ตอนที่ 1186 หมอกแดงมาเยือน
โครม!
ภายในหมอกแดงสีม่วง มือขวาซูหมิงบีบสัตว์ร้ายคล้ายพยัคฆ์ตัวหนึ่ง แต่ตรง หน้าผากกลับมีเขางอกหนึ่งเขา ตอนนี้ถูกเขาบีบบคอเอากดเอาไว้กับพื้นแน่น มือขวาเขามีเส้นเลือดดำปูด ระหว่างห้านิ้วมือมีพลังไหลเวียน ใบหน้าเขาแก่ชรา สีหน้า เรียบนิ่ง ส่วนมือขวาออกแรงบีบจนเกิดเสียงดังกรุบ คอสัตว์ร้ายถูกบีบจนหัก จากนั้นเขาก้มหน้าลงกัดเข้าที่คอมันพร้อมสูบไปคำใหญ่ โลหิตสีทองอ่อนจำนวนมากไหล เข้าสู่ปาก
ถึงพยัคฆ์ร้ายตัวนั้นจะคอหักแต่ก็ยังดิ้นรน ทว่าถูกมือขวาซูหมิงกดเอาไว้ จึงดิ้นรนอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อซูหมิงกินไปแล้ว มันก็ค่อยๆ แน่นิ่งไป
ผ่านไปครู่หนึ่งซูหมิงเงยหน้าขึ้น มุมปากเขาเต็มไปด้วยเลือด ตอนนี้หากคนอื่นเห็นจะต้องตกใจกลัวใจสั่นสะท้านแน่ เพราะยามนี้เขาดูเหี้ยมโหดอย่างยิ่ง ถึงร่างแยกเอ้อชางจะไม่อยู่ แต่ก็ยังมีกลิ่นอายมารแผ่ออกมา
ซูหมิงเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปากแล้วปล่อยมือขวาที่กดสัตว์ร้ายเอาไว้ จากนั้น ยืนขึ้นขยับวูบไหวพุ่งไกลออกไป ครั้งนี้เขาไม่ใช้ร่างกายเดินทางอีก แต่ใช้พลัง หากล่าเหยื่อในเวลาปกติเขาจะไม่ทำแบบนี้ แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอก ไม่รู้ว่าหมอกม่วงจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อใด เขาเลยต้องห้อทะยานไป
อีกอย่างนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการเขา และก็มีเพียงตอนสีม่วงปรากฏถึงจะมีสัตว์ร้ายเหล่านี้มาเติมพลังให้ เขาเลยลดความกังวลเรื่องใช้พลังได้เล็กน้อย
เขาเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็ว พริบตาเดียวก็ไปไกลออกไป ครู่ต่อมา สัตว์ร้ายคล้ายกับงูเหลือมตัวหนึ่งถูกซูหมิงบีบเข้าไปในกะโหลก อาศัยการที่ตัวมันรัดเขาแน่นเขาจึงไม่ต้องลดความเร็วลง ขณะห้อเหยียดยังกัดไปที่ตัวงูเหลือมสูบโลหิตไปจำนวนมาก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงปล่อยมือ ร่างงูเหลือมร่วงลงไป ส่วนความเร็วเขามากกว่าเดิม
เวลาผ่านไปช้าๆ เมื่อวันแรกของหมอกม่วงผ่านไป ซูหมิงพลันหยุดชะงัก เขาปล่อยหมาป่าที่ถูกเขาสูบโลหิตไปทั่วร่างลง ดวงตาเป็นประกายสีแดงหม่น นอกจากสีโลหิตแล้ว นี่คืออีกร่องรอยหนึ่งที่เกิดจากการกินโลหิตสัตว์ร้ายมาสี่ปี
เขาหยุดชะงัก ดวงตาวาววับ ก่อนเอียงศีรษะมองหมอกทางขวา จิตสัมผัสขยายไปอย่างรวดเร็วในพริบตาและหายไปอย่างเร็วไวในชั่วเสี้ยววูบเดียวเมื่อครู่ ในเสี้ยวพริบตานั้นเขาสังเกตเห็นว่ากลางหมอกทางขวามีภูเขาเล็กลูกหนึ่ง ในภูเขากลวง ตรงกลางมีระลอกคลื่นวงแหวนอาคมเบาบางอยู่รางๆ
ซูหมิงลังเลเพียงไม่กี่ลมหายใจก็เปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าไปยังภูเขาเล็ก ด้วยการใช้พลังในการเคลื่อนที่ ไม่นานก็มาถึงนอกภูเขาเล็ก ตอนที่มองไป ดวงตาเขาหรี่ลง
นี่คือภูเขาเล็กสีขาวลูกหนึ่ง แม้จะออกเป็นสีม่วงในหมอกม่วง แต่เขาก็ยังมองออกว่ามันเป็นสีขาว ในภูเขากลวงตรงกลางจริงๆ และมีระลอกคลื่นวงแหวนอาคมจริงๆ แต่ระลอกคลื่นนี้เสียหาย เมื่อซูหมิงขยับวูบไหวไปปรากฏบนยอดเขา ก็เห็นว่ายอดเขามีโพรงยักษ์แห่งหนึ่ง ในโพรงมีถ้ำ
ถ้ำนี้เสียหาย ซ้ำยังมีฝุ่น กระทั่งหมอกม่วงมุดเข้าใปอบอวลอยู่รอบๆ เล็กน้อย ซูหมิงขยับไหวก้าวเข้าไปในถ้ำ มองไปแวบแรกก็เห็นโครงกระดูกสองร่างถูกตรึงไว้บนผนังหินของถ้ำข้างๆ
หนึ่งร่างใหญ่อีกหนึ่งร่างเล็ก โครงกระดูกร่างใหญ่ดูแล้วคงเป็นบุรุษ ส่วนร่างเล็กคงจะเป็นเด็กอายุห้าหกขวบ ร่างกายพวกเขาบิดรูป เห็นได้ชัดว่าก่อนตายต้องทรมานมาก ลักษณะบิดรูปแบบนี้ทำให้ซูหมิงนึกถึงความเจ็บปวดตอนที่ตนถูกร่างเงาในหมอกแดงสูบพลังชีวิตไปเกือบหมด
พวกเขาถูกตรึงไว้บนผนังหิน สิ่งที่ตรึงร่างพวกเขาคือหอกกระดูกสีแดงสองเล่ม มันทะลวงเข้าไปในกระดูกพวกเขา ไม่รู้ว่าถูกตรึงมานานเท่าไรแล้ว
บนพื้นรอบๆ ยังมีเศษหินอีกไม่น้อย ซูหมิงยืนมองโครงกระดูกร่างใหญ่และเล็กเงียบๆ ก่อนมองหอกกระดูกสองเล่มที่ตอนนี้ก็ยังแผ่ความหนาวเยือก จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองอุโมงค์ยักษ์ข้างบนภายในถ้ำเงียบๆ
ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นภาพหนึ่งเอง ในภาพนั้น สองคนตัวใหญ่และเล็กที่ เดิมทียังไม่ใช่โครงกระดูกอาศัยอยู่ที่นี่เพื่อหลีกอันตรายจากข้างนอก แต่วันหนึ่ง ตอนที่หมอกข้างนอกเป็นสีแดง บางทีถ้ำพวกเขาอาจถูกคนทำลายมาจากข้างนอก…
เศษหินร่วงหล่นพร้อมกับหอกกระดูกสองเล่มเข้ามา มันตรึงร่างสองคนที่อาจเป็นพ่อลูกไว้กับผนังหิน ปล่อยให้พวกเขาร้องตะโกนเสียงแหลม ปล่อยให้พวกเขาถูกร่างเงากลางหมอกแดงกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาสูบพลังชีวิตไปทั้งหมด
ซูหมิงมองโพรงนั้นเงียบๆ ความตื่นตัวมากขึ้นกว่าเดิม ดวงตาเป็นประกายรวดเร็วและดุดัน เขารู้แล้วว่านอกจากร่างเงาในหมอกแดงนั้นที่เป็นอันตรายในโลกนี้แล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ใช้หอกกระดูกอีกด้วย
‘โลกนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…’ ซูหมิงขยับวูบไหวออกจากถ้ำนี้ไปอย่างเงียบๆ ถึงไม่รู้ว่าหมอกม่วงข้างนอกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อไร แต่ถ้ำนี้พังลงแล้ว มีโพรงนั้นอยู่คงใช้หลบอะไรไม่ได้ ดังนั้นเขาเลยอาศัยจังหวะที่หมอกยังไม่เป็นสีแดงตามหาที่ หลบภัยอีกแห่งอย่างรวดเร็ว
เมื่อเวลาผ่านไป หมอกม่วงเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะซูหมิงห้อวิ่งอยู่ในนั้น ดวงตาเขาฉายแววมืดทะมึน ประสบการณ์สี่ปีบอกกับเขาว่าเมื่อหมอกม่วงรุนแรงถึงขีดสุด มักจะเกิดความเงียบสงบขึ้น และในช่วงเงียบสงบนั้น มักจะเป็นช่วงเวลาที่หมอกแดงมาเยือน
แม้จะไม่ใช่แน่นอน แต่ในสิบครั้งจะมีหกครั้งเป็นเช่นนี้
วันที่สอง วันที่สาม จนวันที่สี่มาถึง หมอกม่วงรอบตัวเขาราวกับ คลื่นรุนแรง มันม้วนตลบไปมาส่งเสียงดังสนั่น นี่คือช่วงที่รุนแรงที่สุด ทว่าตลอดหลายวันมานี้ ซูหมิงก็ยังหาที่หลบภัยอื่นๆ ไม่พบ แต่เขาก็ยังไม่ล้มเลิก ยังคงเดินทางต่อไป
จนวันที่ห้ามาถึง หมอกพลันสงบนิ่งลง ซูหมิงหยุดชะงัก ถอนหายใจเบาแล้ว โยนศพสัตว์ร้ายที่ไม่มีโลหิตทิ้งไป
‘มีแต่ใช้วิธีนี้เท่านั้นแล้ว ถึงจะมีอันตรายอยู่บ้าง แต่ในเมื่อเลือกออกจาก ถ้ำปลอดภัยแล้วก็ต้องยอมรับในอันตราย’ ซูหมิงส่ายศีรษะ ยกเท้าขึ้นกระทืบพื้นภายในหมอกม่วงสงบนิ่ง เกิดเสียงอึกทึกขึ้น บนพื้นปรากฏรอยร้าวหลายสาย จากนั้นยกมือขวาขึ้นชกลงพื้น ท่ามกลางเสียงดังสนั่น เกิดหลุมลึกขึ้นบนพื้น ขณะเดียวกัน ซูหมิงสะบัดมือขวา หลุมลึกพลันลดระดับลงจนลึกไปมากแล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงการต่อต้านอย่างรุนแรงมาจากในพื้นดิน หากลงไปต่อ ด้วยพลังของเขาคงไม่ไหว รู้ว่านี่คือขีดจำกัดแล้วเลยนั่งขัดสมาธิลง สองมือประสานมุทรากดไปรอบๆ ฉับพลันนั้นดินข้างบนพลันรวมเข้ามาอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่ลมหายใจแผ่นดินกลายเป็นราบเรียบ ฝังตัวเขาอยู่ข้างใน
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามหลังซูหมิงซ่อนตัว ทันใดนั้นหมอกสีม่วงข้างนอกเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วภายในความสงบนิ่ง พริบตาเดียวกลายเป็นสีแดง ขณะเดียวกันทั้งผืนฟ้าเต็มไปด้วยสีแดง ส่งผลให้โลกใบนี้กลายเป็นสีแดงไม่มีที่สิ้นสุด
พร้อมกันนั้น มีเสียงแหลมดังกึกก้องกลางสีแดง ร่างเงาพากันออกมาราวกับเกิดในหมอกแดง ต่างลอยอยู่ในหมอก คอยกินพลังชีวิตของทุกสิ่งมีชีวิตที่พวกมันพบ
เสียงพึมพำดังก้องฟ้าดินในยามนี้
“ฟ้าดินเกิดก่อน เดรัจฉานเกิดหลัง…”
“ฟ้าดินคือผู้คงอยู่ยาวนาน ด้วยความที่มันไม่เกิดขึ้นเอง ดังนั้นจึงเติบโตได้ หากข้าปรารถนาในชีวิตก็มีแต่ต้องยึดชีวิต…”
“เทพบรรพชนอยู่ข้างหน้า บรรพชนวิญญาณอยู่ข้างหลัง บรรพชนนี้ยังอยู่ก่อนหน้าจักรวาล ด้วยเหตุนี้จึงเป็นผู้มีชีวิตที่ต้องทำลายชีวิต…” เสียงแหลมเล็กเหมือนมาพร้อมกับพลังประหลาดบางอย่าง ต่อให้ซูหมิงซ่อนอยู่ส่วนลึกใต้ดินก็ยังได้ยิน
เขาให้กลิ่นอายพลังตัวเองหายไป ให้ร่างกายอัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายมรณะ หลบหมอกแดงจากข้างนอกอยู่ตรงส่วนลึกของใต้ดิน วิธีนี้เขาเคยใช้ตอนถูกร่างเงาหมอกแดงล่าสังหารในอดีต แต่เขารู้ว่าวิธีนี้มีผลเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น จะใช้นานไม่ได้ ในเจ็ดวันที่หมอกแดงอยู่ติดต่อกัน ตอนนั้นอย่างมากสุดสี่วันก็ถูกร่างเงาในหมอกแดงเหล่านั้นพบ
‘สี่วัน หากยืนหยัดถึงสี่วันได้ หากยืนหยัดไปได้อีกหนึ่งวัน ตอนหนีก็จะลดเวลาล่าสังหารของพวกมันไปหนึ่งวัน…’ ซูหมิงให้ตัวเองสงบนิ่งลงแล้วคำนวณเวลาเงียบๆ
เวลาผ่านไปทีละวัน วันที่สอง วันที่สาม วันที่สี่…ขณะที่ซูหมิงกำลังรอเงียบๆ ในความตื่นตัวนั้น ห้าวันผ่านไป แต่เมื่อวันที่หกมาถึง ตัวเขาสั่นสะท้าน ภายในดวงตาเป็นประกายรวดเร็วและดุดัน เขาชกหมัดขวาขึ้นไปข้างบนดินอย่างไม่ลังเล ท่ามกลางเสียงดังสนั่น แผ่นดินสั่นสะเทือน ตัวเขาพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ช่วงที่เขาเพิ่งพุ่งออกไป ตรงส่วนลึกที่เขาถูกฝังก่อนหน้านี้พลันมีร่างเงาสีแดงสิบกว่าร่างพุ่งเข้าไปพร้อมเสียงแหลม หากไม่ใช่เพราะซูหมิงมีไหวพริบเร็วก็คงถูกสูบพลังชีวิตไปจนหมดแล้ว
‘เหลือเวลาอีกสองวัน…’ ซูหมิงดวงตาวาววับ หลังพุ่งออกไปแล้วก็ห้อเหยียดอยู่ในหมอกแดง เขาไม่เลือกซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกใต้ดินอีก เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยลองมาแล้วและได้ประสบการณ์ที่ต้องจ่ายไปเล็กน้อยกลับมา นั่นคือในช่วงเวลาหมอกแดง ตนจะซ่อนตัวในแผ่นดินได้หนึ่งครั้ง หากเป็นครั้งที่สองจะไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย
ยามนี้ขณะห้อวิ่งอยู่ในหมอก เสียงแหลมข้างหลังเขาดังชัดขึ้นเรื่อยๆ ร่างเงาพากันปรากฏตัวและพุ่งกระโจนมาหาเขาอย่างบ้าคลั่ง
หากเพียงแค่ร่างเงาเหล่านี้ข้างหลังคงไม่เท่าไร แต่ซูหมิงห้อวิ่งอยู่ในหมอกไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ทางซ้ายและขวากระทั่งตรงหน้าปรากฏร่างเงาหมอกแดงจำนวนมาก
ซูหมิงกัดฟันกระโดดลอยขึ้น ตอนที่บินไกลออกไป ข้างบนเขายังมีร่างเงาสีแดงโผล่มาจำนวนมาก พอพวกมันเห็นเขาแล้วก็ร้องเสียงแหลมแล้วไล่ตามมาทันที