Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1226

ตอนที่ 1226 ยึดครองดาราสัจธรรม 4

ตะเกียงเหลือสิบหก สิบสี่…ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนไร้เสียงติดต่อกันในวิญญาณซูเซวียนอี เขาเห็นชัดว่าวงแหวนนอาคมเพลิงเทียนที่ตนวางไว้ในโลกจักรพรรดิยมโลกใกล้จะมอดดับหมดแล้ว แต่ซูหมิงไม่เพียงแต่ไม่อ่อนแอลง แต่ยิ่งตนถอยไป ยิ่งอีกฝ่ายบุกเข้ามา ซูหมิงกลับใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนกินตนไป

“สมควรตาย!” ซูเซวียนอีถอยไปเป็นจังหวะ แม้ในใจจะมั่นใจว่าซูหมิงมีฐานะบรรพชนวิญญาณ ในมุมมองเขาหากไม่ใช่เช่นนี้ ซูหมิงไม่มีทางทำถึงขนาดนี้ได้ ทว่าเพราะเรื่องนี้เองทำให้เขารู้สึกว่ามันไร้สาระเกินไป เป็นที่รู้ว่าเขาซูเซวียนอีวางแผนมาหลายปี แต่ก็ยังเข้าไปในโลกของวิหารเหล่าเทพไม่ได้ ไม่อาจขึ้นเป็นเทพ มิเช่นนั้นแล้วตอนนี้เขาคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพย่ำแย่แบบนี้

เขาเลือกอีกเส้นทางหนึ่งในการเป็นบรรพชนวิญญาณเพื่อยึดครองโลกดาราสัจธรรม เพื่อกดขี่บรรพชนแห่งทะเลเต๋า ยึดบรรพชนของเขาแล้วเปลี่ยนให้เป็นทาสของตน ทว่าทุกอย่างนี้ เพราะซูหมิงรุกลานเข้ามาอย่างรุนแรง เลยทำให้แผนการเขาพังลง จนหมด

‘ช่างเถอะ…’ ซูเซวียนอีถอนหายใจอยู่ภายใน เรื่องนี้เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว โลกดาราสัจธรรมถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่ใช่ของเขา การเตรียมการหลายปีก็ลิขิตไว้แล้วว่าต้องเป็นโชควาสนาให้กับซูหมิง แม้ในใจจะอึดอัด แต่ด้วยนิสัยทะเยอทะยานด้านหนึ่งของเขา เขาจึงคิดว่าหากไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ จึงเกิดความคิดที่จะจากไปทันที

การยึดครองโลกดาราสัจธรรมเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการเขาเท่านั้น หากแผนการสำเร็จทุกอย่างก็จะดำเนินต่อไป แต่ถึงจะล้มเหลว เขาก็ยังมีแผนการอื่นๆ ต่อจากนั้นอีก เขาจึงล้มเลิกยึดโลกดาราสัจธรรม แต่จะยึดโลกจักรพรรดิยมโลก

เพียงแต่ว่าแม้ซูเซวียนอีจะเลือกจากไปอย่างไม่ยอม แต่ภายใต้การชนด้วยวิญญาณของซูหมิง จิตซูเซวียนอีขยับวาววับและเผยความเหี้ยมโหดออกมา ความแค้นต่อซูหมิงเด่นชัดยิ่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

“ถึงข้าจะถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่อาจเข้าร่วมการยึดครองครั้งนี้…แต่ข้าจะไม่ให้เจ้าสบายหรอก ในเมื่อข้ายึดครองไม่ได้ อีกทั้งดวงจิตโลกดาราสัจธรรมยังมีการเตรียมตัว หลังจากนี้ต่อให้ยึด

ครองอีกครั้งก็ลิขิตไว้ดังเดิมเพราะมีการป้องกันที่หนาแน่นขึ้น ในเมื่อเป็นอย่างนั้น…ข้าก็จะไม่ให้เจ้าสำเร็จเหมือนกัน!” ขณะที่ซูเซวียนอีเปลี่ยนใจ วิญญาณเขาถอยไปอีกครั้งภายใต้เสียงดังสนั่น ตอนที่พื้นที่ที่ยึดครองโลกดาราสัจธรรมเหลือเกือบ หนึ่งส่วนนั้น…

“เพลิงแห่งการมอดดับยมโลก ความคิดแห่งการเผาพลังชีวิต จงกลายเป็นความร้อนแรงที่ไม่มอดดับ ยมโลกผนึกที่นี่…ผนึกเดรัจฉาน!” ทันทีที่เสียงซูเซวียนอีดังก้อง ตะเกียงน้ำมันสิบสี่อันที่ยังอยู่ในโลกจักรพรรดิยมโลกมอดดับไปสิบสามอัน จากนั้นตะเกียงหนึ่งอันที่เหลือส่องแสงสว่างจ้าแสบตา แสงสว่างแทบจะพุ่งออกจาก วิหาร สว่างไปรอบๆ ฟ้า

ขณะเดียวกันในโลกจักรพรรดิยมโลก ผู้ฝึกฌานสิบล้านคนต่างกระอักเลือดพร้อมกันเพราะการยึดครองของซูเซวียนอี ทุกคนร่างโรยรา กระทั่งมีผู้ฝึกฌานเกือบ สามส่วนร่างกลายเป็นเถ้าธุลีหายไป เหมือนถูกเปลวเพลิงเผาทำลายจนเกลี้ยง

เมื่อผู้ฝึกฌานสามส่วนสิ้นชีพ ผู้ฝึกฌานทั้งหมดโรยรา พลังชีวิตพวกเขารวมกันขึ้นกลายเป็นสารอาหารทำให้เปลวเพลิงใหญ่ขึ้น เมื่อก่อให้เกิดแสงสว่างจ้าไม่มีสิ้นสุดแล้วก็หลอมรวมเข้าสู่โลกดาราสัจธรรม หลอมรวมอยู่กลางวิญญาณซูเซวียนอี กลายเป็นความร้อนแรงที่ไม่มอดดับ เป็นไส้ตะเกียงยักษ์!

ไส้ตะเกียงแกว่งไกว ทะเลเพลิงรอบๆ ส่งเสียงดังครึกโครม ชั่ววูบเดียวก็หายวับไป ตอนที่ปรากฏมาอีกครั้ง มันปกคลุมซูหมิง ใช้ซูหมิงเป็นไส้ตะเกียงและแผดเผา

“ลูกทรพี! ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะยึดครองต่อไปอย่างไร ยมโลกผนึก!” ตอนที่เสียงซูเซวียนอีดังก้องอย่างเหี้ยมโหด วิญญาณเขาพลันแยกออก ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะตัดวิญญาณตัวเองที่หลอมรวมสู่โลกดาราสัจธรรมจริงๆ ยอมจ่ายในราคาส่วนวิญญาณแหลกสลาย ตัดการเชื่อมต่อกับโลกดาราสัจธรรมและกลับไปยัง โลกจักรพรรดิยมโลก

ภายในวิหารใหญ่ของโลกจักรพรรดิยมโลก ซูเซวียนอีที่นั่งฌานอยู่พลันลืมตาขึ้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก เขาร่างสั่นสะท้านและยังกระอักเลือดติดกันเจ็ดครั้ง ทุกครั้งร่างกายจะแห้งเหี่ยวลงเล็กน้อย กลิ่นอายพลังจะอ่อนแอลงเล็กน้อย ใบหน้ายังแก่ชราลงเล็กน้อยด้วย

หลังกระอักเลือดติดกันเจ็ดครั้ง ร่างกายเขากลายเป็นหนังหุ้มกระดูก กลิ่นอายพลังเขาประหนึ่งเส้นไหลเวียน หน้ำตาเขาไม่ใช่วัยกลางคนอีก แต่เป็นชายชรามืดทะมึน

“ซูหมิง!” ซูเซวียนอีแทบจะกัดฟันด้วยความโกรธ ในใจเขาไม่ยอมอย่างยิ่ง เขาเตรียมการมาหลายหมื่นปีเพื่อยึดโลกดาราสัจธรรม และยังเตรียมกลอุบายและอภินิหารไว้สิบกว่าชนิดเพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จให้ตนถึงแปดส่วน

แต่กลอุบายเหล่านี้ส่วนใหญ่ต้องให้มีตะเกียงติดครบเจ็ดสิบสองอันถึงจะก่อเป็นเพลิงเทียนนิรันดร์ ทำให้วิญญาณเขาไม่สลายไป มิใช่หายไปอย่างรวดเร็วเหมือนก่อนหน้านี้ ทว่า…ด้วยความที่เพลิงเทียนไม่พอ เลยทำให้กลอุบายที่เตรียมไว้เกือบเก้าส่วนใช้การไม่ได้ เรื่องนี้เลยทำให้เขารู้สึกรับไม่ได้

ขณะเดียวกันในใจยังมีความเสียใจภายหลังเสี้ยวหนึ่งที่ตอนนั้นน่าจะสังหารซูหมิงไปเสีย ไม่ควรฟังคำห้ามปรามของซัง เพราะเขาคิดว่านั่นเป็นเพียงมดปลวกที่ไม่มีประโยชน์ให้ใช้งานแล้ว เลยจะให้ซูหมิงตายตกไปเองก็ได้

‘ข้ายึดครองโลกดาราสัจธรรมไม่ได้แล้ว เช่นนั้นก็ต้องไม่มีใครได้ยึดครอง!’ ซูเซวียนอีหอบหายใจแรง การทำลายส่วนวิญญาณสร้างภาระให้กับเขาอย่างยิ่งไม่ด้อยไปกว่าบาดเจ็บสาหัสครั้งหนึ่งเลย แต่เขาต้องทำแบบนี้ หากไม่ตัดวิญญาณ ที่หลอมรวม

สู่โลกดาราสัจธรรม เช่นนั้นหากถูกบีบจนเหลือพื้นที่ส่วนเดียว ซูหมิงจะมาหาเขาผ่านวิญญาณได้ทันที และจะทำให้วิญญาณหลักบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจฟื้นกลับมาได้

ถ้าจะให้เป็นแบบนั้น เขาตัดเองยังจะดีกว่า ใช้ราคาต้องจ่ายผนึกเส้นทางไล่ล่าของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันยังสร้างโอกาสให้ตนสังหารซูหมิงด้วย

ซูเซวียนอีจ้องแสงไฟที่เผายังลุกไหม้ในตะเกียงเพียงหนึ่งเดียวในตะเกียงทั้งหมดเจ็ดสิบสองอันตรงหน้ำตาเขม็ง จ้องไส้ตะเกียงในเพลิงนั้น เหมือนเห็นว่าในไส้ตะเกียงมีซูหมิงอยู่

เขายิ้มมุมปากชั่วร้าย ก่อนยกสองมือขึ้นประสานมุทราชี้ไปยังเพลิงเทียนนี้

ภายในโลกดาราสัจธรรม ในเวลาเดียวกับที่ซูเซวียนอีตัดวิญญาณที่หลอมรวมกับโลกนี้ ซูหมิงพลันรู้สึกถึงอันตรายเป็นตายร้ายแรง ทะเลเพลิงรอบๆ ไร้รูป คนนอกมองไม่เห็น แต่ซูหมิงรู้สึกถึงอย่างชัดเจน เพลิงรอบๆ นี้คือเพลิงยมโลกที่เผาวิญญาณได้ ทุกดวง

“ยมโลกผนึก…ผนึกยมโลก…” ขณะที่วิญญาณซูหมิงเคลื่อนไหวเขายังสังเกตเห็นว่าตนเหมือนกลายเป็นไส้ตะเกียง ทะเลเพลิงโอบล้อมรอบตน หากไม่มอดดับ จะไม่ยอมเลิกรา

อีกทั้งในยามนี้ ทะเลเพลิงเหล่านั้นยังส่งเสียงดังสนั่น พวกมันหมุนวนรอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาเห็นว่าในทะเลเพลิงเหมือนมีมือสองมือ สองมือนั้นกำลังประสานมุทรา ขณะนี้เองทะเลเพลิงรุนแรงขึ้นหลายเท่าและพุ่งตรงมาหาเขา

“นี่คือกลอุบายสุดท้ายของเจ้ารึ” วิญญาณซูหมิงขยับประกายแสง ขณะยิ้มเยาะ แม้ภยันตรายเป็นตายจะเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ แม้ทะเลเพลิงรอบๆ จะตรงเข้ามา มิหนำซ้ำวิญญาณเขายังถูกขังอยู่ในพื้นที่หนึ่งที่ออกไปไม่ได้ราวกับเป็นไส้ตะเกียง แต่เขาก็ยังยิ้มเยาะพร้อมกับเกิดเสียงอึกทึกในวิญญาณเขา

“ร่างไม่ขยับคือวิญญาณไม่ดับสูญ วิญญาณไม่ดับสูญคือจิตไม่หายไป จิตไม่หายไปคือบรรพชนวิญญาณอยู่ บรรพชนวิญญาณอยู่ก็คือไม่ดับสูญ!” ชั่วพริบตาที่ ซูหมิงส่งกระแสจิตไป ในฟ้ากระจ่างดาวกว้างใหญ่ห่างจากที่นี่ไปไกล ตรงจุดที่กายเนื้อซูหมิงนั่งฌานอยู่ แหวนสมบัติล้ำค่าตรงนิ้วชี้มือขวาพลันขยับแสงวาววับ ก่อนลอยขึ้นมาเอง มาอยู่เหนือซูหมิง จากนั้นแสงสว่างก็ปกคลุมร่างเขาเอาไว้เหมือนสายฝน

เมื่อพลังของขั้นไม่อาจกล่าวแผ่ขยายมาจากในแหวนสมบัติล้ำค่า วิญญาณซูหมิงที่ถูกขังอยู่ในไส้ตะเกียงกลางผืนฟ้าไกลๆ พลันเกิดแสงจากแหวนสมบัติเช่นกัน แสงนี้ปกคลุมวิญญาณ ทันใดนั้นเองทะเลเพลิงรอบๆ ตรงเข้ามา แต่กลับทำอันตรายเขาไม่ได้แม้แต่น้อย ทั้งหมดมอดดับไปด้วยแสงจากแหวนนั้น

ซูหมิง…ไม่ใช่คนอ่อนแอในตอนนั้นอีก เขาในตอนนี้คือบรรพชนวิญญาณ เป็นผู้แข็งแกร่งที่นับจำนวนได้ในมหาโลกสามรกร้าง ต่อให้อยู่ในสามร้อยหกสิบ มหาโลกของฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนกับเงามืดรุ่งอรุณก็ยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีอำนาจ ของหนึ่งทิศ

การฝึกฝนหลายปีสร้างนิสัยขี้ระวังให้กับเขา ความเป็นตายนับครั้งไม่ถ้วนมอบความเหี้ยมโหดและเด็ดขาดให้กับเขา ทุกอย่างรวมเข้าด้วนกัน ทำให้ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใดก็ต้องวิเคราะห์ ต้องมีการเตรียมการรับมือเสมอ

อย่างเช่น แหวนสมบัติล้ำค่านี้ เขาไม่ได้ใช้ตอนสู้กับซูเซวียนอีก็เพราะเพื่อกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น

ตอนนี้แหวนวนอยู่รอบๆ วิญญาณซูหมิงแน่นิ่ง เขาไม่รีบร้อน เพลิงรอบตัวไม่มีทางคงอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ การเผาไหม้ของเพลิงนี้ซูเซวียนอีต้องจ่ายในราคาที่สูงยิ่งกว่า ฉะนั้นไม่มีทางที่จะอยู่ได้นาน

“อยู่นานไม่ได้…ลูกทรพี ถึงเจ้าจะเตรียมการเอาไว้ แต่เทียบกับข้าแล้ว เจ้ายังอ่อนหัดกว่าเล็กน้อย เพลิงนี้…” ภายในวิหารโลกจักรพรรดิยมโลก ซูเซวียนอีจ้องเพลิงเพียงหนึ่งเดียวตรงหน้ำตาเขม็ง มุมปากยังยิ้มเยาะ

“ข้าเพียงแค่ผลักดันเพลิงนี้เท่านั้น แต่พลังจากการเผาไหม้ไม่ใช่พลังชีวิตข้า แต่เป็นของเจ้า!” ซูเซวียนอีประสานมุทราด้วยสองมือชี้ไป ทันใดนั้นเพลิงตะเกียงเกิดเสียงดังซ่าๆ ไส้ตะเกียงในนั้นแกว่งไกวอย่างรุนแรง

ในเวลาเดียวกันกลางโลกดาราสัจธรรม วิญญาณซูหมิงเคลื่อนไหว เขาสังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติ ทะเพลิงโดยรอบไม่ได้ลดน้อยลง แต่เมื่อมอดดับไปแล้วก็ขยายออกมาอีกครั้ง ถึงขั้นที่รวมเข้าด้วยกันกลายเป็นมือใหญ่เปลวเพลิงสองข้างประสานมุทราชี้ไปยังตน

ต่อมาซูหมิงสังเกตเห็นว่ากลางวิญญาณตนเกิดเพลิงไร้รูปขึ้น นี่คือเพลิงที่เกิดจากภายใน ตอนนี้เองเกิดพลังมหาศาลที่เหมือนจะเผาทำลายวิญญาณเขาให้สิ้นซากขึ้น ราวกับว่าเขากลายเป็นไส้ตะเกียงจริงๆ ส่วนวิญญาณเขาคือน้ำมันบนไส้ตะเกียง เมื่อเกิดเปลวเพลิงขึ้น ก็คลับคล้ายว่าไม่มีทางมอดดับ เว้นแต่วิญญาณเขาจะหายไป เพลิงถึงจะดับลง!

ชั่วพริบตาที่เกิดเปลวเพลิงนี้ ซูหมิงแค่นเสียงหึทีหนึ่ง

“มังกรทำลายล้าง!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version