจะหมายถึงเสียพลังไปหนึ่งครั้ง ดังนั้นซูหมิงจึงใช้จิตสัมผัสปกคลุมโดยรอบน้อยมาก นอกจากจะเสียพลังแล้ว ที่สำคัญกว่าคือยังนำปัญหามาให้ด้วย

นี่คือบทเรียน เป็นบทเรียนที่ซูหมิงผ่านมาสี่ปีแล้ว ตอนนั้นที่เขาถูกสิ่งมีชีวิต ในหมอกแดงล่าสังหารก็เพราะว่าจิตสัมผัสเขาไปเหนี่ยวนำร่างเงาในหมอกแดง คนแรกมา

ทุกสิ่งมีชีวิตที่นี่เหมือนจะไวต่อจิตสัมผัสยิ่ง ใช้เพียงเล็กน้อยพวกมันก็สังเกตเห็นแล้ว

ดังนั้นหากไม่จำเป็นจริงๆ เขาจะไม่ใช้จิตสัมผัส ทว่าในหมอกขาวแบบนี้ ในสีขาวที่ปลอดภัยที่สุดในหมอก ซูหมิงก็ยังคงใช้จิตสัมผัสกวาดไปรอบๆ

จิตสัมผัสเขาถูกลดทอนลงและจำกัดภายในหมอก ดังนั้นต่อให้ใช้อย่างเต็มที่ก็ไม่ได้ขยายไปไกลนัก เขาเพียงแค่อยากประทับภูมิประเทศลงในความคิดเท่านั้น ถึงจะมองไม่เห็นรอบๆ แต่ก็ไม่หลงทาง

เวลาผ่านไปทีละวัน ซูหมิงยังคงเดินหน้าไม่หยุดจนเดินครบเจ็ดวันโดยไม่มีเวลาพัก ตอนที่หมอกโดยรอบค่อยๆ เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีฟ้า

เขาเดินทางไปไกลมาก จนกระทั่งในหมอกขาวปรากฏสีฟ้าขึ้น เห็นได้ชัดว่าซูหมิงผ่อนคลายลงเล็กน้อย จิตใจที่ตื่นตัวตลอดผ่อนคลายตาม จากนั้นนั่งขัดสมาธิลงพักผ่อนเล็กน้อย

ซูหมิงที่อยู่ที่นี่มาสี่ปียังหากฎของหมอกที่นี่ไม่พบ เขารู้เพียงว่าหลังจากสีแดงแล้วจะต้องเป็นขาวแน่ๆ แต่หลังจากสีขาวคืออะไรไม่อาจคาดการณ์ได้ มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสีฟ้า เขียวหรือไม่ก็ม่วง ถึงขั้นมีโอกาสเป็นสีแดง

ดังนั้นเจ็ดวันคือขีดจำกัดและเป็นการเดิมพัน ฉะนั้นแล้วระยะทางที่เขาเดินไปไกลที่สุดจึงไม่มีทางเกินสี่วัน เพราะเขาจะต้องมีเวลามากพอในการกลับถ้ำตัวเอง ในอดีตด้วย

เว้นแต่…จะออกไปล่าเหยื่อข้างนอก

ความตื่นตัว ความระวัง อยู่ในใจเขามาตลอดปีหลังอยู่ที่นี่มาสี่ปี ต่อให้ยามนี้หมอกขาวกลายเป็นสีฟ้า เขาก็ผ่อนคลายลงเพียงหนึ่งก้านธูปแล้วก็กลับมาตื่นตัว อีกครั้ง สายตามองไปรอบๆ อย่างระวังพลางเดินไปช้าๆ

เพราะนอกจากหมอกสีขาวกับสีแดงจะต้องอยู่ต่อเนื่องเจ็ดวันแล้ว หมอกสีอื่นจะอยู่ในเวลาที่ไม่แน่นอน มีโอกาสจะเป็นแค่วันเดียว และก็มีโอกาสเป็นเจ็ดวัน ถึงขนาดครึ่งวันหรือหนึ่งชั่วยาม ซูหมิงก็เคยเห็นกับตามาแล้ว

เขาเดินหน้าต่ออย่างไม่ลังเลด้วยความตื่นตัว ใช้ความเร็วทั้งหมดมุ่งหน้าไกลออกไป…

‘น่าเสียดายเอาร่างแยกกลืนนภาออกมาไม่ได้ มิเช่นนั้นคงจะเร็วขึ้นไม่น้อย’ ซูหมิงลอบถอนหายใจเบา เขาเคยลองเอาร่างแยกกลืนนภากับวิญญาณร่างแยก กลืนนภาออกมาจากถุงเก็บวัตถุหลายครั้งในสี่ปีก่อนเพื่อทำการยึดร่างและหลอมรวม แต่ว่าทุกครั้งเพียงแค่เปิดถุงเก็บวัตถุ เพียงแค่ร่างแยกกลืนนภาออกมา ต่อให้ข้างนอกเป็นหมอกขาวที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่มันจะกลายเป็นสีแดงในพริบตา ร่างเงาจำนวนมากจะปรากฏตัวขึ้นในทันใด

ซูหมิงจึงไม่มีเวลายึดร่างเลย หากยืนหยัดต่อ เขาจะอยู่กลางวงล้อมตัวประหลาดในหมอกแดง

หลังหมอกฟ้าอยู่ติดกันสามวันก็เปลี่ยนเป็นสีส้ม แต่หลังหมอกส้มอยู่ติดกัน ห้าวันแล้ว ตอนที่ซูหมิงเดินทางมาครึ่งเดือน หมอกส้มก็เปลี่ยนเป็นสีม่วง

ทันทีที่หมอกม่วงปรากฏ ซูหมิงพลันมีสีหน้าตื่นตัวยิ่งกว่าเดิม หมอกม่วงนี้คือหมอกแห่งการล่าในสี่ปีมานี้ของเขา

สิ่งมีชีวิตที่เมื่อกินไปแล้วจะฟื้นพลังจะปรากฏตอนสีม่วงเท่านั้น และสิ่งที่ซูหมิงตื่นตัวไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังมีสิ่งที่เขาสังเกตมาไม่รู้กี่ครั้งตลอดสี่ปีจนสรุปออกมาเป็นกฏที่มีความเป็นไปได้สูงมาก

หลังจากสีม่วงจะต้องเป็นสีแดงแน่นอน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version