Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1340

ตอนที่ 1340 หยั่งเชิง

“ท่านเป็นใคร มีอะไร!” เด็กเลี้ยงสัตว์แสยะปากยิ้ม รอยยิ้มดูโอ้อวดยิ่งนัก มุมปากฉีกขึ้นไปถึงติ่งหู เผยเขี้ยวแหลมจำนวนมากในปากกว้างน่าสยดสยอง อีกทั้งตอนที่เขายิ้ม ก้อนเนื้อยักษ์ใต้ร่างเขาขยับยึกยือทันที แผ่กระจายอำนาจคุกคาม

“ไม่มีอะไร เพียงแค่ผ่านทางมา อยากเห็นดาวประหลาดดวงนี้ก็เท่านั้น” ซูหมิงพูดขึ้นราบเรียบ แววตากลับมาเป็นปกติ ซูหมิงเห็นถึงกลิ่นอายโบราณและ การผ่านโลกมาเนิ่นนานจากตัวเด็กเลี้ยงสัตว์คนนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่มาเมื่อไม่รู้ กี่ปีก่อน เมื่อหลอมรวมกับตัวเองอีกคนแล้วก็ได้รับคุณสมบัติไม่ดับสูญไปในภัยพิบัติ

ความแกร่งของผู้ฝึกฌานคนนี้ถึงขั้นไม่อาจกล่าวตอนกลางแล้ว ดังนั้นเลยตื่นขึ้นได้ แต่ดูท่าคงจะตื่นได้แค่ที่นี่ ไม่อาจออกจากโลกที่สี่ได้ มิเช่นนั้นเกรงว่าคงจะต้องหลับใหลอีกครั้งทันที

ตอนที่ซูหมิงใช้ดวงจิตลากผ่านก่อนหน้านี้ เขาพบผู้แข็งแกร่งแบบนี้หลายคน เด็กเลี้ยงสัตว์ตรงหน้าเป็นเพียงหนึ่งในนั้น

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มีแขกมาไกล สหายลงมาดื่มสุราชั้นดีที่ดาวข้าก่อนดีหรือไม่?” เด็กเลี้ยงสัตว์ตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ ก่อนหุบรอยยิ้มมองซูหมิง

“หากสหายลงมา ข้าจะไปเรียกสหายสนิทมารวมกันอีกด้วย พวกเขาสนใจเบื้องหลังของสหายมาก” เด็กเลี้ยงสัตว์ยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มดูใสซื่อบริสุทธิ์มาก เขาเหยียบเท้าลงเบาๆ ฉับพลันนั้นก้อนเนื้อใต้ร่างสั่นสะท้าน ระหว่างที่มันบิดเบี้ยว ทุกอย่างในนั้นก็ยังเป็นดาวที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิตไม่ว่าซูหมิงจะมองด้วยตาเนื้ออย่างไรก็ตาม

เว้นแต่จะใช้ดวงจิตลากผ่าน มิเช่นนั้นจะมองเงื่อนงำไม่ออก เห็นได้ชัดว่าเด็กเลี้ยงสัตว์คนนี้ไม่อยากให้คนอื่นเห็นความอัปลักษณ์ของที่นี่ เลยใช้พลังกลบก้อนเนื้ออย่างไม่เสียดาย

ซูหมิงมองเด็กเลี้ยงสัตว์คนนั้นแวบหนึ่ง สีหน้ายังคงเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนไป เขาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะซ่อนความคิดชั่วร้ายไว้หรือไม่ ถึงอย่างไรด้วยพลังของซูหมิงตอนนี้ มองไปโลกสี่ปีกของซางเซียงมีไม่กี่คนที่สร้างอำนาจคุกคามต่อเขาได้จริงๆ

ดวงจิตสามรกร้างคือหนึ่งในนั้น แต่อีกฝ่ายลงมือต่อไม่ได้ชั่วคราว ส่วนซางเซียง…มีดวงจิตสามรกร้างสร้างสมดุลอยู่ ดวงจิตซางเซียงจึงมีนิสัยขี้ขลาดยิ่ง

หากบอกว่ามีจริงๆ ก็เหลือเพียงผู้เฒ่าเมี่ยเซิง

แต่อีกฝ่ายยังคงซ่อนตัวอยู่นานมากไม่ยอมเผยตัว เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้เกิดความเป็นตายหรือการแพ้ชนะกับตนในตอนนี้ แต่มีเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น ดังนั้นซูหมิงจึงคาดเดาในทางอ้อมได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมในโลกของผีเสื้อซางเซียงแล้ว

‘ความได้เปรียบแบบนี้ บางทีอาจเหลือเพียงสี่ร้อยกว่าปี’ ซูหมิงลอบถอนหายใจ เขารู้อยู่แก่ใจว่าหากชายหนุ่มชุดคลุมดำมาถึงจริงๆ ตอนนั้นก็จะถึงเวลาแห่งการทำลายล้างทุกอย่าง ไม่มีซางเซียง ไม่มีสามรกร้าง ไม่มีชีวิตเกิดใหม่

ต่อให้เป็นเขา…เกรงว่าก็จะถูกทำลายล้างไปแบบนั้น บางทีเส้นทางที่วางอยู่ตรงหน้าอาจมีเพียงเหมือนกับผู้เฒ่าเมี่ยเซิงในตอนนั้น มองโลกที่ตัวเองอาศัยหายไป มองสหายสิ้นชีพลงกับตา ทำได้เพียง…จากไปคนเดียวด้วยความแค้น ความบ้าคลั่งและเงามืดที่ปกคลุมฟ้ายามค่ำคืน

ความเข้าใจเช่นนี้ทำให้ซูหมิงนึกถึงภาพความลับสวรรค์ในวงแหวนอาคมธูปสวรรค์…

เขายังคงไม่เข้าใจภาพความลับสวรรค์ของวงแหวนอาคมธูปสวรรค์ เขาเห็นศพเกลื่อนกลาด ตอนที่เขาเงยหน้าคำรามเสียงแหลมด้วยความเศร้า เหตุใดเขาต้องบุกไปสังหารฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน เหตุใดต้องสังหารชีวิตจำนวนมากในสองฝ่ายนี้ กลายเป็นปีศาจที่คนพูดไว้

‘อะไรคือปีศาจ?’ ซูหมิงเคยคิดถึงคำถามข้อนี้ แต่ต่อให้เป็นตอนนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบมากนัก เงื่อนงำเพียงหนึ่งเดียวคือ…เกี่ยวกับผู้เฒ่าเมี่ยเซิงและเงามืดรุ่งอรุณ

แต่นี่เป็นเพียงเงื่อนงำอย่างหนึ่งเท่านั้น

ความคิดขยับวูบในหัวซูหมิง เขามองเด็กเลี้ยงสัตว์คนนั้นแล้วพยักหน้าให้ช้าๆ ก่อนเดินหน้าหนึ่งก้าว วูบเดียวก็เข้าไปในดาวมายาดวงนี้ ขึ้นมาเหยียบกลางฟ้าดินของดาว อยู่ตรงหน้าเด็กเลี้ยงสัตว์กลางภูเขาลูกนั้น

ฟ้าคราม สายลมภูเขานุ่มนวล มีความเย็นสบาย พัดผ่านพืชเขียวบนพื้นดิน วัวและแกะอยู่ไกลๆ เหมือนกำลังกินหญ้าอย่างอบอุ่น เด็กเลี้ยงสัตว์คนนั้นพิงหินภูเขา ยิ้มอย่างไร้เดียงสาและใสซื่อ แต่หากมองดีๆ จะเห็นว่าในดวงตาเขามีความเย็นชาที่เกิดจากนิสัย

โลกนี้ใหญ่มาก ซูหมิงที่ยืนอยู่ที่นี่เหมือนได้ยินเสียงคนจอแจมาจากดาวดวงนี้ เห็นผู้ฝึกฌานไม่น้อยกำลังเข่นฆ่ากันเพราะมีปากเสียงกันก็ดี หรือเพราะความขัดแย้งกันก็ดี

เขารู้สึกว่าตอนนี้บนดาวมีเด็กทารกกำเนิดไม่น้อย ขณะเดียวกันก็มีคนตาย ไม่น้อยเช่นกัน ทุกอย่างเป็นวัฏจักรที่สมบูรณ์แบบมาก

“อภินิหารนี้ไม่เลว” ผ่านไปนานซูหมิงถึงพูดขึ้นเรียบๆ

“สหายชมเกินไปแล้ว” เด็กเลี้ยงสัตว์ยิ้มเล็กน้อย เขายกมือขวาโบกไป ทันใดนั้นยอดเขาที่เขาอยู่บิดเบี้ยว ตอนที่กลับมาชัดเจนอีกครั้งมันกลายเป็นเหมือนปาก ภูเขาไฟ ตรงจุดที่เว้าลงไปเป็นแท่นเรียบ รอบๆ เป็นผนังหิน ด้านบนเป็นฟ้าคราม ที่นี่…คือถ้ำแห่งหนึ่ง

โต๊ะยาวยักษ์ตัวหนึ่งวางไว้ตรงกลาง แกะและวัวโดยรอบก่อนหน้านี้กลายเป็นผู้เยาว์กำลังยกผลไม้รวมถึงสุรามาวางบนโต๊ะยาว

ซูหมิงนั่งลงข้างๆ เด็กเลี้ยงสัตว์คนนั้นนั่งตรงข้าม สองคนสบตากัน เด็กเลี้ยงสัตว์คนนั้นยังคงยิ้มน้อยๆ เขาหยิบแผ่นหยกออกมาม้วนหนึ่งแล้วก็กดตรงระหว่างคิ้ว ครู่ต่อมาแผ่นหยกเผาไหม้ตรงหน้าผากเด็กเลี้ยงสัตว์

“อีกเดี๋ยวสหายสนิทของข้าจะมาแล้ว ข้ายังไม่ได้แนะนำตัวเองเลย ข้าเลือกลืมนามเดิมของข้าตอนภัยพิบัติในยุคที่ข้าอยู่ไปแล้ว นามเรียกขานก็เปลี่ยนไปไม่หยุดตามการตระหนักรู้ในกาลเวลาเช่นกัน ข้าในตอนนี้ ขอให้สหายเรียกข้าว่า…ป้านปู่จื่อ” เด็กเลี้ยงสัตว์กล่าวขึ้นพลางชูแก้วสูรา สายตามองซูหมิง

การเรียกนามแบบนี้ไม่ใช่คำในยุคเรียกที่ซูหมิงอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นคำเรียกอย่างหนึ่งในช่วงเวลาที่เด็กเลี้ยงสัตว์คนนี้อยู่เมื่อหลายยุคก่อน ซูหมิงชูแก้วสุราขึ้นแล้วพูดขึ้นเบาๆ

“ซูหมิง”

“สหายซู มีแขกมาไกล วันนี้ข้าจะเลี้ยงเจ้าเอง” เด็กเลี้ยงสัตว์หัวเราะเสียงดัง เขายกแก้วสุราขึ้นมาดื่ม สองมือยกแก้วขึ้นเอียง สื่อความหมายว่าดื่มหมดแล้ว

ซูหมิงยิ้มอย่างเฉยเมย เขายกแก้วสุราขึ้นมาดื่ม น้ำสุราในท้องพลันกลายเป็นกระแสร้อนไหลเวียนไปทั่วร่าง จากนั้นก็กระตุ้นทุกส่วนทั่วร่าง ตรงไปที่ลำคอกลายเป็นความเผ็ดร้อนยากจะบรรยาย แต่ความเผ็ดร้อนอยู่ได้ลมหายใจเดียวก็กลายเป็นความหอมหวาน ทำให้ลมหายใจที่พ่นออกมาจากปากแฝงไว้ด้วยความหอม

“เป็นอย่างไรบ้าง?” เด็กเลี้ยงสัตว์เงยหน้าขึ้นมองซูหมิง

“ดีมาก” ซูหมิงหลับตาลงสัมผัสอีกครู่หนึ่ง ช่วงที่ลืมตาขึ้นนัยน์ตาฉายแววชื่นชม ต่อให้เขาดื่มสุราไม่เป็น แต่ก็รู้สึกว่าสุรานี้เรียกได้ว่าเป็นเหล้าดีจริงๆ

“สุราของข้าปู่ป้านจื่อมีไว้สำหรับสหายเท่านั้น ต่อให้เป็นในโลกฟ้าแหว่ง คนที่มีสิทธิ์ดื่มสุรานี้มีน้อยยิ่ง” เด็กเลี้ยงสัตว์ยิ้ม เขาวางแก้วสุราลงอย่างภูมิใจเล็กน้อย แล้วเงยหน้ามองฟ้าข้างบน

“คุยโม้อีกแล้ว หากมิใช่เพราะในสุราของเจ้ามีโลหิตสัตว์ประหลาดจากจักรวาลข้างนอก ก็คงไม่น่าหลงใหลได้ขนาดนี้หรอก มาๆๆ รีบเตรียมมาให้ข้าหนึ่งไห” เสียงหัวเราะลากยาวแหบแห้งดังแว่วมา ตอนนี้เองมีใบหน้ายักษ์ปรากฏอยู่กลางฟ้าข้างบน ใบหน้านี้พุ่งลงมายังพื้นดิน ทว่ามันไม่ได้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับเล็กลงเรื่อยๆ เมื่อลงมาแล้วก็กลายเป็นชายชราสวมชุดคลุมยาวสีม่วงคนหนึ่ง ร่างกายเขาสูงใหญ่ แม้ใบหน้าจะมีรอยเหี่ยวย่นไม่น้อย แต่ก็มองออกว่าตอนวัยหนุ่มจะต้องหล่อเหลาแน่ๆ

ตอนนี้ตัวเขากลายเป็นแสงม่วงสายหนึ่งขยับวูบมาปรากฏอยู่ข้างเด็กเลี้ยงสัตว์ ก่อนหยิบแก้วสุราบนโต๊ะยาวมาดื่มอึกเดียวหมดแล้วถอนหายใจยาว จากนั้นนั่งลงข้างๆ

“สหายท่านนี้คงจะเป็นคนที่แผ่ขยายดวงจิตก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่” ชายชรา ชุดคลุมม่วงเพิ่งนั่งลงก็มองซูหมิงทันที

ซูหมิงยิ้มเล็กน้อย ไม่ตอบ แต่มองฟ้าข้างบน พบว่าตอนนี้บนฟ้าปรากฏร่างเงาหนึ่งตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ นั่นคือ ชายหนุ่มสวมอาภรณ์ยาวสีขาว สีหน้าเย็นชา ข้างหลังมีกระบี่ใหญ่เล่มหนึ่ง ทั่วร่างแผ่กระจายกลิ่นอายรวดเร็วและดุดันถึงขีดสุด เขาเดินเข้ามาในกลางถ้ำแบบนี้ มานั่งลงอีกข้างของเด็กเลี้ยงสัตว์

ยังไม่ทันที่เด็กเลี้ยงสัตว์จะได้แนะนำ ก็มีเสียงหัวเราะน่าสยดสยองและอันธพาลดังแว่วมาจากบนฟ้า กลายเป็นควันดำสายหนึ่ง ระหว่างที่ควันดำหมุนวนอย่างรวดเร็ว จะเห็นว่าในนั้นมีศพแห้งอยู่ร่างหนึ่ง ศพร่างนั้นแห้งเหี่ยวปานซากศพ มีเพียงดวงตาสองข้างที่เผยแสงหม่น เขาเดินตามควันดำนั้นเข้ามา เดินเพียงสามก้าวก็มาปรากฏตัวอยู่ภายในถ้ำ หลังกวาดสายตามองทุกคนอย่างเย็นชาแล้วก็ไปหยุดมองซูหมิง

“เฮยเหลากุ่ยปิดด่านนั่งฌานอยู่ในโลงไม้ของเขา คาดว่าคงจะมาไม่ได้ ตอนนี้ ถือว่าคนครบแล้ว สหายทุกท่าน วันนี้ข้าจัดงานต้อนรับสหายซูหมิงท่านนี้ สหาย ทุกท่านได้รู้จักกันถือว่าเป็นโชควาสนา” เด็กเลี้ยงสัตว์กวาดสายตามองทุกคนแล้วก็หัวเราะเสียงดัง

“สหายซูหมิง ข้าขอแนะนำสามคนนี้ก่อน ชายชราชุดคลุมม่วงท่านนี้คือ ผู้แข็งแกร่งที่สุดในยุคจิตยุทธ์ ข้าลืมนามเขาไปแล้ว ทุกคนเรียกเขาว่าจื่อเจินเหริน” เมื่อเด็กเลี้ยงสัตว์แนะนำ ชายชราชุดคลุมม่วงจึงพยักหน้าให้ซูหมิง แม้จะพบกัน ครั้งแรก แต่ในใจชายชราชุดคลุมม่วงก็หวาดกลัวซูหมิงอย่างยิ่ง แต่จะเห็นว่ามีความ ไม่ยอมอยู่เล็กน้อย ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วคงไม่มาที่นี่ด้วยตัวเอง

“ส่วนสหายท่านนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกฟ้าแหว่ง และก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด ในยุคของเขา เซียนกระบรี่หลี่หาน เขาใช้กระบี่ไปทั้งหมดสามล้านเก้าแสนเจ็ดพันแปดร้อยเก้าสิบเอ็ดครั้ง ทุกครั้งจะมีคนตายหนึ่งคน” เด็กเลี้ยงสัตว์แนะนำต่อ

“สามล้านเก้าแสนเจ็ดพันแปดร้อยเก้าสิบสองครั้งต่างหาก ระหว่างทางเจอคนไม่ถูกชะตาเข้า ข้าเลยชักกระบี่สังหารมันไปแล้ว” หลี่หานกล่าวขึ้นเรียบๆ ยามที่มอง ซูหมิง นัยน์ตาเป็นประกายรวดเร็วและดุดัน

“แล้วก็สหายท่านนี้…” เด็กเลี้ยงสัตว์มองร่างแห้งเหี่ยวปานซากศพ แต่ยังพูดไม่จบ อีกฝ่ายก็หัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์แล้วกล่าวขึ้นเอง

“ข้าคูมู่ ชอบกินเลือดเนื้อ น่าเสียดายทุกยุคมีแค่สองครั้งที่มีโอกาสได้กินอย่างหนำใจ ตอนนี้มานับๆ ดูคงอีกไม่นานแล้ว บางทีหลายร้อยปีจากนี้สิ่งมีชีวิตที่จะถูกข้ากินอาจจะมีคนที่สหายซูรู้จักก็ได้” คูมู่พูดจบ เด็กเลี้ยงสัตว์คิ้วขมวดขึ้นโดยพลัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version