ตอนที่ 131 การเปลี่ยนแปลงท่ามกลางความสงบสุข
หลังจากแมงป่องตายลง เขาเห็นศพมันหลอมละลาย ทุ่งหญ้าสีแดงรอบตัวเคลื่อนไหวแปลกๆ ราวกับสูบกลืนเข้าไปอย่างรวดเร็ว ละลายศพของแมงป่องหายไปต่อหน้า
เขามองภาพดังกล่าว จิตใจหวาดหวั่น ทว่ากลับไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายใดๆ
ในระยะสิบจั้ง ตรงกันข้าม กลับรู้สึกสบายอบอุ่นไปทั้งกาย กระทั่งในความรู้สึกเขา สิบจั้งนี้เหมือนเป็นของเขาทั้งหมด
ความรู้สึกนี้บอกได้ไม่ชัดเจน ทว่ากลับทำให้ซูหมิงรู้สึกปลอดภัยยิ่งนัก
ขณะขบคิด เขานั่งขัดสมาธิลง สายตามองไปทางเหอเฟิงที่หมดสติ บุคคลนี้แม้จะอยู่บนทุ่งหญ้า กลับไม่มีท่าทีจะหลอมละลาย
‘หรือจะละลายได้เพียงสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว’ ซูหมิงลูบคาง ในความคิดปรากฎภาพเงาบุรุษสวมหน้ากาก
‘หน้ากากที่เขาสวมเหมือนกับในถุงของเหอเฟิงไม่ผิดเพี้ยน แต่ข้ารู้สึกว่ามันแตกต่างกันเล็กน้อย…
เหอเฟิงเคยบอกว่าบรรพบุรุษเขาหานไม่ได้เป็นคนเผ่าหมาน เบื้องหลังลี้ลับ พบวัตถุสองชนิดนี้ในตัวเหอเฟิง หรือว่า…คนสวมหน้ากากจะเป็นบรรพบุรุษของเหอเฟิง…’
ซูหมิงขบคิด เรื่องนี้ไม่มีต้นสายปลายเหตุจึงค่อยๆ เลิกคิดไป แล้วจึงนั่งอย่างสงบนิ่ง หยิบโอสถวิญญาณผากินเข้าไปเงียบๆ เพื่อเพิ่มพลังโลหิต
เวลาเดินอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามเดือน
ในสามเดือนนี้ ซูหมิงรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนด้านนอกสี่ครั้ง เห็นได้ชัดว่าเสวียนหลุนยังคงสงสัยจึงออกตามหา ทว่าสี่ครั้งไปรวมอยู่ในสองเดือนแรก หนึ่งเดือนสุดท้ายทุกอย่างด้านนอกเงียบสงบ
บางทีอาจเกี่ยวข้องกับอันตรายจากเสวียนหลุน ความเร็วในการฝึกฝนของเขาจึงเพิ่มมากขึ้นไม่น้อยในสามเดือนนี้ ยามนี้เส้นเลือดในร่างกายทะลวงถึงสองร้อยเก้าสิบเอ็ดเส้น ห่างจากเงื่อนไขลำดับแปดสามร้อยเก้าสิบเก้าเส้น เพียงหนึ่งร้อยกว่าเส้นเท่านั้น
ถึงตอนนี้ซูหมิงพบข้อเสียของโอสถวิญญาณผา เมื่อเขากินมาเป็นเวลานานผลลัพธ์จะค่อยๆ อ่อนลง ราวกับใช้นานมากมิได้ เป็นได้สูงมากว่าจะใช้งานไม่ได้อีก
เรื่องนี้แม้ซูหมิงบอกว่าต้องจำใจ ทว่าเขาก็เข้าใจ มิเช่นนั้นแล้วหากกินต่อไปเรื่อยๆ ขอแค่มีเวลาที่เพียงพอ จะเพิ่มเส้นเลือดกี่เส้นก็ได้มิใช่หรือ
‘ดูจากสรรพคุณโอสถวิญญาณผาที่น้อยลง เมื่อข้าทะลวงสู่ลำดับแปดรวมโลหิตมันน่าจะไม่ส่งผลอะไรแล้ว’ ซูหมิงนั่งอยู่ภายในถ้ำทุ่งหญ้าแดงสิบจั้ง สัมผัสการโคจรโลหิตในร่างกายพลางกล่าวพึมพำ
‘ดีที่ว่าผลของโอสถแดนใต้ยังใช้รักษาได้อยู่…ส่วนการฝึกฝนที่นี่ คิดว่าไม่มีโอสถวิญญาณผาแล้ว ข้าซูหมิงจะฝึกฝนมิได้หรือ!’ สีหน้าซูหมิงหนักแน่น
‘ข้ายังมีโลหิตหมานอีกสองหยด…..นอกจากนั้นแล้ว ยังมีเคล็ดวิชาเพลิงแผดเผา!’ นึกถึงเพลิงแผดเผาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก การฝึกฝนเคล็ดวิชาดังกล่าวยากเข็ญยิ่งนัก อีกทั้งยังเจ็บปวดจนยากจะทนไหว
‘พลังจากเพลิงแผดเผาครั้งที่สี่ในตอนนั้นเรียกค้างคาวจันทราออกมา แต่เส้นเลือดข้าไม่เพิ่ม…ส่วนเพลิงแผดเผาครั้งที่ห้า ตอนนี้ข้าอยู่ในแดนอรุณใต้จึงจะต้องระวังทุกอย่าง รอบตัวมีผู้แข็งแกร่งมากมาย หากถูกพบเข้าอาจเป็นปัญหา’ ซูหมิงเงยหน้ามองปากถ้ำ สีหน้าเคร่งขรึม
‘เสวียนหลุน ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปหรือยัง บางทีอาจรออยู่ในป่าฝนก็ได้ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่หรือไม่ ข้าก็จะอยู่ที่นี่’
ซูหมิงยันกายขึ้นเดินไปข้างเหอเฟิง สามเดือนมานี้เหอเฟิงยังคงหมดสติ แม้เขามีท่าทีจะฟื้น แต่ซูหมิงจะรบกวนพลังโลหิตในตัวเขาแทบทุกช่วงเวลาหลายวัน นำหมอกพิษจำนวนมากมารมควันเหอเฟิง ให้เขาสูดดมเข้าไปไม่หยุด เมื่อเป็นเช่นนี้ อาการบาดเจ็บของเขาจะไม่มีวันหายไปชั่วนิรันดร์ แต่ถึงกระนั้นซูหมิงก็ยังช่วยเขารักษาบาดแผลเพื่อไม่ให้เขาสิ้นใจ
ยามนี้บนตัวเขามองไม่เห็นบาดแผล ทว่าในร่างกาย สมุนไพรที่ซูหมิงบ่มเพาะเอาไว้โดยใช้เลือดเนื้อของเหอเฟิงเป็นอาหารหยั่งรากเจริญเติบโตในร่างกายเขา ส่วนกระดูกสีขาวและดำสองชิ้นข้างกายเหอเฟิงก็มีหน่ออ่อนผุดออกมาเช่นกัน แสดงว่ากระดูกสีขาวตรงกับความต้องการ
‘ยังขาดสมุนไพรอีกสามชนิด กระดูกอีกหนึ่งชิ้น…น่าเสียดายที่ข้ายังออกไปไม่ได้ แต่ด้วยความฉลาดของฟางมู่ เขาน่าจะไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ’
เมื่อตรวจหม้อยาโอสถชิงวิญญาณแล้ว ซูหมิงจึงนั่งขัดสมาธิลง มือขวากดนิ้วเป็นท่าทางประหลาดพร้อมกับผลักไปเบื้องหน้าหลายครั้ง จนท้ายที่สุดก็ต้องผิดหวัง
‘นี่ข้าต้องปลุกเหอเฟิงขึ้นมาถามว่าเคล็ดวิชาตราประทับใช้อย่างไรจริงๆ หรือ’ ภายในสามเดือนซูหมิงทดลองเคล็ดวิชานี้หลายครั้ง เขาเข้าใจหลักการทุกอย่างแล้ว ทว่าก็ยังแสดงอานุภาพมิได้
มันไม่จำเป็นต้องใช้พลังโลหิต เหมือนกับว่าต้องใช้พลังอีกชนิด ทว่าซูหมิงไม่มีมัน เขาลงทุนไปตรวจสอบการโคจรพลังโลหิตของเหอเฟิงเพื่อหาสาเหตุก็ยังไม่พบเงื่อนงำอะไร เหอเฟิงกับเขาเหมือนกัน ร่างกายมีแค่พลังโลหิต
‘เขาแสดงเคล็ดวิชานี้ได้อย่างไร…’ ซูหมิงขบคิดอยู่นานก็ยังไม่พบต้นสายปลายเหตุ ทำได้เพียงปล่อยวางลงและหมกหมุ่นอยู่กับการกินโอสถวิญญาณผา
ฤดูฝนผ่านไป แม้ความร้อนยังคงอยู่แต่ก็อ่อนลงไปไม่น้อย กาลเวลาเหมือนดังใบไม้กว้างใหญ่ในป่าฝน ภายในความแน่นขนัดมีช่วงเวลาโรยรา
ผ่านไปอีกสามเดือนโดยไม่รู้ตัว ซูหมิงอยู่ในป่าฝนมานานครึ่งปีแล้ว ในครึ่งปีนี้เขาโคจรโลหิตตลอดเวลา มีเพียงต้องทำแบบนี้เท่านั้นถึงจะป้องกันหมอกพิษได้
เขายังพบข้อดีของการทำเช่นนี้ นั่นคือพลังโลหิตในร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เร็วกว่าด้านนอกไม่น้อย
ภายในเวลาครึ่งปี กระดูกสีขาวดำสองชิ้นจากหน่ออ่อนกลายเป็นต้นกล้า มีสีเขียวอ่อน เปล่งแสงสว่างจ้าลานตา เพียงแต่การเติบโตของพวกมันกลับทำให้กระดูกสองชิ้นมัวหมอง ราวกับส่วนสำคัญทั้งหมดถูกต้นกล้าสองต้นสูบกิน
ส่วนเหอเฟิง…เขากลายเป็นหม้อยาอย่างสมบูรณ์ บนตัวเขาเต็มไปด้วยสมุนไพรหลายต่อหลายต้น หลายเดือนก่อนสมุนไพรเหล่านี้ทะลวงผิวหนังของเขาและเจริญเติบโตอยู่ในร่างกายประดุจเพาะปลูกบนผืนดิน
เดิมทีร่างกายเหอเฟิงแห้งเหี่ยว พอยามนี้มองไปอีกครั้งมันยิ่งเด่นชัดกว่าเดิม
เขาหมดสติมาครึ่งปี ต่อให้ฟื้นคืนสติก็คงต้องเลือนราง
มิหนำซ้ำซูหมิงยังไม่มอบโอกาสนั้นให้เขา รมควันหมอกพิษพร้อมกับรักษาในทุกๆ หลายวัน ทำให้เหอเฟิงกลายเป็นคนครึ่งเป็นครึ่งตาย
ซูหมิงเคยเห็นใจ ทว่าพอนึกถึงการกระทำชั่วร้ายของเหอเฟิงเมื่อครึ่งปีก่อน หากไม่ใช่เพราะเข้าไปในมิติของเศษหินประหลาด เกรงว่าตอนนี้ต่อให้เขาไม่ตายก็ต้องอนาถยิ่งนัก
จิตใจของเขาเริ่มแข็งกระด้างทีละน้อย ในสายตาของเขา เหอเฟิงไม่ใช่คนแต่เป็นหม้อยา
และที่สำคัญคือซูหมิงเริ่มพบว่าหากไม่มีเม็ดโอสถเพียงพอจะเปิดบานประตูต่อไป หากฝืนเข้าไปในมิติประหลาด จะเกิดเป็นแรงต่อต้าน
ในครึ่งปีมานี้เขาคิดว่านี่อาจเป็นทางหลบหนีภัยอันตรายของเขา หลังจากลองมาแล้วหลายครั้งพบว่าสำเร็จเพียงครั้งเดียว แรงต่อต้านรุนแรงยิ่งนัก อีกทั้งยังเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนเส้นเลือดในกาย
สามเดือนที่ผ่านมา เส้นเลือดในตัวเขาเพิ่มมาจนถึงสามร้อยสามสิบเจ็ดเส้น ผลของโอสถวิญญาณผาลดลงไปไม่น้อย จำเป็นต้องกินหลายเม็ดถึงจะมีผลเท่ากับหนึ่งเม็ด โชคดีที่เขามีสมุนไพรเพียงพอ หลอมได้จากไฟของร่างกาย เมื่ออยู่ในถ้ำจึงไม่ขาดแคลนเม็ดโอสถ
อีกทั้งในครึ่งปีนี้ ซูหมิงยังออกไปข้างนอกเป็นบางครั้ง ล่อสัตว์แมลงให้เข้ามาในทุ่งหญ้าสีแดง จากนั้นสังหารแล้วให้ทุ่งหญ้ากลืนกิน
การทำแบบนี้ นอกจากเขาอยากเห็นว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใดหลังจากทุ่งหญ้ากินจนถึงขีดสุดแล้ว ยังมีอีกหนึ่งสาเหตุคือ ในทุกหลายเดือนทุ่งหญ้าสิบจั้งจะลดระยะลง อีกทั้งสีสันยังอ่อนลง ทว่าเมื่อกลืนศพสิ่งมีชีวิตจะกลับมาเป็นดังเดิม
กระทั่งบางครั้งยังมีสัตว์แมลงบางตัวไม่สังเกตเห็นว่านี่เป็นเขตของซูหมิง แต่เข้ามาพักผ่อนตามชีวิตประจำวัน
นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว เวลาที่เหลือเขาจะใช้ไปกับการฝึกฝนเคล็ดวิชาตราประทับ ทดลองและหาวิธีแสดงพลังไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งวันนี้เขาขบคิดอยู่นานก็ยังไม่พบต้นสายปลายเหตุ แต่เขาคิดออกวิธีหนึ่ง
เขาคิดว่าในถุงของเหอเฟิงมีเหรียญหินจำนวนมาก โดยเฉพาะกล่องหินที่บรรจุใบไม้สำหรับเซ่นไหวชำระล้าง เดิมทีมันก็หลอมขึ้นจากเหรียญหินสีขาวจำนวนมาก ตอนนั้นเขายังสงสัยและคาดเดาว่าเหรียญหินไม่น่าจะใช้เพียงซื้อขาย แต่อาจมีประโยชน์อย่างอื่นอยู่ ยามนี้ได้ขบคิดอีกครั้ง พลันมีแสงสว่างแล่นผ่านความคิด
‘หรือว่าเหอเฟิงต้องใช้วัตถุช่วยเพื่อแสดงเคล็ดวิชาตราประทับ…’ ซูหมิงถือถุงสีม่วง หยิบเหรียญหินสีขาวขึ้นมาหนึ่งเหรียญ สิ่งนี้เป็นก้อนกลม กำอยู่ในมือให้ความรู้สึกอุ่นเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก ยามนี้เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดก็พบความต่างของเหรียญหิน
‘เหรียญหินชนิดนี้หมุนเวียนได้ทั้งชาวเผ่าหมาน กระทั่งยังไม่เคยได้ยินว่ามีของปลอม จะต้องเป็นความลับที่คนทั่วไปไม่รู้…ก่อนหน้านี้ข้ามองข้ามจุดนี้ไป…’ แววตาซูหมิงเป็นประกาย กำเหรียญหินเอาไว้ในมือ จากนั้นทำท่าทางประหลาด หยิกนิ้วมือขวาลงด้วยความชำนาญ ก่อนผลักไปด้านหน้าเบาๆ ตามแบบที่เขาฝึกมาหลายร้อยครั้ง
เมื่อผลักออกไปความรู้สึกพลันเปลี่ยน เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในเหรียญหินสีขาวมีกระแสลมพิลึกไหลเข้าสู่ร่างกาย เกิดเป็นเส้นทางต่างจากเส้นโคจรโลหิตตรงเข้าไปในมือขวา ไหลไปตามนิ้วมือขวาที่หยิกลง หมุนวนรอบหนึ่งแล้วพลันขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าก่อนหดตัวลง คราวนี้ตรงเข้าไปในส่วนศีรษะ ยังไม่ทันที่ซูหมิงจะได้หยุด ในสมองมีเสียงโครมดังขึ้นหนึ่งครั้ง พบว่ากระแสลมพิลึกไหลเข้าสู่สมอง
เขาตาพร่ามัว มองเห็นโลกที่ต่างจากก่อนหน้านี้
บริเวณรอบนอกหนึ่งร้อยจั้ง ทุกอย่างล้วนปรากฎในความคิดของเขา เขาเห็นใต้ดินเลนห่างไปเก้าสิบแปดกว่าจั้ง มีแมงป่องตัวหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวผ่านอย่างเงียบๆ
เขาเห็นใต้ใบไม้กว้างใหญ่ห่างไปห้าสิบจั้ง ซ่อนแมลงขนาดเท่าฝ่ามือตัวหนึ่งไว้ มันกำลังแยกเขี้ยวจ้องสัตว์น้อยที่เดินผ่านใต้ต้นไม้อย่างตื่นตัว
อีกทั้งเขายังเห็นเหอเฟิงที่นอนหมดสติอยู่ในถ้ำ ในส่วนศีรษะของเขา มีกลุ่มแสงอ่อนกำลังดูดพลังสมุนไพรจากส่วนรากที่ปลูกบนตัว ราวกับแสงอ่อนขยายใหญ่ขึ้น อีกทั้งยังแผ่ขยายจากระหว่างคิ้วยืดไปนอกถ้ำ เมื่อซูหมิงตรวจพบ แสงอ่อนพลันสั่นสะท้าน ซูหมิงได้ยินเสียงร้องตกใจแว่วข้างหู
“หืม?” แววตาซูหมิงเพ่งมอง สีหน้าพลันเปลี่ยนไป ภัยอันตรายตรงเข้ามา มันไม่ได้มาจากเหอเฟิง แต่มาจากขอบในระยะหนึ่งร้อยจั้งที่เขาแผ่ขยาย เป็นสตรีสวมชุดขาว มีผ้าขาวปิดใบหน้า!
หานเฟยจื่อ!