ตอนที่ 1310 เงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน
ณ ฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ ปีกที่สองที่ถูกดวงจิตสามรกร้างยึดครองในสี่ปีกของ ซางเซียง นี่คือมหาโลกมหึมา แม้โลกนี้จะสู้กับโลกที่หนึ่งของสามรกร้างไม่ได้ แต่พื้นที่ทั้งหมดก็มากพอจะเทียบได้กับสามโลกแท้จริงในมหาโลกสามรกร้างตอนนี้
ถึงอย่างไร…นอกจากสี่โลกแท้จริงในพื้นที่มหาโลกสามรกร้างแล้ว ยังมีทะเลดาราต้นกำเนิดจิต และยังมีแดนมวลอากาศอื่นๆ อีกเล็กน้อยตรงชายแดน กระทั่งสมัยก่อนในยุคนี้ ทั้งมหาโลกสามรกร้างมีเก้าโลกแท้จริง
ณ โลกที่สองของดวงจิตสามรกร้าง กลางปีกเล็กใต้สองปีกใหญ่ของซางเซียง ด้านข้างของสามรกร้าง โลกในนี้ถูกฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนยึดครอง ต่างฝ่ายแบ่งกันคนละครึ่ง ดูเหมือนใหญ่มาก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ใหญ่ ทว่าที่ ฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนเรียกว่าเป็นฝ่าย ก็เพราะว่าพวกมันต่างมี ฝ่ายละหนึ่งร้อยแปดสิบโลก
ทั้งหมดสามร้อยหกสิบโลกรวมอยู่ในโลกที่สองของสามรกร้าง อยู่กันแน่นขนัด แยกกันเป็นส่วนๆ…
ที่เกิดเป็นกลุ่มโลกของแต่ละฝ่ายที่พิเศษแบบนี้ได้ เป็นเพราะไม่ว่าฝ่าย สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนหรือเงามืดรุ่งอรุณต่างย้ายมาที่นี่ในสมัยที่สองของยุคนี้ สืบทอดระบบขั้นพลังและวิชาจากสมัยที่สอง อีกทั้งยังสืบต่อโครงสร้างโลกของแคว้นโบราณที่รวมจากชนเผ่าต่างกันในสมัยที่สองมาด้วย
ฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนสามร้อยหกสิบโลก ทุกโลกล้วนมีชนเผ่าในตอนนั้นหนึ่งเผ่าสืบสายเลือดต่อไป ยึดครองหนึ่งโลก ถึงขั้นจัดตั้งสมาคมโลกในไว้สองฝ่ายใหญ่นี้ด้วย
สมาคมโลกที่ว่ารวมขึ้นจากการสืบทอดบัลลังก์จ้าวเผ่าต่างชนเผ่ากันใน หนึ่งร้อยแปดสิบโลกของแต่ละฝ่าย มีสามจักรพรรดิรุ่งอรุณเป็นผู้นำ ก่อตั้งเป็นจุดสูงสุดที่มีอำนาจสูงสุดในฝ่าย
ในฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณมีโลกจักรพรรดิสามโลกกับโลกกลางหนึ่งโลก สี่โลกนี้รวมกันเป็นโลกศูนย์กลางของทั้งฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ สามโลกจักรพรรดิในนั้นมีลักษณะเป็น คำว่า品 ล้อมโลกกลางเอาไว้ โลกกลางนี้คือศูนย์กลางของทั้งฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ สมาคมโลกจากจ้าวเผ่าหนึ่งร้อยแปดสิบเผ่าจะจัดประชุมกันที่นี่ทุกครั้ง เพื่อตัดสินเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณทั้งหมด
ส่วนสามจักรพรรดิ มิใช่ว่าจะคงอยู่ตลอดไป แต่จะเลือกมาจากแต่ละเผ่า หมดวาระทุกสามหมื่นปี หลังผ่านไปหนึ่งวาระจะต้องเลือกใหม่อีกครั้ง จะได้เป็นจักรพรรดิรุ่งอรุณต่อหรือไม่ก็ต้องดูที่ศักยภาพ โชครวมถึงการสนับสนุนจากชนเผ่าตัวเองด้วย
แน่นอนว่าพลังก็เป็นจุดสำคัญ การเป็นจักรพรรดิรุ่งอรุณจะต้องมีพลังไม่อาจกล่าวถึงจะมีคุณสมบัติแย่งชิงเป็นจักรพรรดิรุ่งอรุณ ดังนั้นไม่รู้กี่ปีมานี้ ความจริงแล้วการสลับที่จักรพรรดิรุ่งอรุณจึงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ เว้นแต่…ในบางช่วงจะปรากฏขั้น ไม่อาจกล่าวคนใหม่!
อย่างเช่นจักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยในตอนนั้นก็เป็นแบบนี้ ภายใต้การแย่งชิง ไม่รู้ว่าจ่ายไปเท่าไร สุดท้ายก็ได้แทนที่จักรพรรดิรุ่งอรุณคนก่อน ขึ้นมาเป็นจุดสูงสุดแต่ยามนี้ เมื่อเวลาผ่านไป สามหมื่นปีในวาระนี้มาถึงตอนปลายแล้ว หากไม่มี ขั้นไม่อาจกล่าวคนอื่นคงไม่เป็นไร แต่ว่า…ครั้งนี้ในฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณปรากฏขั้น ไม่อาจกล่าวสองคน!
หนึ่งคือหงจู่ที่เคยถูกเหยียนเผยมาแทนที่ อีกหนึ่งคือหวงไถ โอรสสวรรค์ที่เกิดในชนเผ่าหวาจง
เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้คิดจะแย่งตำแหน่งจักรพรรดิรุ่งอรุณ ทำให้ทั้งเงามืดรุ่งอรุณเกิดความซับซ้อนขึ้น…ทว่าสงครามการบุกมหาโลกสามรกร้างกลับทำให้การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม อย่างน้อยในช่วงเวลาสงครามก็ไม่มีทางเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น เพราะมีฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนกำลังจ้องตาเป็นมันอยู่ข้างๆ ถ้าไม่อย่างนั้นการร่วมมือกันของสองฝ่ายจะพังลงในพริบตา
เวลานี้ สามโลกจักรพรรดิของเงามืดรุ่งอรุณ ในโลกของเหยียนเผย กลางทะเลทรายไร้ที่สิ้นสุดมีเกาะเล็กๆ กลางน้ำอยู่แห่งหนึ่ง บนเกาะมีชายหนึ่ง หญิงหนึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะยาว สายตามองแผ่นหยกสีดำที่วางบนโต๊ะด้วยสีหน้าลังเลเล็กน้อย
“นี่คือแผ่นหยกที่เหยียนเผยส่งมาเมื่อหลายเดือนก่อน คนน่ากลัวผู้นั้น…จะมาถึงแล้ว” สายลมทะเลทรายพัดเข้ามาพร้อมกับความแห้งแล้ง แต่เมื่อเข้ามาถึงเกาะเล็กๆ กลางแม่น้ำกลับกลายเป็นความนุ่มนวล ความเย็นสบายพัดผ่านสองคนนี้ พัดเส้นผมงามของสตรีคนนั้นขึ้น เผยเป็นใบหน้างามที่มองไปเป็นต้องหลงรัก
นางคือ จักรพรรดิรุ่งอรุณจื่อรั่วจากเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ในฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ
นางสวมกระโปรงยาวสีม่วง เส้นผมงามสีดำขลับกระจายออก มีใบหน้างามอย่างยิ่ง ตรงระหว่างคิ้วมีผลึกหลายชิ้น รวมกันเป็นจักรพรรดิรุ่งอรุณจื่อรั่วผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณคนนี้
นางเอ่ยเสียงเบาพร้อมเงยใบหน้างามขึ้น ดวงตางามเบนจากแผ่นหยกนั้นไปมองชายชราผมขาวทั้งศีรษะอีกด้านหนึ่งของโต๊ะ
ชายชราคนนี้ดวงตาวาววับ สีหน้าเรียบเฉยแต่มีความน่าเกรงขาม โดยเฉพาะ ตอนที่ลืมตาขึ้น จะเห็นว่าในดวงตาเขาเป็นลูกตาตั้งขึ้น หนึ่งสีเหลือง อีกหนึ่งสีแดง ส่งผลให้ตัวเขาค่อนข้างประหลาด ต่อให้นั่งอยู่ตรงนั้นยังเหมือนสามารถเปลี่ยน กฏของโลกนี้
เขาก็คือ จักรพรรดิรุ่งอรุณที่แกร่งที่สุดในฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ…ชางซานหนู!
“คนนี้มีพลังสังหารขั้นไม่อาจกล่าว…หลอมรวมกับดวงจิตโลกแท้จริงบางแห่งในมหาโลกสามรกร้าง ซ้ำยังผนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดในยุคก่อนที่ตื่นขึ้นด้วยวิธีการใด ไม่ทราบ…
กลิ่นอายพลังเขาทำให้เหยียนเผยนึกไปถึงตาแก่ที่หลับใหลเหล่านั้น…ผู้แข็งแกร่งที่สุดในยุคนี้หรือ…” ขณะที่ชายชราเอ่ยขึ้น ลูกตาสองข้างหรี่ลง แต่เห็นได้รางๆ ว่ามีความมุ่งมั่นในการต่อสู้กำลังติดไฟ
“ไม่รู้ว่าหากข้าปลดพลังทั้งหมด ปลดผนึกออก จะสังหารเขาได้หรือไม่ หากสังหารเขาจริงๆ จะทำให้ข้าทะลวงพลังอีกครั้งหรือไม่!” ชายชราเอ่ยเสียง แหบแห้ง ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ในดวงตาข้นกว่าเดิม
จื่อรั่วขมวดคิ้วมองชายชรา
“แต่ความหมายของเหยียนเผยคือให้พวกเราเคารพเขา ช่วยเหลือเขาทุกเรื่องที่นี่ นี่จะมีแต่ประโยชน์กับฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณ ไม่มีข้อเสียเลย กระทั่งมีโอกาสที่พวกเราจะเป็นฝ่ายบุกสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน!” จื่อรั่วพูดขึ้นเบาๆ
“โอกาส? สันดานทาสของเหยียนเผยนั่นกำเริบอีกแล้ว สังหารขั้นไม่อาจกล่าว มันยากนักรึ…” ชายชราก้มหน้าลงมองจื่อรั่วอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง
จื่อรั่วเงียบ
“สำหรับข้าแล้ว ข้าก็สังหารขั้นไม่อาจกล่าวได้เหมือนกัน ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งยุคก่อน ข้า…ก็สังหารมาแล้วสามคน แต่เขาทำได้แค่ผนึก หากเขาไม่มาฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณก็ช่าง หากเขามา เขาคือเหยื่อของข้า สังหารเขา ให้เป็นทาสลำดับสี่ของข้านับจากนี้!” ชายชราสะบัดแขนเสื้อแล้วยืนขึ้น
“เรื่องนี้เป็นไปตามนี้” ชายชรามีสีหน้าเด็ดขาด ขณะกล่าวยังขยับไหวตัวเดินเข้าไปในมวลอากาศ เหลือเพียงจักรพรรดิรุ่งอรุณจื่อรั่วในเกาะกลางแม่น้ำ มองแผ่นหยกบนโต๊ะพลางลอบถอนหายใจ
‘คนคนหนึ่งหากมั่นใจมากเกินไปก็จะมองเห็นตัวเองไม่ชัด ผู้แข็งแกร่งยุคก่อนที่ชางซานหนูสังหารล้วนเป็นคนที่ละทิ้งความนิรันดร์ แยกจิตออกไปด้วยตัวเอง และเดิมทีคิดจะตายอยู่แล้ว
แต่คนที่บรรยายในแผ่นหยกของเหยียนเผย…ผู้แข็งแกร่งยุคก่อนที่ถูกผนึกคนนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง!
ชางซานหนูรนหาที่ตายก็ช่าง เผ่าข้ารวมถึงเผ่าอื่นๆ ใต้บัญชาข้าห้ามล่วงเกิน ซูหมิงคนนั้นอย่างเด็ดขาด!
แต่ว่า…’ จื่อรั่วกัดฟันงาม ลุกพรวดขึ้นขยับไหวหายไปจากเกาะกลางแม่น้ำบนดาวนี้ ร่างเงานางมาหยุดชะงักกลางอากาศ ดวงตาสองข้างขยับประกายประหลาดใจ เหมือนว่ายามนี้พลันเกิดความคิดวนเวียนขึ้นมาในหัว สีหน้าเลื่อนลอยทีละน้อย แต่ประกายในดวงตากลับเปล่งสว่างขึ้นเรื่อยๆ
“ในเมื่อเขาแกร่งขนาดนี้ เหยียนเผยยังเรียกเขาว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดในยุคนี้ เช่นนั้น…หากผู้แข็งแกร่งแบบนี้ให้กำเนิดบุตร…บุตรที่กำเนิดมาจากสายเลือดนี้จะมีอนาคตไม่มีสิ้นสุดเช่นกัน!” พอนึกถึงตรงนี้ ใบหน้างามของจื่อรั่วแดงขึ้นมาเล็กน้อย ตั้งแต่นางฝึกฝนมาก็ไม่เคยมีคู่ชีวิตและคิดว่าไม่ต้องมีมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าส่วนลึกในใจมีความเสียดายที่ตนอยากจะมีทายาทมาโดยตลอด
เพียงแต่ว่ามองไปทั้งฟ้าดิน นางคิดว่าไม่มีชายใดเลิศล้ำที่สุด ต่อให้เป็นชางซานหนูคนนั้นก็ตาม ทว่าตอนนี้นามของซูหมิงปรากฏขึ้นในความคิดแล้ว
‘แต่ว่าตัวประหลาดคนนั้นไม่มีทางเห็นด้วยกับเรื่องนี้…ต้องหาวิธีการให้ได้’ จื่อรั่วใจเต้นระรัว พอเกิดความคิดนี้ขึ้นก็ไม่อาจสลัดทิ้งไปได้อีก แต่กลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกอันตรายจากการที่วางแผนต่อผู้แข็งแกร่งทำให้นางสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นปรากฏเงามายาเลือนรางข้างหลัง ดูจากลักษณะเงามายาแล้วเห็นได้ชัดว่าเป็นดอกบัว ด้านบนมีจิ้งจอกสีขาวตัวหนึ่ง สมจริงราวกับมีชีวิต…
นางพลันมีสีหน้าเด็ดขาด ก่อนขยับไหวตัวหายไปบนฟ้า
ขณะเดียวกันในโลกที่สองของสามรกร้าง ในฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน มีแผ่นหยกแบบเดียวกันวางอยู่ตรงหน้าสามคน สามคนนั้นเป็นชายชราหนึ่ง หญิงหนึ่ง สุดท้ายเป็นชายวัยกลางคน
ชายชราคือผู้สูงส่งหวนคืน เสวียนจิ่ว ส่วนหญิงคนนั้น ต่อให้ซูหมิงไม่ได้เห็นกับตาตัวเป็นๆ แต่จะต้องไม่รู้สึกแปลกตาแน่ นาง…ก็คือผู้สูงส่งหวนคืนเฟยฮวาที่ให้แหวนสมบัติล้ำค่าไปปรากฏตรงช่องโหว่สามรกร้าง และเป็นนางที่ทำให้กระเรียนขนร่วงในตอนนั้นมีสีหน้าสับสนและซับซ้อน
ชายวัยกลางคนคนสุดท้ายมีสีหน้าสงบนิ่ง มีเพียงแววตามืดทะมึนที่จ้องแผ่นหยกก่อนแค่นเสียงขึ้นจมูก
“ผู้แข็งแกร่งที่สุดในยุคนี้…จักรพรรดิรุ่งอรุณเหยียนเผยนั่นทำเรื่องเล็กให้เป็น เรื่องใหญ่แล้ว ในหุบเขานิทรา ไม่ว่าผู้อาวุโสท่านใดตื่นขึ้นล้วนเรียกได้ว่าแกร่งที่สุดกันทั้งนั้น” ชายวัยกลางคนผู้นี้คือผู้สูงส่งหวนคืน คนที่สามในฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน มีนามว่าเซียวซง
“เหยียนเผยคนนี้ดูเหมือนเย็นชา แต่นิสัยจริงๆ ค่อนข้างระวังตัว วิเคราะห์สถานการณ์ปัจุบันเพื่อคาดการณ์ล่วงหน้าตลอด…เมื่อหลายเดือนก่อนเขาส่งแผ่น หยกนี้มา บอกพวกเราว่าซูหมิงคนนั้นจะมา เรื่องนี้…ดูท่าคงจะมีความคิดชั่วช้าอยู่ เพียงแต่จะเห็นได้จากตรงนี้ว่าเขามั่นใจในตัวซูหมิงคนนั้นอย่างยิ่ง เขาจะให้อีกฝ่าย ลงมือจัดการพวกเรา” เสวียนจิ่วถอนหายใจเบา ก่อนเอ่ยเสียงแหบแห้งด้วยสีหน้าเด็ดขาด
“ช่างเถอะ ข้าจะลองทำนายดูว่าซูหมิงมีอำนาจคุกคามเพียงใด!” เสวียนจิ่ว ดวงตาวาววับ ตอนที่ยกมือขวาขึ้น ในมือมีกระดูกสัตว์ผิดรูปเก้าชิ้นโผล่มา มือซ้าย ตบข้างบน ดวงตาปิดลงในฉับพลัน ใช้อภินิหารพรสวรรค์ทำนายซูหมิง
เซียวซงมีสีหน้าตื่นเต้น เขาเพ่งมองไปทันที เขารู้ถึงความแกร่งของวิชานี้ของเสวียนจิ่ว ต่อให้เป็นตาแก่ที่หลับใหลเหล่านั้นก็ยังถูกเสวียนจิ่วทำนายเหตุและ ผลออกมาได้ วิชานี้…ไม่เคยพลาด
มีเพียงเฟยฮวาที่มีสีหน้าสับสนเล็กน้อย นางมองทอดไกลอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจนาง…ถึงเกิดการสั่นไหว ราวกับว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตบางอย่างของนางมาปรากฏอยู่ในโลกนี้…