Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1237

ตอนที่ 1237 พิณโบราณประหนึ่งดวงจันทร์สะท้อนสองเงา

“อืม ข้ามีนามว่าหยาจิ่ว” เด็กคนนี้ไม่กลัวคนแปลกหน้า บางทีอาจเพราะรู้สึกถึงเจตนาดีของซูหมิงจึงตอบกลับเสียงดัง

เมื่อสิ้นเสียง พวกไป๋ฉางไจ้ที่กำลังคุยกันต่างมึนงง ตอนที่พากันเอียงหน้ามอง ก็พบว่าเด็กหยาจิ่วกำลังพูดกับอากาศ ทุกคนอึ้งไป โดยเฉพาะไป๋ฉางไจ้ ดวงตาเขาขยับวาววับก่อนแผ่ขยายจิตสัมผัส แต่กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ เลย

“จิ่วเอ๋อร์ เจ้าพูดกับใคร?” จื่อเยียนเดินเข้ามาหลายก้าวจนมาอยู่ข้างหยาจิ่วแล้วถามขึ้นเสียงเบา

“ที่นี่มีพี่ชายคนหนึ่ง เขาถามข้าว่าชื่อหยาจิ่วหรือ” เด็กน้อยกะพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสาแล้วชี้ไปทางซูหมิงพร้อมตอบกลับ เขาไม่รู้ว่าคำพูดของเขาทำให้ จื่อเยียนหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง โดยเฉพาะหยามู่ ถึงปกติจะไม่ค่อยพูด แต่ตอนนี้ดวงตาขยับประกายเย็นชา และมาปรากฏอยู่ตรงหน้าหยาจิ่วในทันใด

ไป๋ฉางไจ้ยังแผ่กลิ่นอายมารทั่วร่าง เขายิ้มเยาะพร้อมเอ่ยอย่างเหี้ยมโหดไป ทางมวลอากาศนั้น

“ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนมาเกาะบึงใต้ ในเมื่อมาแล้ว ไฉนต้องหดหัว เชิญปรากฏตัวด้วย!”

“ท่านไป๋ฉางไจ้ พี่ชายไปแล้ว” หยาจิ่วรีบพูดขึ้นข้างหลังบิดาตน

“เขาไปแล้ว เขาเอาอันนี้ให้ข้าด้วย บอกว่าให้ข้าเป็นเด็กดี” หยาจิ่วยกมือขึ้น ในมือมีเกล็ดปลาสีขาวเพิ่มมาอันหนึ่ง

เกล็ดปลานี้ดูธรรมดามาก แต่สำหรับคนเกาะบึงใต้แล้ว พวกเขาคุ้นเคยกับเกล็ดปลานี้ นั่นคือเกล็ดย้อนศรเพียงหนึ่งเดียวบนตัวของมังกรทะเลทุกตัว

ไป๋ฉางไจ้หน้าเปลี่ยนสี เขาพลันหมุนตัวไปมองมังกรทะเลที่เขาจับมาซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ตรงจุดที่เดิมทีมีเกล็ดย้อนศรอยู่ ตอนนี้หายไปแล้ว

“พี่ชายใจดีมากเลย ยังชมว่าข้าฉลาดด้วย เขาให้ของขวัญนี้กับข้า บอกว่าหากข้าเติบใหญ่แล้วเจออันตรายใดๆ ของขวัญนี้จะช่วยให้ข้าปลอดภัยเก้าครั้ง” หยาจิ่วน้อยมองญาติพี่น้องรอบๆ เสียงเยาว์วัยดังก้อง

จื่อเยียนหน้าขาวซีด นางคาดการณ์ได้ว่าหากเป็นร่างเงาที่พวกเขามองไม่เห็น คนคนนี้จะมีความแกร่งเพียงใด เพราะด้วยพลังของไป๋ฉางไจ้ ต่อให้เป็นตาแก่ที่เคยได้รับแต่งตั้งในสมัยเทพหมานรุ่นสี่ในเก้าขุมอำนาจใหญ่ของเผ่าหมานตอนนี้ก็ยังไม่อาจทำให้ไป๋ฉางไจ้มองไม่เห็นได้

หวั่นชิวขมวดคิ้ว นางมองไปรอบๆ ไม่ได้พูดอะไร จื่อเชอดวงตาแวววาว เหมือนมีความคิดบางอย่าง สายตามองไกลออกไป

ไป๋ฉางไจ้ลังเลอยู่ชั่วครู่ เขาหยิบเกล็ดปลาสีขาวนั้นขึ้นมาจากมือหยาจิ่ว พอมองอย่างละเอียดแล้ว เขาหรี่ตาลงทันที ขนาดลมหายใจยังกระชั้นขึ้นมา

ภาพนี้ทำให้ทุกคนรอบตัวตึงเครียด

“ผู้อาวุโสไป๋…” หยามู่ลังเลเล็กน้อยแล้วถามขึ้นเสียงเบา

“คนนี้ไม่มีเจตนาร้าย…พลังเขาเหนือกว่าขอบเขตความเข้าใจข้า แค่เกล็ดปลานี้ก็ให้ความรู้สึกว่า…สังหารข้าได้มากกว่าเป็นร้อยเป็นพันครั้ง” ไป๋ฉางไจ้เงียบอยู่ชั่วครู่แล้วตอบกลับอย่างจริงจัง

สิ้นเสียง คนโดยรอบต่างพากันสูดลมหายใจด้วยความตกใจ จื่อเยียนกอดหยาจิ่วเอาไว้ หน้าเปลี่ยนสีติดต่อกันหลายครั้ง หยามู่ข้างๆ ใจสงบนิ่งกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังมีสีหน้าเหลือเชื่อ

หวั่นชิวขมวดคิ้ว แต่ความจริงจังในแววตาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมตามคำพูดของ ไป๋ฉางไจ้เช่นกัน

มีเพียงจื่อเชอที่มองไกลออกไป ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

“คนนี้น่าจะไม่ใช่ผู้ฝึกฌานของโลกนี้ ในโลกนี้ ต่อให้เป็นตาแก่เหล่านั้นก็ไม่มีทาง มีพลังถึงขนาดนี้ นี่…ถึงระดับที่ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เพียงแค่รู้สึกว่าด้วยพลังเขาก็สามารถทำลายทั้งโลกหมานได้แค่ความคิด

อีกอย่างหนึ่ง…ในเกล็ดปลานี้ทำให้ข้ารู้สึกว่าสายเลือดเดือดพล่าน ความรู้สึกก่อนหน้านี้พวกเจ้าเองก็ต้องรู้สึกเช่นกันแน่ นี่เป็น…ความรู้สึกแบบเดียวกัน ดังนั้นข้าถึงคิดว่าเขา…มาจากนอกโลก!” ไป๋ฉางไจ้มีสีหน้าจริงจังขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังเหมือนมีท่าทีกังวลเล็กน้อย

โดยรอบเงียบลง พวกจื่อเยียนไม่สงสัยคำพูดของไป๋ฉางไจ้ แต่เพราะแบบนี้เอง พวกเขาถึงรู้สึกหวาดกลัว

“ใช่แล้ว ข้านึกออกแล้ว พี่ชายคนนั้นบอกว่าให้ท่านไป๋วางเกล็ดปลานี้ไว้ตรงระหว่างคิ้ว ก็จะรักษาบาดแผลลับในร่างกายท่านได้ เขาบอกว่านี่เป็นการตอบแทนบุญคุณในตอนนั้น” หยาจิ่วรีบพูดขึ้น

พูดจบคนโดยรอบต่างใจสั่นสะท้านอีกครั้ง โดยเฉพาะไป๋ฉางไจ้หน้าเปลี่ยนสี มีแค่เขาที่รู้อาการบาดเจ็บของตัวเอง นั่นคืออันตรายแฝงเร้นที่อยู่มาหลายปีแล้วก็ยังขจัดไปไม่ได้ ยังหาคนที่ช่วยเขาได้ไม่พบ

ขณะเงียบอยู่นี้ดวงตาไป๋ฉางไจ้ขยับประกายวาว เขานำเกล็ดปลาวางไว้ ตรงระหว่างคิ้วอย่างไม่ลังเล ทันทีที่เกล็ดปลาสัมผัสหน้าผาก ก็เกิดเสียงดังครึกโครมในร่างกาย พลังอ่อนนุ่มไหลผ่านเกล็ดปลาเข้าไปในร่างกาย ไหลผ่านรอบหนึ่งแล้ว อาการบาดเจ็บซ่อนเร้นที่กวนใจมาตลอดหลายปีหายไปอย่างง่ายดาย

เมื่ออาการบาดเจ็บหายไป พลังไป๋ฉางไจ้พลันเพิ่มขึ้น แต่เขาไม่ได้สนใจการเพิ่มของพลัง เพราะในความคิดดังก้องไปด้วยคำพูดของหยาจิ่ว

“ตอบแทนบุญคุณในตอนนั้น…เขา…เขา…” ไป๋ฉางไจ้พึมพำ แต่เขาก็นึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“จิ่วเอ๋อร์ ผู้อาวุโสที่เจ้าพูดถึงมีหน้ำตาเป็นอย่างไร” หวั่นชิวย่อตัวลง มองหยาจิ่วพร้อมถามขึ้น

“เขา…”

“นายท่านกลับมาแล้ว” หยาจิ่วยังพูดไม่จบ จื่อเชอข้างๆ ชิงพูดก่อน

จื่อเชอไม่ได้บอกว่านายท่านคือใคร แต่เมื่อพูดจบ ทุกคนโดยรอบต่างหน้าเปลี่ยนสี ลมหายใจกระชั้น ในความคิดทุกคนมีร่างเงาหนึ่งลอยขึ้นมา

“แล้วก็ พี่ชายยังถามถึงนาม ฟางชางหลัน ฟางชางหลันคือใครรึ?”

เขตทะเลที่ห่างจากเกาะบึงใต้ไปไม่ไกล ตรงนั้นมีเกาะแห่งหนึ่ง เกาะนี้มีฐานะสูงส่งที่สุดของทั้งเผ่าหมาน เพราะว่าที่นี่…ไม่เพียงเป็นส่วนของเผ่าชะตาชีวิต แต่ยังเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าหมาน

ภายในพระราชวังบนยอดเขา ผู้อาศัยคือสัญลักษณ์ทางจิตใจของทั้งเผ่าหมานตอนนี้ พระชายาหมาน

ฟางชางหลันนั่งอยู่กลางพระราชวังเงียบๆ นางมีฐานะสูงศักดิ์ ผู้ฝึกฌานเผ่าหมานนับไม่ถ้วนคารวะนาง ถึงขั้นที่นางเอ่ยประโยคเดียวก็ตัดสินความเป็นตายของ ผู้ฝึกฌานเผ่าชะตาชีวิตที่อาศัยอยู่นอกพระราชวังได้

เพียงแต่ว่านางไม่มีความสุขกับฐานะนี้เลย นางถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องโดดเดี่ยวในพระราชวัง

กระทั่งทั้งเผ่าหมาน มีคนที่รู้นามของนางน้อยยิ่ง ในนั้นรวมคนบนเกาะบึงใต้ด้วย รวมถึงผู้แข็งแกร่งจากแต่ละชนเผ่าที่ซูหมิงเคยแต่งตั้ง

พระชายาหมานไม่จำเป็นต้องมีนาม มีแค่พระชายาหมานก็พอแล้ว นี่คือราคาต้องจ่าย เป็นราคาที่ต้องรักษาความลับของพระชายาหมาน พระชายาหมานเป็นเพียงสัญลักษณ์ เป็นรูปปั้นที่ยังมีชีวิต นางมีชนเผ่าไม่ได้ และยังให้ใครรู้นามของนางไม่ได้มากด้วย

เพราะนามกับชนเผ่าจะเจือจางความศักดิ์สิทธิ์ของคำว่าพระชายาหมาน นั่นคือความโดดเดี่ยวเพราะฐานะสูงศักดิ์ เป็นความหวังต่อเทพหมานในส่วนลึกในใจของ ชาวเผ่าหมานทุกคน

และความลับนี้ต่างหากคือการแสดงออกที่ดีที่สุดของการเป็นสัญลักษณ์ ดังนั้นพระชาหมานต้องเป็นความลับ

ฟางชางหลันยอมรับทุกอย่าง นางยอมโดดเดี่ยว ยอมออกจากเกาะบึงใต้ ยอมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับชาวเผ่าที่เหลือรอด นางชินกับความโดดเดี่ยวแล้ว ชินกับการอยู่ คนเดียวเงียบๆ ให้เสียงพิณโบราณอยู่เป็นเพื่อน

ยามโพล้เพล้ของวันนี้เหมือนจะอยู่บนฟ้าไปชั่วนิรันดร์ ราวกับว่าจะไม่ลาลับ ถูกแช่แข็งอยู่บนฟ้า ทำให้แสงยามโพล้เพล้สาดลงมา ผ่านหน้าต่างเข้ามาในพระราชวังอันเงียบสงบ

ฟางชางหลันนั่งอยู่ข้างพิณโบราณเงียบๆ หลับตาลง บรรเลงเพลงพิณที่เหมือนกับรอคอยอย่างมีความหมายลึกซึ้ง เสียงเพลงดังก้อง ข้ามผ่านพระราชวังไปกังวานอยู่บนเกาะ ตอนนี้เองก็ไปถึงซูหมิงที่ตอนนี้อยู่กลางอากาศ สายตามองผ่านหน้าต่างไปเหม่อมองฟางชางหลัน

ที่เขามาถึงที่นี่ไม่ใช่เพราะใช้จิตสัมผัส แต่ที่นี่เป็นจุดที่กลิ่นอายพลังกฏชะตาเข้มข้นที่สุดในเผ่าหมานของทั้งทะเลมรณะ

ดังนั้นตอนที่ผ่านที่นี่ เขาจึงมองมา มองไปแวบเดียวก็ไม่ละสายตาอีก

เขาเห็นรูปปั้นตนบนเกาะ เห็นผู้ฝึกฌานชะตาชีวิตที่นี่ และยังมีพระราชวัง บนยอดเขา หน้าตาพระราชวังมิใช่ธรรมดา แต่เป็นลักษณะวังจักรพรรดิของเผ่าหมาน

จุดนี้ซูหมิงมั่นใจได้ เพราะว่าเขา…เคยเห็นวังจักรพรรดิต้าอวี๋มาก่อน

นี่คือพระราชวังเพียงหนึ่งเดียวบนเกาะทะเลมรณะตอนนี้ และหากเขายังมองความหมายของพระราชวังนี้ไม่ออก เขาก็คงไม่คู่ควรกับคำว่าหลักแหลม

ซูหมิงเดินเข้าไปในเกาะเงียบๆ เดินขึ้นไปบนภูเขาสูง เข้าไปยังต้นตอของเพลง ไปอยู่ข้างฟางชางหลันกลางพระราชวัง นางมองไม่เห็นเขา แต่เขามองเห็นนาง

ฟางชางหลันอายุมากขึ้นเล็กน้อย ไม่งดงามเหมือนตอนนั้น แต่ท่าทางสุภาพนุ่มนวลกลับเป็นดั่งน้ำมากกว่าตอนนั้น พอมองแล้วจะอดตกไปอยู่ในความนุ่มนวลมิได้

ซูหมิงอยู่ข้างฟางชางหลันเงียบๆ ฟังการบรรยายผ่านพิณโบราณ นั่นคือการรอคอยอย่างโดดเดี่ยวมาพันกว่าปี ทำให้หัวใจเขาเหมือนย้อนกลับไปในอดีตท่ามกลางบทเพลงเนิบช้า ค่อยๆ เหมือนผ่านไปพันปีพร้อมกับฟางชางหลัน

ผ่านไปนานมาก บทเพลิงเงียบลง

เมื่อเพลงหยุดลง พลันเกิดมวลอากาศบิดเบี้ยวในพระราชวัง จากนั้นมีร่างเงาหนึ่งเดินออกมา ร่างเงานี้ก้มหน้าคารวะนางด้วยสีหน้ำเย็นชา

“เรียนพระชายาหมาน ข้าไปตรวจการเคลื่อนไหวแห่งสายเลือดก่อนหน้านี้ตามประสงค์แล้ว ไม่ใช่แค่ที่นี่ แต่ทุกพื้นที่ในเผ่าหมาน ผู้ฝึกฌานเผ่าหมานทุกคนเกิดการกระตุ้นสายเลือด!

เรื่องนี้จะต้องเกี่ยวกับที่ตะวันยามอัศดงไม่ลาลับฟ้าแน่ๆ “

“แจ้งเผ่าชะตาชีวิตทั้งหมดให้เปิดวงแหวนอาคมหมานคุ้มกัน บอกกับเกาะ เผ่าหมานทั้งหมดให้เตรียมตัวตลอดเวลา…บางทีนี่อาจเป็นสัญญาณของสัตว์ร้ายหรือไม่ก็อันตรายจากนอกโลก” ฟางชางหลันเงียบไปชั่วครู่แล้วตอบกลับเสียงเบา เมื่อเอ่ยออกไป ความน่าเกรงขามที่มีแค่ของพระชาหมานแผ่ออกมาเองโดยธรรมชาติ

“รับคำสั่งพระชายาหมาน” ร่างเงานั้นตอบกลับด้วยความเคารพแล้วหายวับไป

‘พระชายา…หมาน…’ ซูหมิงอึ้งไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขยายจิตสัมผัสอย่างไม่ลังเลหลังมาถึงโลกหมาน จิตสัมผัสแผ่ขยายไปเป็นวงกว้าง เขาอยากรู้จากในความทรงจำของผู้ฝึกฌานหมานทุกคนในโลกหมานว่า…คำว่าพระชายาหมานมาจากที่ใด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version