Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1236

ตอนที่ 1236 เกาะบึงใต้

คลื่นทะเลมรณะไหลเชี่ยว ดวงตะวันที่เดิมทีจะลาลับย้อนกลับขึ้นมาอยู่กลางฟ้าอีกครั้ง ชั่วพริบตาที่เปลี่ยนจากยามโพล้เพล้เป็นส่องแสงหมื่นจั้งนั้น…

ผู้ฝึกฌานทั้งเผ่าหมานสายเลือดเดือดพล่านในร่างกาย โดยเฉพาะชาวเผ่าชะตาชีวิตยังใจสั่นสะท้าน…

นอกโลกของเผ่าหมานไกลออกไป ณ ส่วนลึกน้ำวนมรณะหยิน มีดวงจิตโบราณสามดวงเหมือนตื่นจากการหลับใหล…

“เผ่าหมานมีการเปลี่ยนแปลง…”

“การเปลี่ยนแปลงนี้ควรจะมอดดับ…”

“เป็นเขา…” ช่วงที่ดวงจิตสามดวงตื่นขึ้น พลันมีพายุคลั่งส่งเสียงดังสนั่นมาจากดวงจิตพวกมัน พายุนี้ไร้รูป ลากยาวผ่านน้ำวนมรณะหยินตรงไปยัง…โลกหมาน

พายุนี้ไม่ใช่ว่าดวงจิตพวกมันไปเยือน แต่เป็นพายุที่เกิดจากดวงจิตพวกมัน

ขณะเดียวกันภายในโลกหมาน เพราะดวงจิตย้อนศรขึ้น เพราะสายเลือดเดือดพล่าน นักรบหมานนับไม่ถ้วน ไม่ว่าอยู่ที่เกาะใด ไม่ว่าทำสิ่งใดล้วนตัวสั่นและเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน

หยาหมาน หนึ่งในห้ายอดผู้แข็งแกร่งของแดนรกร้างบูรพาในอดีตซึ่งเป็นคนที่ตอนนั้นซูหมิงมอบสำนักซ่อนมังกรให้ขยายชนเผ่าต่อไป แต่หลังจากนั้นแผ่นดิน แตกออกภายใต้ทะเลมรณะลุกลาม เขาจึงยึดครองเกาะแห่งหนึ่ง จนตอนนี้ถูกมองว่าเป็นเผ่าเขี้ยวหมานหนึ่งในเก้าขุมอำนาจใหญ่แล้ว เวลานี้กลางห้องลับตรงส่วนลึกของเทือกเขา ร่างหยาหมานที่ไม่ขยับมาหลายร้อยปีพลันสั่นสะท้าน เขาเงยหน้าขึ้นด้วย สีหน้าลังเล…

ขณะเดียวกันบนหมู่เกาะจำนวนมากบนทะเลมรณะ ผู้แข็งแกร่งในอดีตจำนวนหนึ่งที่ตอนนี้ยังมีชีวิตรอดต่างลืมตาขึ้นจากณานสมาธิ และยังมีในพระราชวังที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายพลังดึกดำบรรพ์กลางยอดเขาแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าชะตาชีวิต เสียงพิณโบราณ

ที่ดังก้องอยู่รอบๆ เงียบลง สองมือของฟางชางหลันพระชายาหมานแห่ง เผ่าหมานวางนิ่งอยู่บนพิณ นางค่อยๆ เงยหน้างามขึ้น นัยน์ตาฉายแววงุนงง

ผู้ฝึกฌานเผ่าหมานทุกคนเกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะทุกอย่างนี้

เพียงแต่ว่าความรู้สึกสายเลือดสั่นไหว จิตวิญญาณกระเพื่อมเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ ลมหายใจเท่านั้น ก็ถูกสายลมไร้เสียงจากบนฟ้าพัดหายไปอย่างไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ราวกับว่าในสายลมมีดวงจิตที่ไม่ยอมให้เผ่าหมานเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ โดยเฉพาะกับเหตุการณ์กระตุ้นสายเลือดทั้งเผ่าหมานยิ่งไม่ยอมใหญ่

ทุกอย่างก่อนหน้านี้กลายเป็นภาพลวงตา ดวงตะวันขึ้นฟ้าถูกสายลมพัดไป เหมือนกลายเป็นแรงกดดันแก่กล้า ทำให้ดวงตะวันค่อยๆ ลดระดับลงกลายเป็นยามอัศดงอีกครั้ง

สายลมนั้นไร้รูป ตอนที่หมุนวน ซูหมิงเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาขยับประกายวาว เขารู้สึกชัดเจนว่ากลางสายลมที่ลงมาอย่างกะทันหันมีอารมณ์ความคิดของดวงจิตโบราณสามดวงในตอนนั้น

เขาแค่นเสียงหึเย็นชาทีหนึ่ง เมื่อดวงตาขยับประกายวาว ดวงจิตเขาพลันพุ่งขึ้นฟ้าไปปะทะกับสายลมไร้รูปนั้นทันที นี่คือการชนกันของดวงจิตสี่ดวง คนอื่นไม่ได้ยิน เสียงปะทะ มีเพียงดวงจิตซูหมิงกับดวงจิตโบราณสามดวงเท่านั้นถึงได้ยินชัดเจน

ท่ามกลางเสียงครึกโครมดังก้อง ดวงจิตซูหมิงพร้อมกับเจตนารมณ์สวรรค์ โลกแท้จริงกวาดล้างไป ดวงจิตโบราณสามดวงนั้นพลันถอยไป ชั่ววูบเดียวก็หายไปจากโลกหมาน

ซูหมิงขยับไหวถอยไปหลายก้าว ยามที่เงยหน้าขึ้นดวงตาเผยจิตสังหาร ดวงจิตสามดวงนั้นคือคนที่ซูหมิงต้องสังหารหลังกลับมาโลกหมาน

การปะทะกันชั่วคราวเมื่อครู่นี้ ซูหมิงไม่ได้อยู่เหนือกว่า แต่มีกำลังพอๆ กับดวงจิต สามดวงนั้น ทว่าหากอยู่ในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม จะต้องเป็นอีกแบบแน่นอน

ดวงตะวันบนฟ้าเหมือนถูกค้างอยู่ที่ยามโพล้เพล้ไปชั่วนิรันดร์ ไม่ขึ้นและไม่ลง ระหว่างที่ดวงตาซูหมิงวาววับ เขาก้มหน้ามองหมู่เกาะของเผ่าชะตาชีวิตข้างล่าง ก่อนเดินไกลออกไปเงียบๆ

ดวงจิตโบราณสามดวงนั้นไม่ได้มาเยือน แต่ส่งจิตและความคิดมา ตอนนี้พอไปแล้ว หากซูหมิงไล่ตามไป บางทีอาจจะไปถึงที่หลับใหลของดวงจิตสามดวงนั้น

ทว่าซูหมิงเพิ่งกลับถึงโลกหมาน เขายังไม่พบสหายเก่าเลย จึงไม่อยากไปตอนนี้

ซูหมิงเดินอยู่กลางอากาศ ทะเลมรณะไหลเชี่ยวอยู่ใต้เท้า จนกระทั่งปรากฏ หมู่เกาะแห่งหนึ่งในยามโพล้เพล้ หน้ำตาเกาะนั้นต่างไปเล็กน้อยกับในความทรงจำเขา แต่ก็ยังจำได้ว่านั่นคือ…เกาะบึงใต้

นอกเกาะนั้น กลางน้ำทะเล ตอนนี้มีเสียงหัวเราะลากยาวดังแว่วมา เสียงนั้น แฝงไว้ด้วยความสดใส ยามที่ดังก้องไปรอบๆ ก็ดึงดูดสายตาซูหมิง

เขาเห็นกลางทะเลมรณะมีมังกรทะเลขนาดราวร้อยจั้งตัวหนึ่งกำลังร้องคำราม ตรงหัวมังกรทะเลมีชายยืนอยู่คนหนึ่ง เขามิใช่ชายร่างกำยำ แต่กลับดูบอบบางเล็กน้อย สวมเสื้อคลุมขาว เส้นผมเทาแกว่งไกว มือขวาจับเครามังกรทะเลเอาไว้แน่น มือซ้ายชกใส่ระหว่างคิ้วมังกรทะเลไปทีละหมัดๆ ทำให้มังกรทะเลร้องคำราม เสียงแหลม

ซูหมิงมองชายชุดคลุมขาวผมเทาด้วยแววตาเป็นสมาธิ ก่อนเผยรอยยิ้มที่มุมปาก ทีละน้อย เขาไม่มีวันลืมคนคนนี้ นั่นคือ…

“ท่านไป๋กล้าหาญไร้พ่ายผู้ใด หมายเลขหนึ่งแห่งเกาะบึงใต้ แกร่งที่สุด ครั้งนี้ออกทะเลไปได้ของกลับมาด้วย มอบมังกรทะเลตัวนี้ให้ข้าเถอะ ได้หรือไม่” บนชายหาดของหมู่เกาะนั้น มีเด็กอายุราวแปดเก้าขวบคนหนึ่งกำลังปรบมือพลางตะโกนเสียงดังไปทางชายชุดคลุมขาวที่กำลังโจมตีมังกรทะเล

ข้างเด็กคนนั้นมีสตรียืนด้วยสีหน้าอ่อนโยน นางมองเด็กคนนั้นด้วยความรักและเมตตา ยิ้มหยีตาพลางเงยหน้าขึ้นมองชายร่างกำยำที่กำลังโจมตีมังกรทะเล

“เจ้าหนูน้อยคนนี้ปากหวานเสียจริง” ชายแซ่ไป๋เงยหน้าหัวเราะอย่างสดใส เขาขยับไหวตัวคว้าตัวมังกรทะเลที่ใกล้จะหมดลมหายใจพุ่งไปยังเกาะ จนเข้าไปใกล้ชายหาดแล้วก็เหวี่ยงมือขวาโยนมังกรทะเลตัวนั้นลงไปกระแทกกับพื้นชายหาด ดังโครม ทรายจำนวนมากลอยขึ้น

เขาเองก็ขยับไหวตัวไปปรากฏอยู่ตรงหน้าเด็กคนนั้น

“คารวะผู้อาวุโสไป๋ เด็กน้อยไม่รู้เรื่อง ผู้อาวุโสอย่าถือสา” สตรีข้างเด็กน้อยคารวะพร้อมพูดเสียงเบา

“ไม่เป็นไรๆ เด็กคนนี้พูดจาน่าฟัง หยาจิ่ว ข้าให้มังกรทะเลตัวนี้กับเจ้า จำเอาไว้ว่าต้องนำผลึกชีวิตมันออกมา นั่นคือของสำคัญที่จะช่วยเพิ่มอายุขัยให้กับผู้ฝึกฌานเผ่าหมานของเรา” ชายแซ่ไป๋ลูบหัวศีรษะเด็กคนนั้นพร้อมยิ้มพูดขึ้น

เด็กคนนั้นโห่ร้องด้วยความดีใจทันที มีท่าทางกระโดดโลดเต้นด้วยความสุข สตรีข้างกายนัยน์ตามีความรักและเมตตามากกว่าเดิม

ตอนนี้ไกลออกไปจากเกาะบึงใต้ มีสายรุ้งยาวสิบกว่าสายบินเข้ามา เมื่อเข้ามาใกล้แล้ว ตรงหน้าสุดเป็นสามคน สามคนนี้มองไม่เห็นซูหมิง แต่ซูหมิงกลับเห็นพวกเขา

เขามองชายชุดคลุมขาว มองสตรีข้างเด็กคนนั้น และก็มองสามคนตรงหน้าจากในสิบกว่าคนที่เข้ามาด้วยสีหน้าหวนคะนึงคิด

“คารวะผู้อาวุโสไป๋ ยินดีที่ผู้อาวุโสกลับมา” สามคนนี้เป็นชายสองหญิงหนึ่ง ดูจากอายุแล้วราวๆ วัยกลางคน เพียงแต่มองจากการผ่านโลกมานานทางสีหน้าแล้ว พวกเขาอายุไม่น้อยแล้ว

ในสามคนนี้ เห็นได้ชัดว่าชายหนึ่งหญิงหนึ่งในนั้นเป็นสามีภรรยากัน ส่วนอีกคนเป็นชายชุดคลุมดำ เขาคนนี้มีสีหน้าเคร่งขรึม เหมือนไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ ยืนอยู่ตรงนั้นยังแผ่ไอหนาว เหมือนว่าคนเป็นห้ามเข้าใกล้

“แม่นางจื่อเยียน ข้าให้มังกรทะเลตัวนี้กับบุตรเจ้าแล้ว อย่าลืมเอาผลึกชีวิต ให้เขาด้วย” ชายชุดคลุมขาวมองสตรีเพียงหนึ่งเดียวในสามคนพลางพูดด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณผู้อาวุโสมาก หากบุตรข้าทำเรื่องอะไรที่ยังไม่รู้ความ หวังว่าผู้อาวุโส จะไม่ถือสา” หญิงคนนั้นก็คือจื่อเยียน นางอมยิ้มแล้วคารวะชายชุดคลุมขาว

ซูหมิงยืนอยู่กลางอากาศ มองคนคุ้นเคยเหล่านั้นบนเกาะบึงใต้ เขาไม่เคยลืม ชายแซ่ไป๋คนนั้น นั่นคือ…ไป๋ฉางไจ้ ตอนอยู่เผ่าหมานเขาเคยเจอกับไป๋ฉางไจ้ สองสามครั้ง แต่คนนี้กลับสร้างภาพจำที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง

ตอนนี้ได้พบอีกครั้ง ซูหมิงรู้สึกถึงร่องรอยการไหลผ่านของเวลาและการผ่านโลกมานานจากตัวไป๋ฉางไจ้

เด็กคนนั้นคือบุตรของจื่อเยียนกับหยามู่ ดูจากอายุแล้วน่าจะเกิดมาในช่วงหลายปีนี้ ส่วนหญิงคนนั้นอีกคน…นอกจากหวั่นชิวแล้วก็ไม่มีใครอีก

หวั่นชิวยังคงอยู่คนเดียวเหมือนในอดีต ความหยิ่งยโสในตอนนั้นหายไปแล้ว แม้จะไม่ใช่หญิงที่ออกเรือนแล้ว แต่ในตัวนางตอนนี้มีเพียงความอ่อนโยนดั่งสายน้ำ

ส่วนจื่อเชอ…บางทีอาจเพราะตอนนั้นอยู่ข้างกายซูหมิงและได้รับผลกระทบมากเกินไป ประกอบกับเรื่องราวที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับตัวเขา ดังนั้นแม้จะผ่านมาพันกว่าปี เขาก็ยิ่งเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ แต่ซูหมิงรู้ว่าด้วยนิสัยของจื่อเชอ ภายใต้เปลือกนอกเย็นชานี้มีจิตใจที่ยึดมั่น

“ฟางชางหลัน…อยู่ที่ใด” ซูหมิงพึมพำ เขามองไปทางเกาะบึงใต้แต่ก็ไม่พบ ฟางชางหลัน เขาส่ายศีรษะ แต่ก็ไม่ได้ใช้จิตสัมผัสตรวจทั้งโลกหมานในพริบตา

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยาก แต่ไม่ยอม บางครั้งการรู้มากไปก็คือความโหดร้าย หากใช้ จิตสัมผัสปกคลุมทั้งโลกหมานในพริบตา เขาจะรู้ทันทีว่าสหายเก่าในตอนนั้น ใครไม่อยู่บ้างแล้ว แต่เขาไม่ต้องการผลแบบนั้น เขายอมไม่รู้จะดีกว่า

‘ช่างเถอะ นางก็มีชีวิตของนาง จะไปรอตลอดกาลได้อย่างไร’ ซูหมิงเงียบ เขานึกถึงตอนนั้นที่ออกจากแดนหมาน ร่างเงาอรชรของฟางชางหลันยืนอยู่ บนยอดเขา นั่นคือหญิงที่เหมือนแค่สายลมก็พัดพาไปได้

ซูหมิงก้มหน้ามองจื่อเชอ แล้วก็มองเด็กข้างกายหวั่นชิว

‘หยาจิ่ว…จิ่วคำนี้ เพื่อนึกถึงยอดเขาลำดับเก้า(จิ่ว)หรือ…’ ซูหมิงนึกถึงชะตาที่ ตัดขาดกันระหว่างจื่อเยียนกับศิษย์พี่รองพลางถอนหายใจเบา ก่อนเดินไปยังชายหาดของเกาะบึงใต้

ฝีก้าวเขาไม่เร็ว ตอนที่สองเท้าเหยียบบนเกาะบึงใต้ ผู้คนที่นี่ไม่สังเกตเห็นเลยว่ามีคนเพิ่มมาหนึ่งคน กระทั่งในสายตาพวกเขาไม่มีร่างเงาซูหมิงอยู่

ไป๋ฉางไจ้ไม่สังเกตเห็น สามีภรรยาจื่อเยียนก็ไม่เห็น หวั่นชิวก็ด้วย มีเพียงจื่อเชอ ที่ตัวสั่นสะท้าน เหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขาเงยหน้ำเย็นชาขึ้น ตอนที่มองไปกลับว่างเปล่า

และยังมี…เด็กคนนั้น เด็กคนที่ซูหมิงอยากให้เห็นตน เขาเบิกตากว้างมองซูหมิงที่เดินมาบนชายหาด

“เจ้าชื่อหยาจิ่วรึ?” ซูหมิงนั่งยองลงข้างกายเด็กคนนั้น ลูบหัวเขาพลางถามขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version