Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1341

ตอนที่ 1341 โหดเหี้ยม

พูดจบ เด็กเลี้ยงสัตว์ขมวดคิ้ว ซูหมิงคือแขกที่เขาเชิญมา ในเมื่อเชิญอีกฝ่ายมาแล้ว เขาจึงไม่คิดจะก่อปัญหาที่นี่จนไม่มีความสุข แต่เขาก็มีความคิดของเขาอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร การผูกมิตรมีอยู่ในนั้นมากกว่าครึ่ง

เขาอยากผูกมิตรกับซูหมิง ฝึกฝนถึงระดับอย่างเขาแล้ว เดิมทีไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว แต่ไม่ว่าเพราะเหตุใด เขาในยุคนี้ถึงมักจะรู้สึกร้อนกลัวจนไม่เป็นสุข เหมือนจะเกิดเรื่องใหญ่บางอย่างขึ้น อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อภัยพิบัติยุคนี้ใกล้จะมาถึง ความรู้สึกนี้เด่นชัดยิ่งขึ้น จนกระทั่งตอนที่ซูหมิงมาถึง เขามองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าซูหมิงไม่ใช่ คนโลกนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงอยากผูกมิตร

ส่วนพลังของซูหมิง เขามองไม่ออก แต่รู้สึกว่าไม่อ่อนแอกว่าตน

ยามนี้เขาขมวดคิ้ว ชายชราชุดคลุมม่วงข้างๆ หรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่พูดอะไร ส่วนชายหนุ่มชุดคลุมขาวดวงตาเป็นประกายทันที คนอื่นอ่านความคิดเขาไม่ออก

ซูหมิงมองร่างแห้งเหี่ยวปานซากศพ คนที่นี่ไม่เงียบก็สมาธิจดจ่อ คงไม่พ้นเรื่องอยากหยั่งเชิงโดยไม่ออกเสียงกับเรื่องนี้ แต่ด้วยความที่เด็กเลี้ยงสัตว์คนนั้น เป็นเจ้าของที่นี่เลยรู้สึกไม่ดีเล็กน้อย ดูจากท่าทางแล้วไม่เหมือนเสแสร้ง

ทุกอย่างอยู่ในสายตาซูหมิง เขาย่อมเข้าใจว่าคูมู่ไม่ทำแบบนี้เพราะไร้เป้าหมายแน่ เห็นได้ชัดว่านี่คือการหยั่งเชิง หรือไม่ก็อยากจะหยั่งเชิงพลังของตน

“เจ้าลองพูดอีกครั้ง” ซูหมิงตอบกลับเรียบๆ ภายในน้ำเสียงไม่มีความโกรธแม้แต่น้อย เหมือนพูดสบายๆ กับสหาย กระทั่งชายชราชุดคลุมม่วงกับชายหนุ่มชุดคลุมขาวยังไม่รู้สึกถึงแรงกดดันที่น่ากลัวจากในคำพูด

ส่วนเด็กเลี้ยงสัตว์คนนั้น เดิมทีอยากจะพูดบางอย่าง แต่พอได้ยินคำพูดซูหมิงแล้วกลับขมวดคิ้วต่อ ไม่พูดอะไรอีก

“ไม่ได้ยินรึ ข้าชอบกินเลือดเนื้อ…” คูมู่ปานซากศพดวงตาขยับประกายเล็กน้อย ก่อนหัวเราะอย่างชั่วร้ายแล้วพูดถึงตรงนี้ ทันใดนั้นซูหมิงเงยหน้าขึ้น ใช้มือขวา คว้าอากาศด้วยความเร็วดุจสายฟ้า

ในเมื่อร่างซากศพกล้าหยั่งเชิง ก็ย่อมมีความมั่นใจในพลังของตัวเอง โดยเฉพาะยังกล้าพูดต่อคำจากซูหมิง เห็นได้ชัดว่าเตรียมการทุกอย่างมาแล้ว แต่ต่อให้เป็น อย่างนั้น ตอนที่ซูหมิงใช้มือขวาคว้าอากาศ เขาพลันหนาวเยือกไปทั่วร่าง อภินิหารวิชาทั้งหมด…เหมือนหายไปในร่างกาย

ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงพริบตา ร่างซากศพนั้นพลันร้องโหยหวนเสียงแหลม ระหว่างหัวกับตัวถูกฉีกออก เมื่อหัวถูกซูหมิงคว้าเอาไว้ในมือแล้วก็บีบเบาๆ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง พลันมีโลหิตสายหนึ่งหยดลงมาจากรอบแผลศีรษะ ตกลงในแก้วตรงหน้า ซูหมิง

โลหิตในนั้นมีไม่มาก มีเพียงครึ่งแก้ว แต่เหตุการณ์นี้สร้างความตกตะลึงกับทุกคน ทำให้ที่นี่เงียบกริบ…

‘คนนี้…ดูเหมือนอบอุ่น แต่ความจริงเหี้ยมโหด ต่างกับภายนอกอย่างสิ้นเชิง!’ ชายชราชุดคลุมม่วงหรี่ตาลง ตกใจกับการกระทำอันเหี้ยมโหดของซูหมิง

โดยเฉพาะภาพตอนที่ซูหมิงลงมือวนเวียนอยู่ในใจชายชราชุดคลุมม่วง เขาพบว่าต่อให้เป็นตนก็ไม่อาจหลบมือที่คว้ามานั้นพ้น!

และที่สำคัญที่สุดคือปฏิกริยาของคูมู่เมื่อครู่นี้ดูแปลกมาก ไม่ได้มีการต่อต้านแม้แต่น้อย ชายชราชุดคลุมม่วงไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายไม่อยากต่อต้าน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่รู้เพราะเหตุใดถึงถูกอีกฝ่ายควบคุมไว้ต่างหาก

ประกายในแววตาชายหนุ่มชุดคลุมขาวพลันหายไป แต่แทนที่ด้วยความตกใจ จุดสำคัญที่เขามองไม่ใช่พลังของคูมู่ และก็ไม่ใช่ความโหดของซูหมิง แต่เป็นมือที่ ซูหมิงยกขึ้น

ความเร็วในการยกมือนั้นคนอื่นอาจจะไม่ได้สนใจ แต่สำหรับเขาที่ถูกขนานนามว่าเซียนกระบี่ เขาเชี่ยวชาญความเร็วมากที่สุด ทว่าชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้ เขาเห็นเพียงแค่มือซูหมิง ตอนที่อีกฝ่ายยกมือขึ้นมันดูเหมือนธรรมดา แต่ความจริงเปลี่ยนสัญลักษณ์มือไปแล้วเก้าสิบเจ็ดครั้ง

“ข้าเห็นสัญลักษณ์มือแค่เก้าสิบเจ็ดครั้ง แต่ชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้อย่างน้อยเขาก็ทำสัญลักษณ์มือไปหลายร้อยครั้ง คนแบบนี้…” ชายหนุ่มชุดคลุมขาวหน้าเปลี่ยนสี อย่างรวดเร็ว ความหวาดกลัวในใจบรรลุถึงจุดสูงสุด

เด็กเลี้ยงสัตว์ที่เป็นเจ้าของที่นี่ตกตะลึงกว่าคนอื่นไม่น้อย ถ้ำที่นี่สร้างขึ้น จากร่างกายเขา ความจริงตอนนี้หน้าตาเขาก็เป็นของปลอม เขาตัวจริง…ก็คือ ก้อนเนื้อยักษ์ที่ซูหมิงเห็นก่อนหน้านี้

นั่นคือสิ่งมีชีวิตทรงพลังที่ปรากฏขึ้นในบางยุค เทียบได้กับเทพสัตว์ห้าหน้า เพียงแต่ว่าเขาฉลาดกว่าเทพสัตว์ห้าหน้า ซ่อนตัวเอง แปลงกาย ไม่โอหัง ไม่สังหาร แต่ผ่านภัยพิบัติยุคนั้นมาอย่างเงียบๆ

ดังนั้นเขาจึงเห็นชัดว่าชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้ ที่คูมู่ไม่อาจต่อต้านเป็นเพราะว่าร่างกายเขาถูกพลังแห่งเวลาอัดแน่น ชั่วพริบตาเดียวก็ย้อนไปไม่รู้กี่ปี จนไปถึงยุคนั้นที่เขายังเป็นคนธรรมดา เพียงแต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก คนอื่นจึงยากจะสังเกตเห็น กระทั่งคูมู่เองยังไม่รู้

‘เขา…แกร่งขนาดนี้เชียวหรือ!’ เด็กเลี้ยงสัตว์ลมหายใจกระชั้น ก่อนเกิดความคิดนี้ขึ้นเพียงหนึ่งเดียว

คนอื่นข้างกายเขาก็เป็นเช่นนี้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงซากศพที่ตอนนี้ไร้หัว เขาเซถอยหลังไปหลายก้าวแล้วพลันหดตัวกลายเป็นหมอก เหมือนจะรวมขึ้นใหม่ในหมอก

ตอนที่เผยตัวออกมาอีกครั้ง เขาตัวเล็กลงไปเล็กน้อย แต่กลับมีศีรษะเพิ่มมา เขามีสีหน้าตกใจกลัวและเหลือเชื่อ มองซูหมิงที่ชูศีรษะเขาขึ้น โลหิตประจำตัวอัน ล้ำค่าของเขาหยดลงในแก้วสุรานั้น

ท่ามกลางความเงียบสงัด ศีรษะในมือซูหมิงแห้งเหี่ยวลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดเสียงดังปังกลายเป็นหมอกหายไปขณะที่คูมู่ปวดใจ

ซูหมิงมีสีหน้าปกติ เขายังไม่เผยเพลิงโทสะใดๆ แต่หยิบเหยือกสุราข้างๆ ขึ้นมารินสุรา ผสมกับโลหิตในนั้น เมื่อเติมจนเต็มแก้วแล้วก็วางเหยือกสุราลง หยิบแก้วสุรานั้นขึ้นมาดื่มหมดในอึกเดียวท่ามกลางความตกใจของสี่คนรอบๆ

“สมกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบกินเลือดเนื้อ โลหิตเจ้าผสมกับสุราแล้วให้รสชาติที่ ดีกว่าเดิมไม่น้อย…น่าเสียดายมีแค่แก้วเดียว ข้ายังดื่มไม่เต็มที่เลย” ซูหมิงยิ้มเล็กน้อย เขาวางแก้วสุราลง ยกมือขวาขึ้นคว้าไปทางซากศพนั้นด้วยสีหน้าเฉยเมยอีกครั้ง

ซากศพนั้นร้องคำรามด้วยความตื่นกลัว เขา…ตัวสั่น ศีรษะหลุดออกจากร่างเป็นครั้งที่สอง ตรงมาที่ซูหมิง เมื่อเขาคว้าเอาไว้แล้วก็ปล่อยให้โลหิตหยดลง จำนวนโลหิตในครั้งนี้มีความสูงสามส่วนในแก้ว

‘บ้าอำนาจ!’ ตอนนี้ชายชราชุดคลุมม่วงมีเพียงความรู้สึกเดียวต่อซูหมิง ระดับความบ้าอำนาจนี้ทำให้เขาตกใจ

‘อำมหิต!’ นี่คือความรู้สึกชายหนุ่มชุดคลุมขาวที่ตรงไปตรงมาที่สุดต่อซูหมิง เขาเห็นนิสัยที่เหนือนเจ้าคิดเจ้าแค้นจากตัวซูหมิง และยังมีความคุ้มดีคุ้มร้าย

“สหายซู…” เด็กเลี้ยงสัตว์ลังเลครู่หนึ่งก่อนลอบถอนหายใจ เขามองคูมู่ร่างเป็นหมอกอีกครั้ง จนเมื่อเผยตัวมาใหม่แล้ว สีหน้าเหี่ยวเฉาลงอย่างเห็นได้ชัด ตัวสั่นไปทั้งตัว นัยน์ตาฉายแววตกใจและสิ้นหวัง เขาต้องพูด เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คูมู่ก็เป็นสหายที่เขาเชิญมา

ตอนนี้ศีรษะที่สองของคูมู่ในมือซูหมิงหายไปแล้ว เขารินสุราลงไปอีกครั้ง หยิบแก้วสุราขึ้นมาดื่มในอึกเดียว เขาสัมผัสรสชาติอยู่อีกชั่วครู่ ก่อนมองเด็กเลี้ยงสัตว์

“ในเมื่อสหายป้านปู่จื่อออกปากแล้ว ถึงรสชาติโลหิตนี้จะไม่เลว เดิมทีข้าคิดจะเอาติดตัวไปด้วยซ้ำ กลับบ้านไปจะได้ให้ญาติพี่น้องสหายข้าได้ชิม แต่ว่า…ช่างเถอะ เจ้ารินสุราให้เต็มแก้วนี้ วันนี้ข้าจะยกโทษเรื่องที่เจ้าหยาบคาย” ซูหมิงดีดนิ้วมือขวา แก้วสุรานั้นพลันลอยไปตกตรงหน้าคูมู่

ไม่ว่าจะเป็นเด็กเลี้ยงสัตว์หรือชายชราชุดคลุมม่วง หรือชายหนุ่มชุดคลุมขาว สามคนนี้ล้วนเป็นผู้โดดเด่นของโลกนี้ ทว่าตอนนี้พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าซูหมิงคิดจะพาคูมู่ไปจริงๆ เพื่อใช้ดื่มโลหิตตามที่ได้พูดไว้

พูดได้ว่าซูหมิงในตอนนี้เป็นเหมือนกับมารร้ายหุ้มหนังมนุษย์ในสายตาพวกเขา กลิ่นอายชั่วร้ายที่ไม่สังเกตเห็นแต่พวกเขาสามคนรู้สึกได้แผ่กระจายมาอย่างเข้มข้นยิ่งในระหว่างที่ซูหมิงพูด กระทำ หรือแม้แต่ในสีหน้าเฉยชา

บางครั้งสิ่งที่มองไม่เห็นต่างหากที่น่ากลัว กลิ่นอายชั่วร้ายที่มองไม่เห็นนี้น่า สะพรึงยิ่งกว่า นี่เปรียบได้กับคนชั่วที่มีคนหวาดกลัว

คูมู่เงียบ หน้าเหยเกย แต่แววตาปกปิดความตื่นกลัวในใจไม่มิด เขารู้สึกถึงอำนาจคุกคามมรณะที่เกิดขึ้นได้ยากกับตัวเขาจากซูหมิง ความตายนี้คือสิ่งที่เขาไม่ได้ประสบมานานมากๆ นี่ทำให้เขานึกถึงความรู้สึกที่ได้พบผู้แข็งแกร่งเมื่อนานปีก่อน ตอนที่ ยุคที่เขาอยู่ยังไม่ถูกทำลาย ตอนที่เขายังอ่อนแอ

เขากัดฟันสะบัดมือขวาขึ้น ทันใดนั้นมีโลหิตหยดลงมาทีละหยด โลหิตทุกหยด ทำให้เขาปวดใจ ทุกหยดล้วนเป็นแก่นสำคัญชีวิตที่เขารวมขึ้นในร่างกายหลังจากกินเลือดเนื้อจำนวนมากในภัยพิบัติไม่รู้กี่ยุค

โลหิตหยดลงทีละหยด พวกเด็กเลี้ยงสัตว์สามคนมองเงียบๆ จนกระทั่งเต็มแก้วแล้ว คูมู่ฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าว ถอยหลังไปหลายก้าวแล้วประสานมือคารวะทุกคน

“วันนี้ข้าบุ่มบ่ามเอง ต้องขอตัวก่อน ขอลาสหายทุกท่าน” พูดจบ ขณะเขากำลังจะไป ซูหมิงพูดขึ้นเรียบๆ

“ให้เจ้าไปแล้วรึ”

“เจ้า!” คูมู่เผยแววตาคลุ้มคลั่ง แต่ความบ้าคลั่งก็ถูกฝืนควบคุมเอาไว้

“เจ้าไปได้แล้ว”

คูมู่ไม่ได้มีสีหน้าโกรธแค้น แต่คนที่เข้าใจเขาจะรู้ว่าความแค้นของอีกฝ่ายจะต้องลึกสุดในใจแน่ๆ อีกทั้งยิ่งเขาเก็บไว้มากเท่าไร ความแค้นก็ยิ่งหยั่งลึก จนกระทั่งถึง วันนั้นที่ปะทุขึ้น

คูมู่กลายเป็นสายรุ้งยาวบินออกจากถ้ำขึ้นฟ้าไป ชั่วพริบตาเดียวก็เข้าไปในผืนฟ้า ใบหน้าเหยเกยเหี้ยมเกรียม ก่อนพลันหันกลับไปมองดาวข้างหลังแวบหนึ่ง

‘ข้าคูมู่สาบานว่าสักวันหนึ่ง ข้าจะกินเลือดเนื้อญาติพี่น้องสหายทั้งหมดของเจ้า แบบนี้ถึงจะลบล้างความอัปยศในวันนี้ได้!’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version